ณ ตำหนักองค์หญิงเหม่ยหลี่
องค์หญิงเหม่ยหลี่ มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับว่ามิเคยมีแผลเป็นมาก่อน มีแค่บางตำแหน่งเลือนลางที่ยังปรากฏอยู่บนร่างกายเท่านั้น
“ยาของเจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้เสวี่ยอี้” องค์หญิงเหม่ยหลี่เผยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“ยินดีด้วยเพคะองค์หญิง...หากแต่ ถึงเวลาเปิดโปงคนปองร้ายองค์หญิงแล้วเพคะ”
“เปิดโปงหรือ” องค์หญิงเหม่ยหลี่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
เสวี่ยอี้ส่งเสียงเงียบ มิตอบกลับใดใด
เพียงชั่วครู่ก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งจากตำหนักองค์หญิงเข้ามากล่าวรายงาน
“องค์หญิงเพคะ... พระนางจิงหนานมาขอพบเพคะ" สาวใช้กล่าวทูลรายงาน
“ให้ท่านอาเข้ามาได้”
“เพคะ” สาวใช้ตอบรับและเดินไปแจ้งถึงความประสงค์ขององค์หญิงต่อพระนางจิงหนาน
พระนางจิงหนาน เดินเข้ามาให้ห้องขององค์หญิงด้วยท่าทีสำรวม
“หลานข้า...เจ้าหายดีแล้วหรือ” พระนางจิงหนานเอ่ยทักทาย
“เพคะท่านอา...หากมิได้ยาสมุนไพรจากท่าน ข้าคงมิได้เห็นเดือนเห็นตะวันเฉกเช่นวันนี้”
พระนางจิงหนานเผยรอยยิ้มเจื่อน “ข้าดีใจเหลือเกิน ที่ข้าได้ช่วยเจ้า วันนี้ข้าจึงมาเยี่ยมเสียหน่อย”
“เหม่ยหลี่ขอบพระทัยท่านอาเพคะ... หากแต่ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่าท่านได้ยาสมุนไพรชนิดนี้มาได้อย่างไร” องค์หญิงเหม่ยหลี่ส่งสายตาจ้องมองพระนางจิงหนานเป็นประกายด้วยความอยากรู้
“ข้าเดินทางไปเมืองหนึ่งที่อยู่ห่างไกล พบว่ายาชนิดนี้มีสมุนไพรที่หายากและสามารถช่วยเจ้าได้ ข้าเลยนำมาให้เจ้า”
“เมืองนั้นคือเมืองเหย่าเฉิงใช่หรือไม่เพคะ” เสวี่ยเอ่ยขึ้นในขณะที่ทั้งสองเจรจากันอยู่
“เจ้าเป็นใคร... เหตุใดถึงพูดจามิรู้ความ” พระนางจิงหนานจ้องเขม็งไปยังเสวี่ยอี้ พลางเอ่ยตะคอกเสียงดัง
“ผู้นี้คือเสวี่ยอี้...ผู้รักษาอาการหม่อมฉันเองเพคะ เสวี่ยอี้แค่เอ่ยถามเท่านั้น เหตุใดท่านอาทรงโกรธกริ้วถึงเพียงนี้เพคะ”
“หม่อมฉันทราบมาว่าตระกูลขององค์หญิงแต่เดิมมาจากเมืองเหย่าเฉิง ซึ่งเป็นเมืองเดียวที่หม่อมฉันเกิด ที่นั่นเลื่องลือเรื่องสมุนไพรอย่างมาก หากเป็นคนในพื้นที่นั้นๆ หม่อมฉันมิแปลกใจเลย หากท่านจะสามารถหายาสมุนไพรให้องค์หญิงได้เพคะ”
“สิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยหลานข้าได้ ข้าทำทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นหรือเพคะ....เมืองเหย่าเฉิงเป็นป่าดงดิบซะส่วนใหญ่ มีทั้งสมุนไพรหายากและแมลงมีพิษต่างๆ อาศัยอยู่ ท่านทรงรู้เป็นอย่างดีเลยใช่หรือไม่เพคะ”
“ถ้าใช่....เจ้าจะทำไม” พระนางจิงหนานกระแทกเสียงถามด้วยสายตาโกรธแค้น
เสวี่ยอี้ยกขวดโหลใสใส่แมลงคันที่พบเจอที่สวนให้พระนางจิงหนานดู “ท่านรู้จักแมลงชนิดนี้หรือไม่เพคะ”
พระนางจิงหนานเปิดตากว้าง แสดงท่าทีตกใจ 'เจ้าเอาแมลงอะไรมาให้ข้าดู'
"แมลงที่ท่านจงใจปล่อยเอาไว้ในสวนไงเพคะ แมลงชนิดนี้อยู่ในป่าดงดิบเท่านั้น มีแค่พระนางผู้เดียวที่ล่วงรู้ถึงพิษของมัน
เริ่มแรกพระนางคงอยากให้องค์หญิงเสียโฉมอย่างช้าๆ หรือไม่เพคะ แต่พระนางก็ยังนำยาสมุนไพรที่ใส่ใบเลี่ยงมาช่วยเสริมความเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้แผลขององค์หญิงลามพุพองเสียหมด พระนางวางแผนอย่างแยบยล หม่อมฉันชื่นชมเสียจริงเพคะ"
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้... เจ้า! กล้าดีอย่างไรมากล่าวหาข้า” พระนางจิงหนานเผยสีหน้าเกรี้ยวโกรธราวกับว่าจะฉีกเนื้อเสวี่ยอี้ออกเป็นชิ้น ๆ ที่กล้าเอ่ยต่อนางเช่นนี้
“เรื่องจริงหรือไม่เพคะท่านอา” องค์หญิงเหม่ยหลี่หันมาถามพระนางจิงหนานด้วยความงงงวย อย่างไม่เชื่อสายตา
“ไม่จริง...ข้ามิได้ทำเช่นนั้นเหม่ยหลี่” พระนางจิงหนานส่งเสียงโวยวายปฏิเสธลั่น
"ลั่วเหอ...เอาตัวนางมา" เสวี่ยอี้ตะโกนสั่งการ
ลั่วเหอเมื่อได้รับคำสั่ง จึงเดินเข้าไปมุมหนึ่งของห้องแล้วจับตัวเสี่ยวกูกูที่ถูกมัดไว้นั่งลงกับพื้น
“เสี่ยวกูกูยอมรับกับหม่อมฉันแล้วเพคะ ว่าพระนางคือผู้บงการเรื่องทั้งหมด”
“เสี่ยวกูกู...นี่เจ้า! ทรยศข้าอย่างนั้นหรือ” พระนางจิงหนานจ้องมองเสี่ยวกูกูด้วยสายตาเครียดแค้น
เสี่ยวกูกูส่ายศรีษะไปมา ไม่เอ่ยปริปากคำใด เอาแต่ก้มหน้าก้มตานิ่งหลบสายตาพระนางจิงหนาน
องค์หญิงเหม่ยลี่ชะงักนิ่ง เผยอปากขึ้นเล้กน้อย กวาดสายตามองเสี่ยวกูกูและพระนางจิงหนานด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้เพคะท่านอา ข้าทำสิ่งใดให้ท่านอาอย่างนั้นหรือ” องค์หญิงเค้นถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้าพูดอะไรน่ะ...ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำ” พระนางจิงหนานยังคงกล่าวปฏิเสธ
“หลักฐานมัดตัวเช่นนี้ ยังไม่ยอมรับอีกหรือเพคะ หรือจะให้ข้าส่งท่านอาไปสอบสวนดี โทษของการลอบทำร้ายหม่อมฉัน ร้ายแรงเพียงใด ท่านอาก็น่าจะรู้ดีนะเพคะ” องค์หญิงเหม่ยหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ใบหน้ามุ่งมั่นแต่แฝงด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก
พระนางจิงหนานหมดหนทางโต้แย้ง หากโดนสอบสวนคนในตระกูลคงโดนโทษไปด้วยเสียแน่ จึงเงียบสักพักแล้วตัดสินใจเอ่ยความในใจทั้งหมด
“เจ้าจำมิได้หรือเหม่ยหลี่ ตอนเยาว์วัยเจ้าทำสิ่งใดเอาไว้”
“ท่านอาจะพูดสิ่งใด” องค์หญิงเหม่ยหลี่ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เจ้าทำร้ายบุตรีของข้า!!!!! เจ้าผลักนางล้ม ใบหน้าไปกระแทกกระจกรุนแรงแตกเป็นเสี่ยง จนใบหน้าเสียโฉม บัดนี้เจ้าก็สมควรได้รับการเอาคืนแล้วนี่!!!!!”
“ท่านอาหมายความว่า....เหตุการณ์ที่ข้ามิได้ตั้งใจเมื่อวัยเยาว์ เป็นสาเหตุให้ท่านโกรธแค้นข้าหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของพระนางจิงหนานเอ่อคลอด้วยน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งไหลทุกเมื่อ
“บุตรีของข้ามิอาจเผชิญโลกภายนอกได้เพราะความอับอาย ข้าต้องขังเขาเอาไว้ในบ้าน เจ้าสมควรได้รับความอัปยศมากกว่านี้!!!!!!” พระนางจิงหนานพูดพลางร่ำไห้ออกมาเสียงดัง
“ท่านอา…” องค์หญิงเหม่ยหลี่ตะลึงงันในเหตุผลของการลอบทำร้ายครั้งนี้ ข้าเป็นฆาตกรทำร้ายผู้อื่นงั้นหรือ
'ข้ามิรู้ความ...ท่านอาเข้าใจหรือไม่ ข้าขอโทษ...ข้ามิรู้ความ' องค์หญิงเหม่ยหลี่สะอื้นไห้ร้องออกมาด้วยความรู้สึกผิด ใช้มือทั้งสองข้างคว้ากอดที่ขาของจิงหนานแน่น
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้!” จิงหนานพยายามสะบัดขาออกจากมือขององค์หญิงเหม่ยหลี่
“พอได้แล้ว!!!” น้ำเสียงเข้มทุ้มจากฮ่องเต้ ผู้ซึ่งแอบซุ่มฟังการเปิดโปงอยู่ด้านนอกดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก
“ฝ่าบาท...” พระนางจิงหนานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น
“เสด็จพ่อ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” องค์หญิงเหม่ยหลี่พยายามแสดงอาการปกติ ทำทีว่ามิได้มีปัญหาใดใด
“ข้าได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว และเจ้า!” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางพระนางจิงหนาน “เหตุใดถึงไม่ปล่อยวางเสีย....การกระทำของเจ้าครั้งนี้ช่างร้ายแรงนัก”
“ทหาร! เอาตัวนางไปโบย 100 ที เอานางไปขังคุก 20 วัน จากนั้นส่งนางไปที่ชายแดนห่างไกล” ฝ่าบาทกล่าวสั่งการลงโทษพระนางจิงหนานแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างหัวเสีย
พระนางจิงหนานโดยทหารส่วนพระองค์จับตัวทันทีที่ได้รับคำสั่ง
"ไม่!!!!!!!!!! หลานข้า ช่วยข้าด้วย ไม่!!!!!!!!!" พระนางจิงหนานส่งเสียงกรีดร้องลั่น เอ่ยอ้อนวอนองค์หญิงเหม่ยหลี่ก่อนที่จะถูกจับส่งไปโบย
องค์หญิงเหม่ยหลี่ยังคงร้องสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ เสวี่ยอี้จึงเข้าไปปลอบ “องค์หญิงอย่าไปทรงโทษตัวเองไปเลยเพคะ”
องค์หญิงเหม่ยหลี่หันตัวเข้าไปกอดเสวี่ยอี้พลางร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง
สิ่งนี้สะเทือนใจองค์หญิงยิ่งนัก หากแต่ใช่คนอื่นไกลที่ทำร้ายไม่ แต่เป็นผู้ร่วมสายเลือดตระกูลเดียวกัน จึงยากแก่การทำใจ