bc

คุณหนูสิบสี่ตระกูลเจียง

book_age18+
333
FOLLOW
1.2K
READ
HE
sweet
mystery
like
intro-logo
Blurb

‘ปีใดที่ข้าหวนคืนเมืองหลวง ข้าจะแต่งกับเจ้า...เจินเจิน”

บุรุษหนุ่มผู้ห้าวหาญในวัยสิบเจ็ดสิบแปดกล่าวถ้อยคำนี้กับเด็กสาวตัวเล็กผู้มีอายุเพียงสิบกว่าปี แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่เจียงซูเจินยังจำได้ดีว่าเมื่อครั้งนั้นตนปลาบปลื้มยินดีเพียงใด

มาวันนี้ ในที่สุดก็ได้แต่งเป็นภรรยาของเขา

………………………………………………………………………………………..

“ท่าน...ท่านพี่...” เอ่ยเรียกเสียงตะกุกตะกัก มือเล็กเรียวทั้งสองข้างกำชุดแต่งงานสีแดงไว้แน่น ก้นบึ้งของดวงตาฉายแววรอคอยและคาดหวัง ทว่าคนตรงหน้ากลับทำให้รู้สึกผิดหวังคล้ายกับเหวี่ยงนางขึ้นที่สูงแล้วโยนลงเหวร้างอย่างไรอย่างนั้น

ทันทีที่คำเรียกขานนี้หลุดออกมา ดวงตาสงบนิ่งเมื่อครู่ถึงกับสาดประกายไม่พอใจ แต่เพียงชั่วอึดใจก็เลือนหายเหลือเพียงความเคร่งขรึมที่เผยให้เห็นก่อนหน้า “คุณหนูสิบสี่เรียกข้าว่าคุณชายรองเถิด”

“แต่ข้า...” เป็นภรรยาของท่าน

ยังไม่ทันเอ่ยจบคนที่นางเฝ้ารอมาหลายปีกลับทำให้หัวใจเหน็บหนาวเป็นเท่าตัว

“คุณหนูสิบสี่ควรรู้ไว้...ข้าหาอยากรับเจ้าเป็นภรรยาเอกไม่ แต่ในเมื่อเจ้าเข้าสกุลลู่มาแล้ว เกียรติยศ ศักดิ์ฐานะของภรรยาเอกนั้นข้ายังคงเต็มใจมอบให้ นับจากนี้เราสองต่างคนต่างอยู่ อย่าได้ข้องเกี่ยวกันอย่างสามีภรรยาคู่อื่นเลย”

“ต่างคนต่างอยู่หรือ” เจียงซูเจินได้แต่ทวนคำพูดของเขาซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มอาบย้อมด้วยวาวน้ำจางๆ แต่สุดท้ายน้ำตาที่ใกล้ไหลอาบแก้มดั่งไข่มุกขาดร่วงจากสายกลับกลิ้งไปกลิ้งมา ชั่วอึดใจหนึ่งถึงสามารถซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้

“เรือนหลังนี้ข้ายกให้ ขอให้คุณหนูสิบสี่อยู่อย่างสบายใจ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง”

เขาบอกให้คิดว่าที่นี่เป็นบ้าน...บ้านของนางที่ตลอดชาตินี้เขาผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจะไม่มีทางก้าวย่างเข้ามา จบคำพูดนั้นแม้กระทั่งแผ่นหลังที่อยากจะมองให้มากหน่อยกลับไม่ยอมหยุดนิ่งเพื่อนางแม้สักครึ่งก้าว คุณชายรองสกุลลู่ทิ้งไว้เพียงสายลมวูบหนึ่งที่พัดเทียนมงคลมอดดับ กลิ่นเผาไหม้ของไส้เทียนโชยพัดไปทั่วเรือนนอน

chap-preview
Free preview
บทที่ ๑ เจ้าสาวสิบสี่
แคว้นเว่ย วันที่ยี่สิบเดือนสามรัชสมัยเว่ยเสียนตี้ปีที่สามสิบหก บุตรสาวห้าคนของใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการเจียงโหย่งเล่อล้วนขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวนเต็มไปด้วยความชื่นมื่น เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นไม่ขาด แต่ตัวเจ้าสาวทั้งห้าซึ่งอยู่ในเกี้ยวสีแดงมงคลจะมีความคิดหรือรู้สึกเช่นไรผู้อื่นมีหรือจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีคนเคยพูดว่าผู้อื่นไม่ใช่ปลาไหนเลยจะรู้ว่าปลารู้สึกอย่างไร ไม่ว่าพี่สาวน้องสาวจะยินดียินร้ายกับการแต่งงานในครั้งนี้หรือไม่ คุณหนูสิบสี่ในวัยสิบเจ็ดผู้เกิดปีเดียวกันกับน้องสิบเจ็ดและน้องสิบห้า หาได้ขบคิดให้วุ่นวายใจแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะยินดีกับการแต่งงานของตนมากเหลือเกิน นางเฝ้ารอขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งเข้าจวนตระกูลลู่มาหกปีแล้ว นับตั้งแต่เมื่อครั้งที่เจอคนผู้นั้นครั้งแรก ลู่อี้เหิง บุตรชายคนรองของท่านแม่ทัพลู่ผู้กรำศึกอยู่ชายแดนเหนือมาหกปี ในที่สุดตระกูลลู่ก็ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ยให้หวนคืนสู่เมืองหลวง เพิ่งกลับมาได้ครึ่งปีนางก็ได้แต่งเข้าตระกูลลู่สมกับคำมั่นสัญญาที่คุณชายรองเคยให้ไว้ ‘ปีใดที่ข้าหวนคืนเมืองสู่หลวง ข้าจะแต่งกับเจ้า...เจินเจิน” บุรุษหนุ่มผู้ห้าวหาญในวัยสิบเจ็ดสิบแปดกล่าวถ้อยคำนี้กับเด็กสาวตัวเล็กผู้มีอายุเพียงสิบกว่าปี แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่เจียงซูเจินยังจำได้ดีว่าเมื่อครั้งนั้นตนปลาบปลื้มยินดีเพียงใด มาวันนี้ ในที่สุดก็ได้แต่งเป็นภรรยาของเขา ถ้าหากด้านข้างมีสาวใช้คนสนิทอย่างเสี่ยวซือนั่งอยู่ด้วยล่ะก็ อีกฝ่ายคงเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่ผ้าคลุมศีรษะสีแดงฉานปิดไว้ไม่มิดเป็นแน่ แต่ถึงแม้เสี่ยวซือจะเดินด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเกี้ยว ทว่าลึกๆ ในใจแน่นอนย่อมรู้สึกยินดีกับคุณหนูของตนเพราะรู้ดีว่าคุณหนูสิบสี่เฝ้ารอพิธีแต่งงานในวันนี้มาช้านาน ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนออกห่างจากตระกูลเจียงมุ่งสู่ฝั่งบูรพาของเมืองหลวง ใช้เส้นทางหลักเส้นที่สองเพื่อผ่านตำหนักตะวันออกขององค์รัชทายาท เดินทางอีกหนึ่งชั่วยามก็มาถึงจวนตระกูลลู่ ป้ายจวนแผ่นใหญ่เหนือศีรษะนี้เป็นอักษรที่ฮ่องเต้เว่ยเสียนตี้พระราชทานให้ มองดูแล้วช่างให้ความรู้สึกฮึกเหิมแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ครึ่งปีก่อนมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ เหล่าตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงล้วนมอบคำยินดีกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งบิดาของนาง แน่นอนว่าผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนโจษจันกันถึงความสามารถของแม่ทัพลู่กับบุตรชายทั้งสาม คุณชายใหญ่ ลู่เสียนหวังเชี่ยวชาญกลศึก เป็นกุนซือคนสำคัญของกองทัพ ปีนี้อายุยี่สิบแปดปี สองปีก่อนแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลซาง ซางซีไห่ในวัยยี่สิบสองปีงดงามอ่อนหวานยิ่ง คุณชายสาม ลู่จิ้นเหอ ในวัยยี่สิบปี เก่งกาจด้านม้าศึก ขอเพียงได้อยู่บนหลังม้าไม่ว่าอาวุธใดก็หาทำอันตรายได้ไม่ และแน่นอนว่าฝีมือยิงธนูบนหลังม้าของคุณชายสามเป็นที่กล่าวขานจนต่างแคว้นหวาดกลัว ส่วนคุณชายรอง ผู้ที่เจียงซูเจินกำลังแต่งให้ ย่อมมากความสามารถไม่แพ้พี่ชายน้องชาย เพราะคนผู้นี้เป็นหนึ่งทั้งสองทาง ว่ากันว่า ถ้าหากลู่อี้เหิงมากความสามารถเป็นลำดับสอง ลำดับหนึ่งย่อมไม่ระบุชื่อของคุณชายสกุลใด แต่เจียงซูเจินไม่รู้เลยว่า คำเล่าขานเยินยอเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวของกาลก่อน ครึ่งปีหลังมานี้ทุกอย่างในจวนสกุลลู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจนถึงขั้นที่ว่าจากหน้าเป็นหลังมือ เดิมทีบรรยากาศแต่งงานควรชื่นมื่น บริเวณรอบจวนต้องประดับประดาด้วยการผูกผ้าสีแดงมงคล สีหน้าแววตาของบ่าวรับใช้ในจวนต้องเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทว่านับตั้งแต่เกี้ยวเจ้าสาวผ่านประตูใหญ่ของจวนเข้ามากลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก มิคล้ายกับการจัดพิธีของจวนอื่นแม้แต่น้อย พอเกี้ยวหยุดลง เจียงซูเจินยังไม่ทันก้าวเข้าสู่โถงทำพิธีก็ถูกส่งไปยังฝั่งตะวันตกของจวนเสียแล้ว ผ่านมานับสามชั่วยาม คุณหนูสิบสี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เบื้องหน้ามีบรรดาสาวใช้รุ่นใหญ่ยืนหลุบตามองปลายรองเท้าอย่างสงบเสงี่ยม ส่วนเสี่ยวซือแม้ท่าทางจะไม่ต่างจากคนอื่นทว่าแผ่นหลังกลับอาบไปด้วยเหงื่อแห่งความหวาดหวั่น ราวกับรู้ตัวว่าวันข้างหน้าชีวิตของคุณหนูและตนอาจไม่ได้สุขสงบเฉกเช่นที่วาดหวังไว้ “คุณหนู...” แม้เสียงเรียกของสาวใช้จะแผ่วเบาเช่นเดิม แต่เพราะอยู่ข้างกายมานานเจียงซูเจินจึงเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไร จึงทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีแดงหามีคำพูดใดหลุดลอดออกมา ทว่าฝ่ามือทั้งสองข้างกลับชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ ด้านนอก เสียงงานเลี้ยงในโถงหน้าคล้ายสิ้นสุดลง พร้อมกับแสงโคมภายในห้องถูกจุด แสงสีเหลืองนวลขยับวูบไหวทำให้เจียงซูเจินรู้ตัวว่าตนกำลังจะได้พบหน้าบุรุษผู้อยู่ในใจแล้ว ดังนั้นแผ่นหลังภายใต้ชุดเจ้าสาวสีแดงจึงเหยียดตรง ดวงตาดำขลับรูปเมล็ดซิ่งลอบมองไปยังประตูชั้นในอย่างรอคอย ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตรงนอกประตูแผ่นหลังยิ่งอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อ ความรู้สึกของการรอคอยแล้วสุขสมหวังทำให้แววตาเต็มไปด้วยวาวน้ำจางๆ แห่งความดีใจ เห็นคุณหนูยิ้มเสี่ยวซือก็พลอยยิ้มไปด้วย จนกระทั่งบุรุษในชุดเจ้าบ่าวสีแดงก้าวเข้ามาบดบังแสงสว่างจากโคมตรงมุมห้องเสี่ยวซือถึงได้รีบยอบกายแล้วหนีออกจากเรือนไป ทิ้งให้คุณหนูสิบสี่ของตนเผชิญหน้ากับบุรุษผู้ที่รอคอยมานานหลายปี ขณะเสี่ยวซือจากไปด้วยรอยยิ้ม ภายในใจของหญิงงามผู้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงกลับรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ถึงได้รู้สึกว่าบุรุษผู้ยืนอยู่ตรงหน้าหาใช่คุณชายรองที่ตนเคยมอบไมตรีจิตให้เมื่อครั้งนั้น คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม แต่แววตากลับราบเรียบยิ่งนัก ถึงแม้จะอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจทำให้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ความหวาดหวั่นบางอย่างทำให้ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดงเผือดสีลงเรื่อยๆ หรือว่าคุณชายรองจะลืมเลือนคนรักอย่างนางเสียแล้ว “ท่าน...ท่านพี่...” เอ่ยเรียกเสียงตะกุกตะกัก มือเล็กเรียวทั้งสองข้างกำชุดแต่งงานสีแดงไว้แน่น ก้นบึ้งของดวงตาฉายแววรอคอยและคาดหวัง ทว่าคนตรงหน้ากลับทำให้รู้สึกผิดหวังคล้ายกับเหวี่ยงนางขึ้นที่สูงแล้วโยนลงเหวร้างอย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่คำเรียกขานนี้หลุดออกมา ดวงตาสงบนิ่งเมื่อครู่ถึงกับสาดประกายไม่พอใจ แต่เพียงชั่วอึดใจก็เลือนหายเหลือเพียงความเคร่งขรึมที่เผยให้เห็นก่อนหน้า “คุณหนูสิบสี่เรียกข้าว่าคุณชายรองเถิด” “แต่ข้า...” เป็นภรรยาของท่าน ยังไม่ทันเอ่ยจบคนที่นางเฝ้ารอมาหลายปีกลับทำให้หัวใจเหน็บหนาวเป็นเท่าตัว “คุณหนูสิบสี่ควรรู้ไว้...ข้าหาอยากรับเจ้าเป็นภรรยาเอกไม่ แต่ในเมื่อเจ้าเข้าสกุลลู่มาแล้ว เกียรติยศ ศักดิ์ฐานะของภรรยาเอกนั้นข้ายังคงเต็มใจมอบให้ นับจากนี้เราสองต่างคนต่างอยู่ อย่าได้ข้องเกี่ยวกันอย่างสามีภรรยาคู่อื่นเลย” “ต่างคนต่างอยู่หรือ” เจียงซูเจินได้แต่ทวนคำพูดของเขาซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มอาบย้อมด้วยวาวน้ำจางๆ แต่สุดท้ายน้ำตาที่ใกล้ไหลอาบแก้มดั่งไข่มุกขาดร่วงจากสายกลับกลิ้งไปกลิ้งมา ชั่วอึดใจหนึ่งถึงสามารถซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้ “เรือนหลังนี้ข้ายกให้ ขอให้คุณหนูสิบสี่อยู่อย่างสบายใจ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง” เขาบอกให้คิดว่าที่นี่เป็นบ้าน...บ้านของนางที่ตลอดชาตินี้เขาผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจะไม่มีทางก้าวย่างเข้ามา จบคำพูดนั้นแม้กระทั่งแผ่นหลังที่อยากจะมองให้มากหน่อยกลับไม่ยอมหยุดนิ่งเพื่อนางแม้สักครึ่งก้าว คุณชายรองสกุลลู่ทิ้งไว้เพียงสายลมวูบหนึ่งที่พัดเทียนมงคลมอดดับ กลิ่นเผาไหม้ของไส้เทียนโชยพัดไปทั่วเรือนนอน นางพยายามห้ามใจแล้ว ยั้งฝีเท้าและบังคับตนให้นั่งเป็นวิญญาณไร้ชีวิตอยู่บนเตียงที่ตกแต่งด้วยผ้าสีแดง แต่เพราะก่อนหน้านี้มีความปรารถนาและความรักล้ำลึกเกินไปถึงได้พุ่งตัวเร่งฝีเท้าเพื่อเหนี่ยวรั้งบุรุษที่ปักใจรักไว้ น่าเสียดาย...ทุกย่างก้าวที่พยายามเดินเข้าหา กลับทำให้คุณชายรองสกุลลู่อยู่ห่างออกไปไกลมากขึ้น แม้กระทั่งรอยเท้าที่ย่ำเดินของเขายังรางเลือนจนมองไม่ชัด รอบกายไร้เงาร่างสูงใหญ่ของเขา แต่กลับมีบ่าวรับใช้นับสิบยืนเป็นรูปปั้นหิน ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองสตรีงดงามในชุด สีแดงที่ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวค่อยๆ ร่วงหล่นแม้แต่น้อย เมื่อเบื้องหน้ากระจ่างชัด ไร้ผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวที่บดบังดวงตา เจียงซูเจินเงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นชื่อเรือนที่สลักด้วยอักษร สีทอง ลายอักษรช่างเฉียบคมนัก ทว่าพอทอดสายตาจับจ้องนานๆ กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง ‘เรือนเก็บบุปผา’ มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าคนงาม ดวงตาแดงก่ำสองข้างเอ่อคลอด้วยวาวน้ำ จู่ๆ เสียงหัวเราะแผ่วเบาพลันเล็ดลอดออกมา ทว่าเสียงหัวเราะของคุณหนูสิบสี่จากตระกูลเจียงผู้นี้ชวนให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกสมเพชเวทนายิ่งนัก “คุณหนู...” เสี่ยวซือส่งเสียงเรียก มือที่จับชายแขนเสื้อสีแดงสั่นไม่น้อย สาวใช้คนสนิทคล้ายเพิ่งเห็นปราการแห่งความสุขของผู้เป็นนายพังครืนลงมา แรงกระตุกชายแขนเสื้อแม้ไม่มากแต่กลับทำให้สตรีที่หัวเราะอยู่เงียบเสียงลง ดวงตาแดงก่ำเหลียวมองพลางยิ้มบางๆ ให้ “ข้าไม่เป็นไร เสี่ยวซือของข้าอย่าคิดมากเลย” สาวใช้วัยสิบห้าสิบหกปีปาดน้ำตาบนแก้มทิ้ง มือข้างนั้นกุมชายแขนเสื้อคุณหนูของตนไว้แน่นกว่าเดิม คงเพราะในใจขมขื่นเสียงที่เปล่งออกมาถึงได้ฟังดูโศกเศร้ายิ่งนัก “อากาศยามนี้ไม่ค่อยดี พวกเรากลับเข้าเรือนกันเถิด” เจียงซูเจินอยากมองไปยังทิศทางที่คุณชายรองสกุลลู่หายไปอีกสักครั้ง แต่สุดท้ายกลับทำเพียงยืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วกลับเข้าไปในเรือน แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็คือ เรือนเก็บบุปผาไร้ซึ่งสีแดงมงคล เหลือเพียงเครื่องเรือนน้อยใหญ่ที่ควรมีเท่านั้น เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว...ในเมื่อเขาบอกให้ต่างคนต่างอยู่ ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา ก็จะปฏิบัติตามคำของเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง วันนี้และภายภาคหน้า นางยังคงเป็นเจียงซูเจิน หาใช่ภรรยาเอกของคุณชายรองสกุลลู่ไม่ และเช่นเดียวกันลู่อี้เหิงผู้นั้นก็มิใช่สามีของนาง คืนร่วมหอครั้งแรกสำหรับบรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหลายที่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งออกพร้อมกันคงมีความสุขยิ่งนัก คงไม่มีพี่หญิงน้องหญิงคนใดมีโชคชะตาน่าสมเพชเช่นนางกระมัง ทั้งๆ ที่ควรเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุด แต่กลับกลายเป็นหญิงที่โชคร้ายที่สุด คนรักลืมเลือนคำมั่น แม้กระทั่งร่วมทำพิธีของการแต่งงานให้สิ้นสุดเขายังคร้านจะทำ ยามทอดมองเรือนนอนที่ไร้สีแดงมงคล แม้ก้นบึ้งดวงตาจะปรากฏแววเย้ยหยันในชะตาชีวิตของตนแต่ใบหน้าที่เผยให้สาวใช้คนสนิทเห็นกลับเรียบเฉยยิ่ง ราวกับว่าสกุลลู่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตน นางเป็นเพียงต้นหญ้าไร้ค่าต้นหนึ่งที่ถูกโยนทิ้งไว้ในกระถาง ทว่าต่อให้ไม่มีผู้ใดรดน้ำใส่ปุ๋ย ต้นหญ้าอย่างนางก็ยังสามารถเติบโตแย่งชิงอาหารจากต้นไม้ในกระถางเดียวกันได้อยู่ดี คนผู้นั้นกำหนดให้ใช้ชีวิตอย่างนี้...นางก็จะใช้ก็แล้วกัน ในเมื่อเขาไม่ปรารถนาข้องเกี่ยว นางก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตน ขอเพียงสกุลลู่ซึ่งเป็นสกุลของแม่ทัพใหญ่ไม่ทำให้สกุลเจียงต้องลำบากเป็นพอ ทว่าเมื่อนึกถึงบิดาผู้เป็นเจ้ากรมพิธีการแล้วแววตาที่ฉายแววหวาดหวั่นกลับสงบลงไม่น้อย หากเทียบกันแล้ว บัดนี้ในสายพระเนตรของเว่ยเสียนตี้ฮ่องเต้ไม่รู้สกุลลู่จะยังเหลืออำนาจกดข่มสกุลเจียงได้หรือไม่ ช่างเถิด...เรื่องปกครองของโอรสสวรรค์ก็ให้โอรสสวรรค์ทรงวุ่นวาย นางเป็นเพียงสตรีต่ำต้อยก็ควรใช้ชีวิตของตนให้ดี ในเมื่อออกเรือนแต่งให้เขาแล้วย่อมต้องเชื่อฟังเขา เป็นเช่นนี้นับว่าถูกต้องตามหลักสามเชื่อฟังแล้วกระมัง

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

เชลยรักท่านอ๋องอำมหิต

read
13.2K
bc

แม่หมอแห่งซูโจว

read
6.1K
bc

คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียง

read
7.9K
bc

พันธะร้าย..ดวงใจรัก

read
1K
bc

พะยอมอธิษฐาน

read
1.8K
bc

รักต้นฉบับ(ไม่ลับ)แม่มดมนตรา

read
1K
bc

ป๊ะป๋าผมเป็นมาเฟีย

read
1.3K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook