หากถามว่าในบรรดาพี่น้องสกุลเจียงผู้ไร้หน้าตาและฐานะที่สุดคงหนีไม่พ้นเจียงซูเจิน แต่งเข้าสกุลลู่มาตั้งแต่กลางฤดูใบไม้ผลิจนผ่านพ้นมานับเดือนสะใภ้คนรองอย่างนางยังไม่เคยถูกเรียกไปยกน้ำชาทำความเคารพพ่อแม่สามีสักครั้ง กระทั่งพี่ใหญ่น้องรองที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีก็ยังไม่เคยพบหน้ากัน
นับตั้งแต่ลู่อี้เหิงหันหลังจากไป สิ่งที่พบเห็นอยู่ทุกวันนอกจากบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งขั้นสองแล้วก็เป็นพวกต้นไม้ใบหญ้า ภายในเรือนเก็บบุปผา หามีสัตว์หรือบุคคลแปลกหน้าเฉียดใกล้แม้แต่น้อย ราวกับเรือนหลังนี้ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจวนเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับผู้อื่นก็ไม่ปาน
ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของคุณหนูสิบสี่ผู้นี้คือ ตื่นนอนยามเฉิน ล้างหน้าบ้วนปากกินมื้อเช้า ช่วงสายๆ กลางยามซื่อก็เอนกายบนตั่งตัวยาวรับการปรนนิบัติจากบรรดาสาวใช้ บ้างบีบนวด บ้างชงชา มีบางครั้งพวกนางก็พากันแสดงละครปาหี่ที่โจษจันกันในเมืองหลวงให้ดู กินขนม ดื่มชาตลอดทั้งวันแล้วช่วงยามเซินถึงกลับเข้าเรือนชั้นใน ปิดประตูลงกลอนอยู่กับสาวใช้อย่างเสี่ยวซือเพียงสองคน
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือรายงานความเคลื่อนไหวของทุกผู้คนในจวนสกุลลู่ แม้แต่เรื่องราวน้อยใหญ่ในเมืองหลวงล้วนต้องฟังเข้าหูเอาไว้บ้าง หาไม่หากมีเรื่องร้ายแรงหล่นใส่หัวนางยังจะเอาชีวิตรอดได้อีกหรือ
วันเวลาที่ผ่านมาเงียบสงบราวกับผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น จนกระทั่งย่างเข้าช่วงต้นฤดูร้อนจู่ๆ ก็มีข่าวไม่ดีข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่ว ค่ำวันนั้นสีหน้าของเสี่ยวซือซีดราวกับน้ำต้มไก่ค้างคืน
เพราะเห็นสีหน้าของสาวใช้ไม่ดี เจียงซูเจินที่เดิมทีอ่านตำราอักษรเล่มหนึ่งอยู่พลันขยับตัวลุก ปลายนิ้วเรียวนวดคลึงหัวตาเพื่อคลายความเมื่อยล้า จากนั้นจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “มีเรื่องใดเกิดขึ้นก็พูดมาเถิด”
เสี่ยวซือกัดปากจนแทบห้อเลือด เห็นแววตาจริงจังของคุณหนูถึงได้กลั้นใจรายงาน
“ยามนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูแพร่สะพัดออกมาเจ้าค่ะ”
“เรื่องของข้าหรือ”
“ลือกันว่าหลายปีก่อนคุณหนูปักใจรักคุณชายผู้หนึ่ง หลังแต่งเข้าจวนสกุลลู่มาจึงไม่ยอมทำหน้าที่ภรรยา แม้กระทั่งกับ พ่อแม่สามีก็ไม่เคยปรนนิบัติเลยสักครั้ง”
สีหน้าของเจียงซูเจินเรียบเฉยเหลือเกิน
“ยังบอกอีกว่า...คุณชายรองกำลังจะหย่ากับคุณหนูแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้มุมปากเล็กๆ ยกขึ้นเผยรอยยิ้มบางเบา “ถ้าหากเขาเขียนหนังสือหย่าให้ข้าเช่นคำเล่าลือก็คงดี ข้าจะพาเจ้าไปอยู่อารามชีทางใต้ ปลูกผักสวดมนต์ใช้ชีวิตเรียบง่ายนับว่าไม่เลวนัก”
“คุณหนู...”
เสี่ยวซือโอดครวญเสียงไม่ดังนัก “ถ้าหากคุณชายรองยอมปล่อยคุณหนูไปง่ายๆ ก็คงดี”
“เหตุใดเขาจะไม่ปล่อยข้าไปเล่า ในเมื่อข้ากับเขาหาได้มีความเกี่ยวพันกัน เราสองคนเป็นแค่สามีภรรยาในนามเท่านั้น อีกอย่างเจ้ารู้ดีไม่ใช่หรือว่าคุณชายรองกับข้า ต่างคนต่างอยู่ เดิมคิดว่าคงต้องอยู่สกุลลู่ไปอีกสักสองสามปี ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะได้ออกไปเร็วเยี่ยงนี้”
“แต่ข่าวลือพวกนั้น...หากปล่อยไว้นานอาจทำลายชีวิตคุณหนูก็เป็นได้”
“ทำลายชีวิตข้าหรือ” นางยิ้มแต่รอยยิ้มกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา “เจ้าไม่รู้หรือ ชีวิตข้าถูกทำลายไปตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว”
“คุณหนู!”
‘ไม่ว่าคุณชายรองจะเขียนหนังสือหย่าให้ข้าหรือไม่...สักวันหนึ่งข้าต้องไปจากเขาให้ได้’ แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้ไม่อาจพูดออกมา ทำได้เพียงคว้าตำราตรงหน้ามาอ่านอีกครั้ง แต่เพิ่งอ่านไม่ถึงสิบตัวอักษร ภายในห้องพลันมีเสียงหนึ่งเล็ดลอดเข้ามา
“นายหญิง แม่นมฮั่วมาเจ้าค่ะ”
คิ้วเรียวขยับเพียงเล็กน้อย แม้จะไม่เคยย่างเท้าออกจากที่นี่แต่เจียงซูเจินก็รู้ดีว่าแม่นมฮั่วคือผู้ใด หญิงวัยห้าสิบปีผู้นี้มิใช่เป็นแม่นมคนสนิทแม่สามีของนางหรอกหรือ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้มีเพียงหยัดกายขึ้น ให้เสี่ยวซือช่วยแต่งกายอย่างรีบร้อน กระทั่งแล้วเสร็จถึงได้ออกมาพบหน้า “แม่นมฮั่ว” เพิ่งจะย่อกายลง ปากยังไม่ทันได้เอ่ย นางกับสาวใช้คนสนิทก็ถูกบ่าวสูงวัยสี่คนลากตัวออกจากเรือน ทิศทางที่มุ่งไปคล้ายไม่ใช่เรือนหลักของนายหญิงใหญ่ แต่เป็นศาลบรรพชนซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของจวนต่างหาก
ดูท่า...ข่าวลือพวกนั้นคงลอยเข้าหูแม่สามีแล้วกระมัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ คำกล่าวโทษและการลงทัณฑ์ย่อมต้องตกใส่หัวของนางอยู่ดี
ก่อนแต่งเข้าจวน พอรู้มาบ้างว่าสกุลลู่ซึ่งเป็นตระกูลของแม่ทัพปกครองกันอย่างเข้มงวด แต่คงเพราะนับตั้งแต่แต่งเข้าจวนมาลู่อี้เหิงปล่อยปละนางให้ใช้ชีวิตราบเรียบจนเรียกได้ว่าโดดเดี่ยวจนเกินไป กฎธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัดเหล่านั้นจึงไม่เคยปฏิบัติและพบเห็นเลยสักครั้ง วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเจียงซูเจินก็เป็นถึงคุณหนูสิบสี่ที่เกิดจาก ฮูหยินรองเจิ้งหมิ่นหง ข้อบังคับสิ่งที่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงควรประพฤติปฏิบัติย่อมได้รับการสอนสั่งมาไม่น้อย ดังนั้นจึงทำเพียงก้มหน้าย่างเท้าไปตามแรงฉุดรั้งของบ่าวสูงวัย กระทั่งมาถึงโถงหลักกลางศาลบรรพชนถึงได้คุกเข่าลง
แม่สามีของนางผู้นี้ไม่ซักถามจริงเท็จสักคำก็ส่งนางกับสาวใช้มาคุกเข่าที่นี่เสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษกี่ชั่วยามกัน หวังว่า ลู่ฮูหยินคงไม่มีสายตาตื้นเขินจนเกินไปนัก หากมิเช่นนั้นขาทั้งสองข้างก็อย่าหวังว่าจะได้หยัดยืนขึ้นอีกเลย
เห็นคุณหนูคุกเข่า เงียบปาก ไร้เสียง เสี่ยวซือรู้สึกสงสารยิ่ง บุรุษผู้ที่คุณหนูมอบใจให้มิใช่คุณชายรองสกุลลู่หรอกหรือ เรื่องปรนนิบัติสามีกตัญญูต่อพ่อแม่สามีนั้นก็เป็นคุณชายรองที่หักห้ามเอาไว้
ในเมื่อต่างคนต่างอยู่ ใช้ชีวิตไร้ค่ายิ่งกว่าหญ้าต้นหนึ่ง เหตุใดโทษทัณฑ์เหล่านี้ต้องตกลงมาใส่หัวคุณหนูของนางด้วย เสี่ยวซือ อยากเอ่ยปากแต่พอมองแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอ
หากสาวใช้อย่างตนก่อเรื่อง เข่าทั้งสองข้างของคุณหนูเกรงว่าคงใช้งานไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ด้านหลังเงียบๆ ร่วมรับการลงโทษไปพร้อมๆ กัน
ถูกพาตัวมาตั้งแต่ยามโหย่ว คุกเข่าจนแผ่นหลังเปียกชื้น ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ยามจื่อสองเค่อเจียงซูเจินกับเสี่ยวซือถึงได้ถูกหามกลับเข้าเรือน
ท่ามกลางความเงียบสงัด เรือนชั้นในมีสาวใช้ยืนเวรยามไม่กี่คนเท่านั้น
พอเห็นนายหญิงของตนถูกหามกลับมาทุกคนถึงกับสูดหายใจเข้าปอดลึก มือไม้สั่นเทา แม้กระทั่งหางตาก็ยังเปียกชื้น
ต่อให้คุณหนูสิบสี่สกุลเจียงผู้นี้ไม่ได้รับความรักใคร่จากคุณชายรอง แต่หนึ่งเดือนกว่าที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้กันมา สะใภ้รองผู้นี้ดีกับบรรดาสาวใช้ในเรือนไม่น้อย
สาวใช้เรือนอื่นต้องอยู่ในกฎระเบียบตลอดเวลา แต่ผู้คนในเรือนนี้กลับใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างดี บางครายิ้ม บางครั้งหัวเราะ ขนมของว่างเงินตกรางวัลสะใภ้รองก็มอบให้ไม่ขาด
วันนี้สะใภ้รองเกือบสิ้นชีพบรรดาสาวใช้มีหรือจะไม่ร้อนใจ
“คุณหนู” เพราะเสี่ยวซือไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกขาน เมื่อในเรือนไม่มีผู้อื่นบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งขั้นสองจึงพลั้งปากเรียก เจียงซูเจินว่าคุณหนูเช่นกัน
คนเป็นนายกัดฟัน หักห้ามเสียงร้องเจ็บของตนไว้ “ข้าไม่เป็นไร พักผ่อนสักสองสามวันก็หายแล้ว พวกเจ้าต้องทำสิ่งใดก็ไปทำเถิด ในเรือนนี้มีชิงชิวกับชิงจือก็พอ” ชิงชิวกับชิงจือเป็นบ่าวขั้นหนึ่งของนาง แม้จะเป็นคนของสกุลลู่แต่นิสัยใจคอนับว่าซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ดังนั้นอยู่ร่วมกันเพียงเจ็ดวันเจียงซูเจินก็เลื่อนขั้นให้สองคนนี้
เมื่อไล่ผู้อื่นออกไปหมดแล้ว ถึงได้เอ่ยปากสั่งการ “ชิงชิวดูแลเสี่ยวซือให้ดี ข้ามีชิงจือคนเดียวก็พอ”
“คุณหนู...ให้ชิงชิวกับชิงจือดูแลท่านเถิด บ่าวไม่เป็นไร”
“ข้ากับเจ้าไม่ใช่คุกเข่ามาด้วยกันหรอกหรือ ข้าเจ็บเจ้าจะเจ็บน้อยกว่าได้ยังไง”
เสียงต่อว่าไม่จริงจังนัก พอเห็นเสี่ยวซือหลบตาถึงได้หันมามองหน้าสาวใช้ทั้งสอง “หลายวันนี้ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว ภายภาคหน้าข้ากับเสี่ยวซือจะมีโรคเรื้อรังหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งสอง”
“คุณหนูวางใจเถิด ระหว่างที่คุณหนูกับเสี่ยวซือถูกแม่นมฮั่วพาตัวไป พวกบ่าวเตรียมพร้อมไว้แล้ว”
“ชิงชิวกับชิงจือของข้ารอบคอบที่สุด” เจียงซูเจินชื่นชมทั้งสองคนจากใจจริง สองคนนี้อยู่จวนสกุลลู่มานาน นิสัยใจคอของ ฮูหยินใหญ่เป็นเช่นไรคงพอมองออกไม่มากก็น้อย เพียงชั่วอึดใจก็เห็นยาต้มยาประคบถูกยกเข้ามา ทว่าทันทีที่ชิงจือดึงชายกระโปรงของสะใภ้รองขึ้นต่อให้เตรียมพร้อมเพียงใดกลับอดสูดหายใจจนหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้
“คุณหนู...เข่าของท่าน”
เข่าที่เดิมทีขาวเนียนกระจ่างใสราวกับต้นหอมที่เพิ่งลอกใบทิ้งนั้นบัดนี้แดงจนกลายเป็นม่วงคล้ำ หากรักษาไม่ดีย่อมต้องทิ้งโรคเรื้อรังไว้เป็นแน่
เห็นสีหน้าของสาวใช้ไม่ดี เจียงซูเจินฝืนยิ้ม ลูบเข่าที่บวมช้ำของตนไปมา
“ไม่เป็นไร ผิวของข้าค่อนข้างบอบบางจึงดูน่ากลัวไปสักหน่อย ไม่เจ็บมากนักหรอก”
เพราะรู้ว่าคุณหนูกำลังปลอบพวกตน สาวใช้ทั้งสามทำเพียงสบตากันไปมา หลังจากนั้นชิงชิวกับชิงจือรีบกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วลงมือช่วยกันทำแผลให้ทั้งสองคนอย่างรีบร้อน มองสะใภ้รองกับเสี่ยวซือดื่มยาจนหมดชามแล้วจึงสามารถผ่อนลมหายใจออกมาได้บ้าง
“เกรงว่าเข่าของคุณหนูคงช้ำไปอีกหลายวัน” เสียวซือชะเง้อมอง ดวงตาทั้งสองข้างแสบร้อนยิ่งนัก
“เข่าของเจ้าก็ต้องช้ำไปอีกหลายวันเช่นกันมิใช่หรือ” คนเป็นนายเอ่ยปากบ้าง
“บ่าวทำงานใช้แรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เข่าช้ำแค่นี้ไม่กี่วันก็หาย คุณหนูเสียอีกที่ต้องเจ็บไปอีกหลายวัน ตอนอยู่สกุลเจียงถูกลงโทษให้คุกเข่าครึ่งชั่วยาม เข่าทั้งสองข้างมิใช่ช้ำไปสามวันหรอกหรือ หนนี้เกรงว่าครึ่งเดือนสีแดงช้ำนั่นคงไม่จางลงมากนักหรอก”
เจียงซูเจินทำหน้าไม่ถูก เพราะดูๆ แล้วอาการของนางคงไม่ต่างจากที่เสี่ยวซือพูดนัก เผลอๆ อาจหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะครั้งนั้นมารดาของนางจ้างหมอชื่อดังมารักษาให้ แต่หนนี้ยารักษาล้วนเป็นสิ่งที่พวกนางกับสาวใช้เตรียมเอาไว้ลวกๆ
“พรุ่งนี้ ให้ชิงชิวไปเชิญท่านหมอมาดูอาการท่านดีหรือไม่”
ได้ยินว่าเสี่ยวซือจะให้ตนไปเชิญหมอ ชิงชิวถึงกับหน้าซีด ก่อนจะก้มหน้าก้มตาบอก “จะออกจากจวนไปเชิญหมอ ต้องรับป้ายจากพ่อบ้านดูแลจวน หาไม่แล้วอย่าว่าแต่ออกจากจวนเลย แม้กระทั่งก้าวขาออกจากเรือนพวกเราก็ยังไม่สามารถทำได้”
ชิงจือพยักหน้าเห็นด้วย “การเข้าออกจวนแม่ทัพไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ว่า...”
“แต่ว่า...อันใดหรือ”
“ถ้าหากคุณชายรองออกหน้า พวกเราย่อมสามารถเชิญท่านหมอมารักษาคุณหนูได้”
“ขอร้องเขาหรือ” สีหน้าของเจียงซูเจินเฉยชายิ่งนัก นางส่ายหน้าเบาๆ
“ช่างเถิด กินยาที่มีในเรือนสักสามสี่หม้อก็คงหายแล้วล่ะ”
ชิงชิวกับชิงจืออ้าปากอยากทัดทาน แต่พอนึกถึงท่าทีที่คุณชายรองมีต่อสะใภ้รองแล้ว ก็พากันหุบปากเงียบเสียงทันที อย่าว่าแต่ขอร้องให้เชิญหมอเลย นับตั้งแต่แต่งงานขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันมา หลังจากคืนแต่งงานพวกนางนายบ่าวไม่เคยเห็นคุณชายรองเฉียดกายเข้าใกล้เรือนเก็บบุปผาหลังนี้เลยสักครั้ง จะว่าไปเชิญพญายมมารับร่างไร้วิญญาณยังง่ายกว่าเชิญหมอมารักษาสะใภ้รองด้วยซ้ำ