หลังจากที่เสวี่ยอี้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับอ๋องแปดในคืนนั้น ทำให้ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมากขึ้น
น้ำเสียงและคำพูดดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ถ้อยคำทุกคำที่อ๋องแปดเอ่ยล้วนอ่อนโยนและอ่อนหวาน
อ๋องแปดมักจะพยักหน้ารับฟังความคิดเห็นของเสวี่ยอี้เสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน สายตาของอ๋องแปดตอนจ้องมองนางช่างดูเปล่งประกายและสุกสว่างดั่งลูกแมวแสนเชื่อง
ไม่ต่างจากวันนี้….
ในขณะที่เสวี่ยอี้กำลังใช้มือปักเย็บผ้าของนางอยู่ อ๋องแปดก็มานั่งเฝ้ามองดู ข้างกายนางไม่ห่าง
"วันนี้ท่านอ๋องไม่ไปทรงงานหรือเพคะ มานั่งจ้องหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันเสียสมาธินะเพคะ" เสวี่ยอี้เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ก็ข้าไม่อยากห่างเจ้าไปไหนนี่ ข้าอยากอยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน เจ้าเข้าใจข้าใช่หรือไม่...เสวี่ยอี้” อ๋องแปดเอ่ยพลางเผยแววตาอ่อนหวานลึกซึ้งไม่หยุดหย่อน
เสวี่ยอี้ม้วนบิดเขินอายเมื่อได้ยินเช่นนั้น ถึงแม้จะไม่ค่อยชินกับคำหวานเช่นนี้เสียเท่าไหร่นัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านางก็รู้สึกชื่นชอบคำหยอดหวานเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
“แต่ท่านอ๋องต้องทรงงานนะเพคะ ไว้เมื่อไหร่ท่านอ๋องทรงงานเสร็จแล้ว ก็ค่อยมาอยู่กับหม่อมฉันดีหรือไม่เพคะ”
“แต่ข้า…” อ๋องแปดแสดงสีหน้าเศร้าสลดพลางส่งสายตาวิงวอน
เสวี่ยอี้ส่งยิ้ม จ้องมองอ๋องแปดด้วยแววตาอ่อนโยน พลางเอ่ย “ไม่ได้เพคะ เอาหม่อมฉันไปรวมกับหน้าที่ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันใกล้จะปักผ้าผืนนี้เสร็จแล้ว ท่านอ๋องไปทรงงานเถิดเพคะ”
“อย่างนั้นก็ได้...ข้าเชื่อเจ้า” อ๋องแปดเอ่ยตอบรับทั้ง ๆ ที่รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนของตนเพื่อทำงานตามคำขอ ส่วนทางด้านเสวี่ยอี้ ก็ยังคงนั่งปักเย็บร้อยผืนผ้าอยู่เช่นเดิม
ถึงแม้ว่าตอนนี้ ความรักของนางจะถูกเติมเต็มโดยอ๋องแปด ผู้เป็นสามีเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังคงโหยหาและคิดถึงครอบครัวอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้ท่านพ่อ ท่านแม่และอี้ฉางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน” เสวี่ยอี้เอ่ยพึมพำในขณะที่นางกำลังใช้เข็มเย็บผ้าปักผืนผ้าอยู่
แต่ก่อนนางเคยเป็นหมอยา ดูแล ทำการรักษาผู้ป่วย ไม่เคยได้หยุดพัก จึงไม่แปลกเลยที่นางจะรู้สึกเบื่อหน่าย เวลาที่อยู่นิ่งเฉยหรือทำกิจกรรมบางอย่างเยี่ยงสตรี เช่น การปักผ้า แบบที่นางกำลังทำอยู่ตอนนี้
.
.
.
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน คนรับใช้ในจวนของอ๋องแปดนายหนึ่ง ก็เดินมารายงานบางสิ่งกับเสวี่ยอี้
“นายหญิงขอรับ…มีคนมาขอเข้าพบนายหญิงขอรับ”
“ขอพบข้างั้นหรือ...น่าแปลก ผู้ใดกันนะ” เสวี่ยอี้เอ่ยพลางทำท่าครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยต่อ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเป็นผู้ใด”
“รู้ขอรับนายหญิง”
“ผู้ใดกันล่ะ”
“องค์รัชทายาทขอรับ องค์รัชทายาทให้ข้าน้อยนำเรื่องมาบอกนายหญิงขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสวี่ยอี้ก็รู้สึกแปลกใจที่อ๋องสิบต้องการจะขอพบกับนาง และคิดว่าอ๋องสิบ อาจมีเรื่องสำคัญก็เป็นได้ นางจึงเอ่ยสั่งการกับคนรับใช้ว่า “เจ้าจงไปพาองค์ชายมาหาข้าที”
“ขอรับนายหญิง” คนรับใช้รับคำ ก่อนที่จะเดินออกไปแจ้งกับอ๋องสิบตามคำสั่งการ และเพียงไม่นาน เขาก็พาอ๋องสิบ เข้ามาพบกับเสวี่ยอี้ด้านในจวน
เมื่อทั้งสองได้พบหน้ากัน อ๋องสิบก็พลันส่งรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้เสวี่ยอี้ทันใด พลางเอ่ย “เสวี่ยอี้...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ...ดั้นด้นมาถึงนี้ จะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ใช่หรือไม่เพคะองค์ชาย” เสวี่ยอี้รี่เอ่ยถามเปิดประเด็นก่อน
“เจ้าช่างหลักแหลมเสียจริง...เสวี่ยอี้” หลังเอ่ยจบอ๋องสิบก็เผยใบหน้าสลดขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยต่อ “ตอนนี้น้องสาวข้า นามว่า เหม่ยหลี่ กำลังป่วยหนัก หมอหลวงคนไหนก็ต่างพากันเบือนหน้าหนี เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นโรคร้าย ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นหมอที่เก่งกาจ และตระกูลเจ้าก็เปิดโรงหมอมาเนิ่นนาน เจ้าลองเข้าไปรักษาน้องสาวข้าจะได้หรือไม่”
เสวี่ยอี้ฟังอ๋องสิบเอ่ยแล้วรู้สึกสงสารองค์หญิงเหม่ยหลี่จับใจ นางคงทุกข์ตรมใจยิ่งนักที่ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ทำให้นางนึกถึงคำของทวดของตน ที่เคยเอ่ยฝากฝังก่อนสิ้นชีพ ว่าให้นางยึดมั่นในการเป็นหมอ ที่รักษาผู้คนที่เจ็บป่วยไข้ โดยไม่บ่ายเบี่ยง ถึงแม้นางจะมิใช่หมอที่เก่งกาจที่สุด แต่นางก็อยากที่จะลองรักษาองค์หญิงให้หายดู
“หากเจ้าไม่สบายใจ ก็ไม่เป็นไร…” อ๋องสิบเอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเห็นเสวี่ยอี้นิ่งคิดไปครู่ใหญ่
“ปะ เปล่าเพคะ หม่อมฉันอยากช่วยองค์หญิงเพคะ แต่หม่อมฉันไม่รับประกันนะเพคะ ว่าจะช่วยได้หรือ เพราะหม่อมฉันก็มิได้เก่งกาจอะไร เหมือนดั่งที่องค์ชายเยินยอเอาไว้”
“เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย แค่เจ้าพยายามช่วยน้องข้า ก็ถือเป็นบุญคุณแก่ข้ามากแล้ว”
“บะ บุญคุณอะไรกันเพคะ หม่อมฉันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้เพคะ” เสวี่ยอี้เอ่ยพลางก้มหน้ามองต่ำด้วยใบหน้าสลด
“ฮ่า ๆ เจ้าจะรู้สึกผิดไปทำไมกัน เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”
“ก็….”
“เอาเป็นว่า อีกสามวัน ข้าจะให้ทหาร นำรถม้ามารับเจ้าเข้าไปในวัง ตกลงหรือไม่”
.
.
.
“ไม่! ข้าไม่อนุญาต!”
เสียงหนึ่งเอ่ยดังขึ้น ทำให้ทั้งสองหันมองที่ต้นเสียงทันที
แล้วก็พบว่า อ๋องแปด กำลังมองจ้องทั้งสองคนอยู่ตาเขม็งด้วยความโกรธเคือง
“ท่านพี่...มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องสิบเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นท่าทางของพี่ชายตนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
“ข้าต้องถามเจ้ามากกว่าน้องสิบ เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร!”
“ข้าเป็นสหายกับเสวี่ยอี้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้น้องเหม่ยหลี่กำลังป่วยหนัก ข้าก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากนางพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าไม่อนุญาต เจ้ากลับไปเถิด”
“ท่านพี่ได้โปรดมีเหตุผลด้วย นั่นน้องของเรานะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่มีหมอคนอื่นแล้วหรือ ที่เจ้าเลือกชายาข้า มีจุดประสงค์อื่นหรือไม่”
“ท่านอ๋อง!” เสวี่ยอี้จ้องมองอ๋องแปดด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะเอ่ยขอร้องอีกครั้ง “ให้หม่อมฉันไปช่วยองค์หญิงเถิดเพคะ หากรักษาองค์หญิงหายดีแล้ว หม่อมฉันจะรีบกลับจวนโดยไวเลยเพคะ”
เสวี่ยอี้ส่งสายตาอ้อนวอนสามีตนแวววับเปล่งประกาย เพื่อหวังให้อ๋องแปดเห็นใจ
แต่ความรู้สึกชิงชังและหึงหวงของอ๋องแปด มีมากเสียยิ่งกว่าความเห็นใจใด เขายังคงยืนกรานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งดังเดิม “ไม่! เจ้าห้ามไปไหน ข้าไม่ให้เจ้าไป”
อ๋องสิบส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ เขารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีนัก จึงตัดสินใจงัดไม้แข็งเข้าสู้กับพี่ชายตน พลางคว้าใบสั่งการจากฮ่องเต้ยื่นส่งให้อ๋องแปด ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเยือกเย็นและแสยะยิ้มออกมาเยี่ยงผู้ชนะ “นี่เป็นใบสั่งการจากท่านพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่จะฝ่าฝืนพระบัญชาอย่างนั้นหรือ”
อ๋องแปดรู้สึกหมดทางสู้เมื่อได้เห็นคำสั่งการนั้น เขาใช้มือรับและอ่านมันอย่างละเอียด พลางเอ่ยด้วยท่าทางหัวเสีย “หึ! เจ้านำเรื่องไปขอร้องท่านพ่องั้นหรือ”
“เหม่ยหลี่เป็นลูกของท่านพ่อเช่นกัน ท่านพี่คิดว่าท่านพ่อจะยอมปล่อยให้เหม่ยหลี่เจ็บป่วยไปตลอดแบบนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องปล่อยเสวี่ยอี้เข้าไปรักษาน้องสาวตนในวัง แต่เขาก็มิอาจฝืนพระบัญชาจากบิดาได้
“เช่นนั้น เจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย...เสวี่ยอี้” อ๋องแปดหันไปเอ่ยกับเสวี่ยอี้ด้วยแววตาโศกเศร้าเสียใจ
ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเสวี่ยอี้ที่รู้สึกดีใจยิ่งนัก เพราะการที่นางได้รักษาองค์หญิง ก็เหมือนกับนางได้กลับไปพัวพันกับวิชาทางการแพทย์อีกครั้ง