ถึงภายนอกจะทำตัวปกติ (มั้ง) แต่จริงๆ ข้างในใจะฉันมันฟุ้งซ่านมากๆ สมองมันเอาแต่คิดถึงภาพที่ตื่นมมาแล้วเจอสงครามนอนอยู่ข้างๆ
“สั่งให้แล้ว ฉันจะออกไปข้างนอกจะเอาอะไรไหม ?” สงครามลุกขึ้นยืนเต็มความสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบนิดๆ
“ไม่ๆ นายรีบไปธุระเถอะ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ได้แต่ภาวนาให้เขารีบๆ ออกไปจากห้อง
“ยังไงก็ช่วยคิดหน่อยแล้วกันว่าเมื่อคืนฉันพาใครมาห้อง” ก่อนจะไปเขายังหันมาบอก สนใจอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ใจคอไม่ดีเลยฉัน
“…ถ้านายรู้แล้วจะทำยังไง”
“จะอยากรู้ไปทำไม ?”
“เพื่อนอย่างฉันจะอยากรู้ไม่ได้เลยหรือไง”
สงครามไหวไหล่ให้กับคำตอบโต้ของฉัน จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากห้อง ให้หลังจากที่สงครามออกไปแล้วฉันก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉันนั่งลงบนโซฟาที่เดิมและเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง….
ตอนนี้มันมีหลากหลายอารมณ์ตีกันวุ่นวาย ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่เคยอยากให้มันเกิดกับเราสองคน ไม่อยากทำลายคำว่าเพื่อนเพราะความผิดพลาด
การเก็บเรื่องนี้เอาไว้มันทำให้ฉันอึดอัด เพราะต้องจมอยู่กับความผิดพลาดคนเดียว
เสียใจก็เสียใจ เพราะฉันไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายคนไหนมาก่อน นั่นมันครั้งแรกแล้วทำไมครั้งแรกของฉันมันถึงไม่น่าจดจำขนาดนี้นะ
ชาติที่แล้วฉันไปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้
#วันต่อมา มหาวิทยาลัย
วันนี้ฉันขึ้นรถเมล์มาที่มหาวิทยาลัยเพราะถ้าให้นั่งรถกับสงครามคงทำตัวไม่ถูกเหมือนเมื่อวาน และเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ได้ปลุกเขา ความรู้สึกตอนนี้มันไม่กล้าสู้หน้าจริงๆ
….ฉันอยากให้เวลากับตัวเองสักพัก
“ยัยด้าย!!!” เสียงของมีนาตะโกนเรียกใกล้ๆ หู ทำให้ฉันสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ
“มีนา เล่นอะไรใจหายใจคว่ำหมด” พูดจบฉันก็ยกมือขึ้นมาทาบอกตัวเอง
“เหม่อใจลอยคิดถึงผู้ชายคนไหนอยู่ ฉันเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ยิน”
“เปล่าคิดถึงใครสักหน่อย”
“แล้วคิดอะไรอยู่ถึงได้เหม่อขนาดนั้น”
“ก็….ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแกจะสงสัยทำไม แล้วทำไมมาเอาป่านนี้ปกติแกไม่เคยมาสายนะ” พอได้จังหวะฉันก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้พี่เมฆมาส่งเลยสายนิดหน่อย” มีนามีพี่ชายคนหนึ่ง พี่เมฆเรียนจบไปแล้วและกำลังช่วยงานที่บริษัทของครอบครัว
“อื้อๆ”
“ก….แก สงคราม สงครามเดินมาทางนี้ด้วย ฉันจะทำยังไงดีมือไม้สั่นไปหมดแล้ว” มีนาเขย่าตัวฉันเบาๆ แล้วพูดชื่อคนที่ฉันตั้งใจหลบหน้า ทำเอาหัวใจมันหล่นวูบ
ไม่นานสงครามก็เดินมาหยุดตรงหน้า เขามองอย่างหาเรื่องก่อนจะถาม “ทำไมเธอไม่ปลุกวะ เห็นไหมว่าฉันสาย”
“ฉันมีเรียนเช้า”
“ปกติมีเรียนเช้าเธอก็ปลุกฉันได้”
“นายจะให้ฉันคอยปลุกตลอดเลยรึไง หัดตื่นด้วยตัวเองบ้างสิ”
ฉันถูกสงครามจ้องเขม็งเขาเดินหนีไปโดยไม่โต้ตอบอะไรกลับมา แค่ไม่ปลุกแค่นี้ไม่เห็นจะต้องโวยวายใหญ่โต
“ยัยด้าย แกกับสงครามเถียงกันอย่างกับคนเป็นแฟนกันแหนะ” มีนาพูดหลังจากที่สงครามไปไกลแล้ว
“แฟนอะไรของแก เห็นไหมว่าแค่เป็นเพื่อนมันก็น่าปวดหัวจะตาย”
“ก็แกไม่ยอมปลุกเขานี่นา….”
“ฉันผิด ?” ฉันขมวดคิ้วถามมีนา นี่ก็เห็นอกเห็นใจสงครามสินะ
“เอาน่าๆ ไปเรียนกันดีกว่า” มีนาดึงแขนฉันให้เดินตามไปทางตึกเรียน
วันนี้ฉันไม่รับอะไรเข้ามาในหัวเลยเพราะเอาแต่คิดเรื่องบ้าๆ
พอเลิกเรียนก็รีบกลับมาที่คอนโดแล้วก็มานั่งลุ้นว่าสงครามจะโผล่มาเมื่อไหร่ แต่วันนี้เขาไม่เข้ามาห้องฉัน ซึ่งมันก็แปลกแต่ก็ดีแล้ว
ฉันขอเวลาทำใจอีกนิดแล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจ
สามวันผ่านไป ฉันไม่ได้ไปปลุกสงครามที่ห้องอย่างที่เคยทำ เปลี่ยนเป็นปลุกด้วยการโทรไปแทน ส่วนสงครามเองก็ไม่ได้มาที่ห้อง ไปเรียนเราก็ต่างคนต่างไป
ฉันที่บอกกับตัวเองว่าจะพยายามเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคำว่าเพื่อนระหว่างเรามันค่อยๆ เปลี่ยนไป
หรือฉันคิดไปเอง….หรือว่าสงครามจะโกรธที่ฉันไม่ยอมปลุกวันนั้นทำให้เขาไปเรียนสาย
“….เดี๋ยวแกพาฉันแวะร้านขายยาก่อนนะ จะซื้อยาคุมฉุกเฉิน”
“…..อีกแล้วหรอ ทำไมไม่บอกให้แฟนแกใส่ถุงยางบ้าง”
ฉันชะงักเมื่อได้ยินบทสนทนาของนักศึกษาหญิงสองคนที่เดินผ่าน ทำให้ฉุกคิดไปว่าคืนนั้นได้ป้องกันหรือเปล่า จะไปถามตรงๆ ก็ไม่ได้ ยังไงฉันก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบเดินออกจากมหาวิทยาลัยเรียกแท็กซี่ให้พาไปร้านขายยา มันรู้สึกเกร็งมากๆ ที่ต้องมาซื้อของแบบนี้ แต่จะไม่ซื้อก็ไม่ได้
#คอนโด
ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดประตูเข้าห้อง จู่ๆ ประตูห้องของสงครามก็เปิดออก ทำให้เราสองคนประจันหน้ากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นให้ได้เลยในตอนนี้
“น….นายจะออกไปข้างนอกหรอ”
“อืม นัดพวกไอ้แปงเอาไว้”
“อื้อ ฉันเข้าห้องก่อนนะ” พูดจบฉันก็หันหลังรีบใช้มือที่สั่นเทาสแกนคีย์กาด แต่เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกสงครามก็แทรกตัวเข้ามาในห้องด้วย
ปัง! เสียงสงครามปิดประตูห้องฉันดังสนั่น
“เป็นอะไรวะ!!”
“ป…เป็นอะไร…ฉันก็ปกตินะ” ทั้งที่พูดว่าปกติเองแท้ๆ แต่ยังไม่กล้าจะมองหน้าเขาเลย
“ปกติ?”
“นายจะโวยวายทำไม”
“ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจก็พูด เป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปีทำไมจะดูไม่ออกวะ!!!”
“ฉันบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง นายจะเสียงดังทำไมเนี่ย”
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรงั้นคืนนี้ไปคลับ”
“เอาไว้วันหน้านะ วันนี้ฉันเหนื่อยๆ”
“เธอไม่ปกติ เป็นอะไรพูดมา”
เขาเอาแต่คาดคั้นอยู่ได้ จะให้ฉันพูดได้ยังไงขนาดฉันยังรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
“นายนั่นแหละเป็นอะไรเอาแต่บังคับให้พูดอยู่ได้ ฉันบอกว่าไม่เป็นอะไรไง” ฉันบอกปัดรำคาญแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น แต่ก็ถูกรั้งแขนเอาไว้
“จู่ๆ เธอก็เงียบทำเหมือนหลบหน้าจะให้คิดยังไงวะ เป็นเพื่อนกันมีอะไรก็คุยมาดิ!! ทำไม!! โกรธที่ฉันโวยวายเรื่องที่เธอไม่ปลุกวันนั้น ?”
“ใช่!! ฉันโกรธเรื่องนั้น” เพราะฉันเองก็ไม่รู้จะอ้างไปว่ายังไง ถ้าเกิดยังไม่ยอมพูดเขาก็คงจะยิ่งเค้นถามอยู่แบบนี้
อีกอย่างฉันควรเลิกเป็นแบบนี้ได้แล้ว ต้องใช้โอกาสนี้ทำให้คำว่าเพื่อนระหว่างเราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“แค่นั้นก็โกรธหรอวะ ปกติก็เห็นต่อปากต่อคำกับฉันตลอด พูดอะไรก็ไม่เห็นจะโกรธ” พูดจบสงครามก็ปล่อยมือออกจากแขนของฉัน
“บางวันฉันก็เหนื่อยนะ เรียนเหมือนกันไม่ได้ว่างตื่นปลุกนายทุกวัน”
“เออๆ ถ้าโกรธเรื่องนั้นก็ ขอโทษๆ คราวหลังเป็นอะไรก็พูดตรงๆ” จากแววตาที่เกี้ยวกาดตอนนี้มันก็กลายเป็นปกติแล้ว
“อือ นัดพวกแปงเอาไว้ไม่ใช่หรือไงรีบไปสิ อ๋อ! แล้วถ้าเมาไม่ต้องโทรมาหาฉันนะ วันนี้ฉันเพลียอยากพักผ่อน”
“ไปทำงานไม่ได้ไปดื่ม หัดมองเพื่อนในแง่ดีหน่อย”
“ใครจะไปรู้ปกติพวกนายรวมตัวกันทีไรก็มีแต่เมาทุกครั้ง แถมเมื่อกี้ยังชวนฉันไปคลับลืมแล้วรึไง”
“ก็แค่ชวนดูว่าเธอจะตอบยังไง ไม่ได้คิดจะไปจริงๆ”
“อือไปได้แล้ว”
“เออ! คิดออกหรือยังว่าคืนนั้นฉันพาใครมาห้อง?”
“เมาขนาดนั้นคิดไม่ออกหรอก เลิกถามเรื่องนั้นได้แล้วต่อให้ถามเป็นร้อยรอบคำตอบของฉันก็เหมือนเดิม”
“เพื่อนถามนิดถามหน่อยทำเป็นรำคาญ” สงครามมองค้อนพร้อมกับพูดเหน็บแนม
“ไปได้แล้ว”
“เดี๋ยว! เพื่อนเธอคนนั้นชื่ออะไรนะ”
“ถามทำไม นายสนใจหรอ?”
“ก็น่ารักดี”
“อย่าคิดจะฟันเพื่อนฉันแล้วทิ้งเชียวนะ ถ้าคิดแบบนั้นห้ามยุ่งเด็ดขาด ถ้าฉันรู้จะโกรธจริงๆ ด้วย” ฉันชี้หน้าสงคราม เพราะรู้ดีว่าเขาเจ้าชู้ตัวพ่อขนาดไหนจึงไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกับมีนา กลัวว่าเธอมาเสียเพราะรายนั้นหลงรักสงครามมานานแล้ว
“เออๆ ไม่ยุ่งก็แค่ชมว่าน่ารักดี”
“จะเจ้าชู้กับใครก็ได้แต่อย่าคิดเจ้าชู้ใส่เพื่อนฉัน” ฉันยังไม่จบ ต้องย้ำให้เข้าใจ
“เออรู้แล้ว”
“เลิกเป็นเสือเมื่อไรฉันจะยอมให้นายจีบมีนาได้”
“แล้วถ้าเพื่อนเธออยากเล่นกับเสือ แบบนี้ไม่ขัด ?”
“ปิดประตูห้องให้ด้วยล่ะ” ฉันบอกปัดรำคาญก่อนจะเดินหนี
ครั้งนี้สงครามก็ยังรั้งไว้อีก เขาใช้มือคว้าแขนแต่ฉันสะบัดออก นั่นทำให้มือของสงครามพลาดมาโดนกระเป๋าของฉันหล่นพื้น
ปกติฉันจะไม่ปิดซิบกระเป๋าสะพายเพราะต้องล้วงมือหยิบโทรศัพท์บ่อยๆ จึงทำให้ข้าวของในกระเป๋ามันกระจายที่พื้น
ฉันเบิกตากว้างเมื่อเห็นยาคุมฉุกเฉินอยู่ที่พื้นรีบก้มลงไปเก็บ แต่ทว่า! สงครามดันเร็วกว่า
ดวงตาคู่นั้นของสงครามเพ่งมองด้วยความสงสัยพลางใช้มือพลิกแผงยาคุมฉุกเฉินไปมาอย่างสำรวจ
ฉันพยายามคิดในแง่ดี เขาเป็นผู้ชายคงไม่รู้หรอกว่าไอ้ในมือมันคืออะไร เพราะของแบบนี้มีแค่ผู้หญิงที่ต้องใช้
“….เธอใช้ของแบบนี้ทำไม ?”
“…….” เหมือนฉันจะประเมินความรู้ของเขาต่ำเกินไป พอถูกถามกลับทำให้ไม่รู้จะอ้างไปว่าอะไรดี