‘ปีใดที่ข้าหวนคืนเมืองหลวง ข้าจะแต่งกับเจ้า...เจินเจิน”
บุรุษหนุ่มผู้ห้าวหาญในวัยสิบเจ็ดสิบแปดกล่าวถ้อยคำนี้กับเด็กสาวตัวเล็กผู้มีอายุเพียงสิบกว่าปี แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่เจียงซูเจินยังจำได้ดีว่าเมื่อครั้งนั้นตนปลาบปลื้มยินดีเพียงใด
มาวันนี้ ในที่สุดก็ได้แต่งเป็นภรรยาของเขา
………………………………………………………………………………………..
“ท่าน...ท่านพี่...” เอ่ยเรียกเสียงตะกุกตะกัก มือเล็กเรียวทั้งสองข้างกำชุดแต่งงานสีแดงไว้แน่น ก้นบึ้งของดวงตาฉายแววรอคอยและคาดหวัง ทว่าคนตรงหน้ากลับทำให้รู้สึกผิดหวังคล้ายกับเหวี่ยงนางขึ้นที่สูงแล้วโยนลงเหวร้างอย่างไรอย่างนั้น
ทันทีที่คำเรียกขานนี้หลุดออกมา ดวงตาสงบนิ่งเมื่อครู่ถึงกับสาดประกายไม่พอใจ แต่เพียงชั่วอึดใจก็เลือนหายเหลือเพียงความเคร่งขรึมที่เผยให้เห็นก่อนหน้า “คุณหนูสิบสี่เรียกข้าว่าคุณชายรองเถิด”
“แต่ข้า...” เป็นภรรยาของท่าน
ยังไม่ทันเอ่ยจบคนที่นางเฝ้ารอมาหลายปีกลับทำให้หัวใจเหน็บหนาวเป็นเท่าตัว
“คุณหนูสิบสี่ควรรู้ไว้...ข้าหาอยากรับเจ้าเป็นภรรยาเอกไม่ แต่ในเมื่อเจ้าเข้าสกุลลู่มาแล้ว เกียรติยศ ศักดิ์ฐานะของภรรยาเอกนั้นข้ายังคงเต็มใจมอบให้ นับจากนี้เราสองต่างคนต่างอยู่ อย่าได้ข้องเกี่ยวกันอย่างสามีภรรยาคู่อื่นเลย”
“ต่างคนต่างอยู่หรือ” เจียงซูเจินได้แต่ทวนคำพูดของเขาซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มอาบย้อมด้วยวาวน้ำจางๆ แต่สุดท้ายน้ำตาที่ใกล้ไหลอาบแก้มดั่งไข่มุกขาดร่วงจากสายกลับกลิ้งไปกลิ้งมา ชั่วอึดใจหนึ่งถึงสามารถซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้
“เรือนหลังนี้ข้ายกให้ ขอให้คุณหนูสิบสี่อยู่อย่างสบายใจ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง”
เขาบอกให้คิดว่าที่นี่เป็นบ้าน...บ้านของนางที่ตลอดชาตินี้เขาผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจะไม่มีทางก้าวย่างเข้ามา จบคำพูดนั้นแม้กระทั่งแผ่นหลังที่อยากจะมองให้มากหน่อยกลับไม่ยอมหยุดนิ่งเพื่อนางแม้สักครึ่งก้าว คุณชายรองสกุลลู่ทิ้งไว้เพียงสายลมวูบหนึ่งที่พัดเทียนมงคลมอดดับ กลิ่นเผาไหม้ของไส้เทียนโชยพัดไปทั่วเรือนนอน