ภายในรถม้าเงียบสงัดเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
เซี่ยหนิงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยทำลายความเงียบ
“หนึ่งปีที่แต่งเข้าจวนซ่งก็นับว่านาน...” หญิงสาวเกริ่น ชำเลืองมองร่างสูงพลางพูดต่อว่า “ข้าก็เองเหนื่อยแล้วที่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งตาม เหนื่อยแล้วที่ต้องคิดว่าทำอย่างไรท่านถึงจะสนใจในตัวข้าทั้งที่รู้ว่าไม่มีทาง เพราะท่านเองก็มีหญิงในดวงใจอยู่แล้ว ที่สำคัญข้าไม่มีวันเข้าไปแทนที่นางได้”
เซี่ยหนิงเงียบไปอึดใจ คิ้วโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อย นางยังชำเลืองมองเขาอยู่ เห็นเขาตั้งใจฟังที่นางพูดก็เอ่ยต่อ “ข้าทบทวนเรื่องนี้มาได้สักพัก ข้าคิดว่าข้าควรพอแล้ว พวกเรามาหย่ากันเถิดเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้นซ่งหลานถึงกับตื่นตะลึง รีบหันขวับจ้องหน้าหญิงสาว หูเขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าหย่างั้นหรือ?”
เซี่ยหนิงพยักหน้าหนักแน่น “ใช่เจ้าค่ะ”
ครั้นจะง่าย...ก็ง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ความจริงซ่งหลานเองก็ตั้งใจจะพูดเรื่องหย่ากับนางในวันนี้เช่นกัน มิใช่ว่าไม่เคยพูด หลายครั้งที่ผ่านมา พอเอ่ยคำว่าหย่าทีไรนางก็เอาแต่เดินหนีทำหูทวนลม ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าเขาไม่รักนาง ไม่แม้แต่จะสนใจนางด้วยซ้ำ
พักหลังมานี้ซ่งหลานมักขมวดคิ้วจนริ้วรอยรอบดวงตาเริ่มปรากฏ เพราะวันสองวันมานี้ เซี่ยหนิงทำให้เขาประหลาดใจอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เซี่ยหนิงพูดขึ้นอีกว่า “ที่จริงแล้วการแต่งงานของเรามีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง เป็นพวกผู้ใหญ่เจรจากันเองลับหลัง บิดาของท่านต้องการให้ท่านพ่อของข้าช่วยเรื่องขนถ่านหินไปยังเมืองลิ่งจื่อ ส่วนท่านพ่อของข้าก็ต้องการให้บิดาของท่านช่วยให้พี่ลูกพี่ลูกน้องของข้าเข้ารับราชการ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบิดาของท่านถึงยังไม่อยากให้ท่านหย่าเสียที” นางเป็นผู้อ่านนิยายเรื่องนี้ รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครไม่น้อย บิดาของเซี่ยหนิงเห็นโอกาสในการแต่งงานครั้งนี้ ใต้เท้าซ่งเหวินก็เช่นกัน
ซ่งหลานนั้นไม่เคยรู้เรื่องเจรจาลับนี้ เขาเคยไปหาบิดาเพื่อพูดคุยเรื่องหย่า แต่บิดาก็มักบอกปัดและขอให้เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
เซี่ยหนิงยังกล่าวต่อ “เพราะเรื่องเหมืองมีปัญหาจึงทำให้การขนส่งถ่านหินล่าช้า อีกไม่กี่เดือนก็เข้าหน้าหนาว ถึงยามนั้นการขนส่งก็จะยิ่งลำบาก”
ยิ่งการเดินทางไปเมืองลิ่งจื่อ เมืองเศรษฐกิจที่อยู่ติดชายแดน ไม่ใช่ใครจะไปก็ไปได้ แต่บิดาเซี่ยหนิงผู้ซึ่งขนส่งสินค้าไปทั่วทุกมุมแคว้นจึงค่อนข้างมีอิทธิพล ขอเพียงมีตราประทับของสกุลวาณิชเซี่ย จะเดินทางไปที่ใดก็ล้วนได้รับความสะดวกสบาย
ซ่งหลานหรี่ตามองเซี่ยหนิงอย่างประเมิน นางรู้เรื่องครอบครัวเขาลึกเพียงนี้เชียวหรือ ตอนนี้ที่เหมืองมีปัญหาจริง จึงทำให้แผนงานล่าช้ากว่าเดิม
สกุลซ่งนอกจากรับราชการแล้วก็ยังทำการค้า นอกจากเหมืองถ่านหิน ก็ยังมีร้านขายผ้าและร้านอาหารแห้ง
เซี่ยหนิงยังคงพูดต่อ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ลูกพี่ลูกน้องของข้าน่าจะเข้ารับราชการได้ช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หากข้อแลกเปลี่ยนระหว่างครอบครัวสิ้นสุด พวกเราก็หย่ากันเมื่อนั้น ระหว่างนี้ท่านและข้าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ซ่งหลานไม่อยากจะเชื่อหูตนเองเท่าไรนัก สิ่งที่นางพูดออกมานั้นราวกับไม่ใช่ตัวนาง ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งาม สิ่งที่นางพูดนั้นออกมาจากใจจริง “ข้าจะไม่ถามว่าเจ้ารู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้อย่างไร แต่ข้าอยากถามว่าทุกประโยคที่เจ้ากล่าวมานั้น สติของเจ้าไม่เลอะเลือนใช่หรือไม่”
เซี่ยหนิงถลึงตามองอีกฝ่าย นี่เขาหาว่านางเพี้ยนไปหรืออย่างไรกัน “ข้าไม่ได้เลอะเลือน!”
สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากเซี่ยหนิงก็คือใบหย่ามิใช่หรือ ซ่งหลานครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วค่อยพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพวกเราจะหย่ากัน”
.
.
ซ่งหลานให้อาเว่ยไปสืบเรื่องเจรจาลับระหว่างบิดาและคหบดีเซี่ย สรุปได้ว่าที่เซี่ยหนิงกล่าวมานั้นจริงทั้งหมด
แทนที่ซ่งหลานจะรู้สึกเบาใจทว่ากลับไม่ เหมือนมีอะไรบางอย่างมารบกวนจิตใจซึ่งเขาเองก็หาสาเหตุไม่ได้เช่นกัน
พักหลังเขาเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับนาง จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือจนตั้งรับไม่ทัน
ซ่งหลานเดินทางมาที่อำเภอชิงไห่ ลงมาตรวจสอบนายอำเภอมู่ ซึ่งได้รับร้องเรียนว่านายอำเภอแซ่มู่ผู้นี้ทุจริตเงินงบประมาณ นำเงินหลวงเข้ากระเป๋าตนเอง แล้วปล่อยให้ชาวบ้านต้องอยู่อย่างยากไร้
หลังค้นบ้านนายอำเภอมู่ ซ่งหลานก็ให้คนช่วยกันขนเอกสารทั้งหมด นำกลับมาตรวจที่โรงเตี๊ยมซึ่งได้จองห้องพักไว้
ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมเป็นร้านอาหาร ผู้คนจึงเดินสวนกันเข้าออกมากหน้าหลายตา ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น สายตาของเขากลับสะดุดอยู่ที่คนผู้หนึ่ง
โต๊ะมุมริมหน้าต่างมีสาวงามนั่งอยู่ นางสวมชุดสีชมพูอ่อนพลิ้วแลดูสดใส กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับคนสนิท แม้มองจากที่ไกล เขาก็รู้ได้นางคือใคร
ซ่งหลานรีบเดินเข้าไปทัก “ลู่เอ๋อร์”
หลี่เสี่ยวลู่กำลังนั่งคุยเรื่องการแสดงหุ่นกระบอกกับสาวใช้คนสนิท เสียงทักฟังดูคุ้นหูทำให้นางต้องเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นบุรุษแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นสีเข้ม กำลังส่งยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น
หลี่เสี่ยวลู่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นเขาที่นี่ “พี่หลาน พี่มาได้อย่างไร”
ซ่งหลาน “ข้ามาทำงาน แล้วเจ้าเล่า มาทำอะไรที่อำเภอชิงไห่”
หลี่เสี่ยวลู่พยักหน้าเข้าใจ ลืมไปเสียสนิทว่างานของซ่งหลานส่วนใหญ่ต้องเดินทาง “ข้ามาเยี่ยมญาติท่านแม่ที่นี่ กำลังจะเดินทางกลับแล้วเจ้าค่ะ ทว่าท่านแม่ดันมีธุระกระทันหัน นางจึงให้ข้ารออยู่ที่นี่ประเดี๋ยว”
ซ่งหลานแอบส่งสายตาให้สาวใช้ประจำตัวหลี่เสี่ยวลู่ นางเองก็รู้ความจึงปลีกตัวออกไปยืนห่างๆ
ซ่งหลานถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามหลี่เสี่ยวลู่ ตั้งใจบอกเรื่องสำคัญแก่นาง “ข้าจะหย่ากับนาง”
มือเรียวงามที่กำลังรินน้ำชาถึงกับชะงัก หลี่เสี่ยวลู่เงยหน้าขึ้น แววตาวูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง “หย่า...หรือเจ้าคะ”
“อืม” คราแรกซ่งหลานกระตือรือร้นที่จะได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่นาง ครั้นพอพูดออกไปแล้วในใจกลับว่างเปล่าประหลาด
หลี่เสี่ยวลู่รินน้ำชาก่อนยื่นให้อีกฝ่าย แม้สีหน้านางจะเรียบเฉย ทว่าในใจกลับคาดหวังและรอคอย “เหตุใดถึงหย่าเล่าเจ้าคะ”
ซ่งหลานรับถ้วยชาจากนาง ยกขึ้นจิบคำแล้วคำเล่า เขาคิดไว้ว่าหากพบหน้ากันอีกครั้ง เขาจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ซานเยวี่ยให้นางรับรู้ ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับเซี่ยหนิง ทว่าเมื่อถึงเวลากลับไร้คำจะเอ่ย
ความอึดอัดเกิดขึ้นในใจ โชคดีที่ที่ปรึกษาหยวนเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหู ซ่งหลานจึงมีข้ออ้างบ่ายเบี่ยง “ไว้วันหน้าจะเล่าให้เจ้าฟัง วันนี้งานค่อนยุ่ง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้าเองก็เดินทางปลอดภัยเล่า”
หลี่เสี่ยวลู่ไม่ได้นึกแปลกใจกับท่าทีของเขา ปกติซ่งหลานก็เป็นเช่นนี้ มีเรื่องด่วนเขามักปุบปับจากไปทันที
นางยิ้มกล่าว “ได้เจ้าค่ะ ไว้วันหน้าพี่ค่อยเล่าให้ข้าฟัง”
ข้ายินดีรอพี่เสมอ