...เพราะความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ ได้สร้างเด็กชายที่เคยสดใสน่ารัก ให้กลายเป็นคนใจร้าย...
เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบนั่งอยู่หน้าโลงศพสีขาวที่ประดับด้วยดอกไม้สดและมีไฟกระพริบดวงเล็ก ๆ ล้อมรอบ เสียงสะอื้นดังอยู่ไม่ขาดสาย ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงคืนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าปริณจะหยุดร้องไห้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
หน้าโลงศพมีรูปของผู้หญิงหน้าตาสะสวย รอยยิ้มและแววตาของเธอดูอ่อนโยน แต่เสียดายที่เธอจากไปด้วยอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น สาเหตุจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ปริณมองดูรูปแม่แล้วก็ร้องไห้อยู่แบบนั้น ร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กชายสั่นสะท้าน เขามีแม่เป็นความรักเดียวในชีวิต แต่ตอนนี้ข้างกายเขาไม่เหลือใครอีกแล้ว
“ปริณ ไปกินข้าวบ้างเถอะลูก” เสียงของป้าสาดังขึ้น และใช้มือลูบลงที่แผ่นหลังของเด็กชายด้วยความสงสาร
ป้าสา เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านติดกัน เวลาที่แม่ไม่อยู่บ้าน ก็มีป้าสาคอยส่งข้าวส่งน้ำให้
“ผมไม่หิวครับ” ปริณตอบกลับมาเบา ๆ ปนกับเสียงสะอื้นไห้
ภายในศาลา 8 ที่เป็นสถานที่ตั้งศพของน้ำฟ้า มีคนมาร่วมงานไม่มากนัก เธอไม่มีญาติที่ไหน ส่วนมากก็เป็นเพื่อนบ้านที่มาช่วยงานเพราะนึกสงสารลูกชายของเธอที่ยังเด็กเกินกว่าจะจัดการอะไรได้
“ไม่หิวก็กินหน่อยเถอะปริณ เดี๋ยวจะเจ็บไข้ไปอีกคน” ป้าสายังคงพยายามโน้มน้าวเขาต่อ
“ป่วยก็ดีครับ ผมจะได้ตามแม่ไปเร็ว ๆ”
“ปริณเอ้ย”
ป้าสารั้งตัวปริณเข้ามากอด ฝ่ามือลูบลงบนหลังด้วยความเอ็นดูปนสงสาร จากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าไม่มีญาติที่ไหน ก็คงต้องทำเรื่องให้เจ้าหน้าของรัฐมารับตัวไปดูแล เพราะตัวเองก็ไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะเลี้ยงได้
“นั่นใครน่ะ มาทำอะไรที่นี่”
“คนรู้จักไอ้ฟ้ามันเหรอ”
“หรือว่าจะเป็นเจ้านายนะ”
ชาวบ้านที่มาช่วยงานเริ่มพูดคุย และพากันหันไปมองยังด้านหน้าศาลา ทำให้ปริณและป้าสาหันมองตามไปด้วย
กลุ่มคนที่ใส่ชุดสีดำสนิทกำลังเดินเข้ามาข้างใน มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินนำหน้า และมีผู้หญิงกับผู้ชายอายุราวสามสิบปีอีกห้าคนเดินตามหลัง
ท่าทางพวกเขาไม่น่าจะใช่คนแถวนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครรู้จักสักคนเดียว ป้าสาพาปริณลุกขึ้นแล้วเดินมายังพวกเขาทั้งหมดที่ยืนอยู่
“มาทำอะไรกันที่นี่เหรอจ๊ะ หรือว่าเป็นคนรู้จักของฟ้า”
ป้าสาเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม หญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีผมสีขาวแซมนิดหน่อยปรายตามองเล็กน้อย แล้วหันสายตาไปมองยังปริณที่ยืนอยู่
“ฉันมาร่วมงานศพ หลังจากเสร็จงานก็จะรับหลานชายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน”
คำตอบของคนตรงหน้าทำเอาป้าสาและปริณหันมองหน้ากัน ชาวบ้านที่อยู่บนศาลาก็ไม่ต่าง ทุกคนต่างหันมองหน้ากันไปมาแล้วหันกลับไปมองยังคนกลุ่มเดิม
“ผมไม่รู้จักพวกคุณ ผมว่าพวกคุณคงมาผิดศาลาแล้วล่ะครับ ที่นี่คงไม่มีหลานชายของพวกคุณหรอกครับ”
ปริณพูดออกมาด้วยท่าทีใสซื่อ ตั้งแต่จำความได้ แม่ไม่เคยบอกเขาว่ามีญาติที่ไหนอีก ในความทรงจำมีแต่แม่คนเดียวเท่านั้นที่เลี้ยงดูมาจนถึงตอนนี้
“ชื่อปริณใช่ไหม ย่ามาไม่ผิดหรอก เพราะแม่ของเราเป็นคนส่งจดหมายไปให้ย่าเอง”
หญิงวัยกลางคนส่งจดหมายมาให้เขา ปริณยื่นมือออกไปรับแล้วอ่านที่ละบรรทัดอย่างช้า ๆ สลับกับมองหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย จดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของแม่เขาจริง ๆ อีกทั้งยังมีรูปภาพและสำเนาใบเกิดที่แนบมาด้วย
เนื้อความในจดหมาย พูดถึงตัวเขาและคำยืนยันที่บอกว่า ปริณคือลูกชายของปรารณ หากติดใจตรงไหนสามารถตรวจดีเอ็นเอได้ เพียงแต่ ถ้าหากรู้ความจริงแล้วขอให้ช่วยรับเลี้ยงดูปริณต่อไป เพราะตัวน้ำฟ้าเองรู้ดีว่าไม่สามารถมีชีวิตดูแลลูกต่อไปได้อีกแล้ว
น้ำตาใสหยดลงบนกระดาษ มือขยำกระดาษแผ่นนั้นจนยับยู่ยี่
“ผมไม่ไป ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ยังไงเราก็ต้องกลับไปกลับย่า”
“ไม่ไป! ผมบอกว่าผมไม่ไป!”
เด็กชายตวาดเสียงดังลั่น และหันหลังจะวิ่งกลับมานั่งที่เดิม แต่ก็โดนป้าสาดึงแขนเอาไว้ก่อน
“ปริณ ไปเถอะลูก มันคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว แม่เราถึงได้เขียนจดหมายไปหาพวกเขา” เด็กชายเงยหน้ามองป้าสาทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด ปริณได้แต่ยืนนิ่ง ๆ คิดทบทวนก่อนที่จะพยักหน้าตกลง หากแม่ต้องการเขาก็จะทำตาม
/////
หลังจากเสร็จงานศพของน้ำฟ้า ปานฤทัยผู้เป็นย่าก็พาปริณกลับมาที่กรุงเทพมหานครด้วยกัน รถสีดำคันใหญ่วิ่งเข้ามาจอดในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันใหญ่โตจนสามารถเรียกว่าคฤหาสน์ก็ย่อมได้
ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เด็กชายก็ใช้สายตากวาดมองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งที่น่าจะอายุมากกว่าแม่ของเขาไม่กี่ปี
“จากนี้ไปปริณต้องอยู่ที่นี่ จะมีคนคอยดูแลทุกอย่าง ทั้งเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า และคนคอยไปรับส่งเวลาไปโรงเรียน”
ปานฤทัยค่อย ๆ บอกหลานชายไปทีละอย่างพร้อมกับเดินนำเข้ามาในตัวบ้าน ปริณเดินตามหลัง และมีชายหญิงสองคนเมื่อกี้เดินตามมาด้วย
“คนที่เดินตามหลังอยู่ชื่อสายทิพย์กับเถกิง ปริณจะเรียกว่าป้าสายทิพย์กับลุงเถกิงก็ได้ ทั้งคู่จะเป็นคนคอยดูแลทุกอย่างของปริณ” ผู้เป็นย่ายังอธิบายไม่หยุดเพื่อให้หลานชายที่เพิ่งมาใหม่ได้เข้าใจ จนเดินมาถึงห้องนั่งเล่น
“นั่งก่อนสิ” ปานฤทัยเอ่ยบอกหลานชาย แล้วตัวเองก็นั่งลงบนโซฟา
ปริณมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ยอมนั่งลงไป แต่สายตาก็ยังกวาดมองรอบ ๆ บ้าน คล้ายกำลังสำรวจให้แน่ใจว่าที่นี่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติหรืออันตราย
“บ้านนี้เป็นของปริณ ย่ายกให้” ผู้เป็นย่าพูดเสร็จก็เว้นหายใจครู่เดียว “จากนี้ไป ฐานะของปริณคือ คุณชายปริณ”
“คุณชายเหรอครับ”
ใบหน้าของเขาหันกลับมามองพร้อมกับคำถาม สายตาของเด็กชายเต็มไปด้วยความสงสัย
“ใช่ คุณชายปริณ ที่จริงเราต้องเรียกย่าว่าคุณหญิงย่า แต่ก็ไม่เป็นไร เรียกย่าเฉย ๆ ก็พอ เรื่องโรงเรียน เดี๋ยวย่าจะให้คนจัดการให้เรียบร้อย ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ก็คงเสร็จ”
“ครับ คุณย่า”
ปริณเผยรอยยิ้มบาง ๆ ตอบรับ อย่างน้อยก็รู้สึกโชคดีที่มีย่าที่ดูจะรักเขาอยู่ไม่น้อย
หลังจากปานฤทัยกลับไปแล้ว ปริณก็เดินตามป้าสายทิพย์ขึ้นมายังชั้นสองของตัวบ้านเพื่อมาดูห้องนอนของเขา นัยน์ตาคมของเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบยังคงสำรวจตัวบ้านเรื่อย ๆ มีแม่บ้านอีกหลายคนที่มารอต้อนรับและมองดู
“ห้องของคุณปริณอยู่ห้องนี้นะคะ มีอะไรขาดเหลือก็เรียกสายได้เลย แต่จริง ๆ แล้ว บ้านหลังนี้ก็เป็นของคุณปริณทั้งหมดค่ะ อยากจะทำอะไรก็ได้”
ป้าสายทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาของเธอเอ็นดูเด็กชายตรงหน้ามาก เพราะเมื่อก่อน สายทิพย์เคยอยู่รับใช้น้ำฟ้า ตอนที่ยังไม่โดนไล่ออกจากบ้านหลังนี้
“ขอบคุณครับป้าสาย” ปริณยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณแล้วก็ก้าวขาเดินเข้าไปในห้อง แต่เพียงก้าวเดียวก็ต้องหยุดชะงัก
“ป้าสายรู้จักแม่ผมไหมครับ” เขาหันกลับมาถามคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แววตาใสซื่อรอคอยฟังคำตอบ
“รู้จักค่ะ เมื่อก่อนคุณฟ้าก็อยู่ที่นี่ ป้าก็เคยดูแลเธอค่ะ” พอได้ยินคำตอบ ปริณก็เผยยิ้มกว้าง อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีคนรู้จักแม่อยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้น วันหลังป้าสายช่วยเล่าเรื่องตอนที่แม่อยู่ที่นี่ให้ผมฟังหน่อยจะได้ไหมครับ” เขาอยากรู้เรื่องราวของแม่ และที่อยากรู้มากที่สุดก็คือ ทำไมแม่ถึงต้องพาเขาออกไปอยู่ต่างจังหวัดอย่างยากลำบาก
“ได้สิคะ แต่ตอนนี้คุณปริณเข้าไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
“ครับ”
สองขาก้าวเข้ามาในห้องนอน ใช้สายตามองรอบ ๆ แล้วก็หยิบรูปภาพในกระเป๋าที่ติดตัวมาออกมาตั้งไว้บนชั้นวางในห้อง ดวงตาที่ยังมีร่องรอยของคราบน้ำตามองภาพถ่ายของผู้เป็นแม่ก่อนที่จะเผยยิ้มบางเบา
“ผมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีตามที่แม่สอนครับ แม่อยู่บนสวรรค์ไม่ต้องห่วงนะ”
แค่เพียงขยับปากพูด หยดน้ำตาก็ร่วงลงมาอีกครั้ง มันคงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักพักใหญ่ ๆ เพื่ออยู่กับครอบครัวที่เขาเพิ่งได้รู้จัก
หลายวันผ่านไป ปริณใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างเงียบเหงา ถึงแม้จะมีป้าสายทิพย์ ลุงเถกิง และแม่บ้านอีกหลายคนอยู่ด้วยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีในบ้านหลังนี้ก็คือ ครอบครัว
แม้กระทั่งคุณหญิงย่า ตั้งแต่วันที่มาส่งเขา ก็ไม่เคยกลับมาเยี่ยมอีกเลย หรือแม้แต่คนที่คุณหญิงย่าพยายามพร่ำบอกว่าเป็นพ่อของเขา จนถึงตอนนี้ ปริณก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ปริณก็ออกมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ที่นี่มันใหญ่เกินไปสำหรับเด็กผู้ชายตัวคนเดียว แล้วสายตาก็หันไปเห็นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด
สายตาคมของเด็กชายมองตามรถคันนั้นจนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ จากที่ดูก็คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเขา ผู้หญิงคนนั้นก้าวเดินเข้าไปในตัวบ้านโดยที่แม่บ้านทุกคนไม่กล้าว่าอะไร
คงจะเป็นใครสักคนในครอบครัว
คิดได้แบบนั้น ปริณก็รีบลุกจากม้านั่งแล้วเดินเข้าไปข้างในบ้านทันที อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าไปทักทายก่อน เพราะเธอเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ยังเดินไม่พ้นขอบประตูด้วยซ้ำ ก็ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกออกมา
“ไอ้เด็กคนนั้นอยู่ไหน”
พอได้ยินคำถาม ปริณก็ชะงักเท้าเอาไว้แล้วเลือกที่จะแอบฟังบทสนทนานั้นแทน
“คุณผกามาหาคุณปริณ มีธุระอะไรเหรอคะ” เมื่อได้ยินป้าสายทิพย์เอ่ยถาม ผกามาศก็ตวัดสายตามามองทันที
“ทำไม ถ้าฉันไม่มีธุระจะมาที่นี่ไม่ได้หรือยังไง ฮะ! ฉันก็แค่อยากจะมาดูหน้าไอ้ลูกนอกสมรสนั่น”
คำพูดคำจาของผู้มาเยือน ใครได้ฟังก็ย่อมรู้ว่าเธอไม่ชอบปริณ และตัวเขาเองที่อายุเพียงสิบเอ็ดขวบก็รู้เช่นกัน
“คุณผกาจะพูดถึงคุณปริณอย่างนั้นไม่ได้นะคะ ถึงยังไงคุณปริณก็เป็นหลานของคุณปานฤทัยเหมือนกับคุณปรานต์”
“นังสาย!!”
จบประโยคของสายทิพย์ ผกามาศก็ตวาดเรียกชื่อดังลั่น ใบหน้าสะสวยของผู้หญิงที่ดูน่าจะเป็นผู้ดี เต็มไปด้วยความโกรธ นิ้วชี้หน้าคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอย่างเหยียดหยัน
“อย่าเอาลูกฉันไปเปรียบกับลูกนังน้ำฟ้า นังเมียนอกสมรสนั่น ฉันเป็นเมียแต่ง ตาปรานต์เป็นลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย มันเทียบกันไม่ได้ จำใส่กะโหลกแกไว้ด้วย”
นิ้วชี้จิ้มลงไปบนหน้าผากของสายทิพย์ แล้วออกแรงผลักจนอีกฝ่ายเซตามแรง
ปริณที่ยืนแอบฟังอยู่ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ มือของเขากำเข้าหากันแน่น ดวงตาที่เคยสุกใสตามวัยฉายแววโกรธเกรี้ยวอยู่ข้างใน เขาไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียอีกคนของพ่อเขา
เมื่อเดินหาจนรอบแล้วไม่เจอปริณ ผกามาศก็กลับออกไป
“คุณปริณ ไปไหนมาคะ ป้าตามหาแทบแย่” ป้าสายรีบเข้ามาหาเมื่อเห็นคุณชายของเธอกลับเข้ามาในบ้าน
“ป้าสายครับ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามคนตรงหน้า สายตาคมจ้องมองเพื่อรอคำตอบ
“ได้สิคะ คุณปริณอยากรู้อะไรคะ”
“เมื่อก่อน แม่ผมอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรครับ”
พอได้ยินคำถามสายทิพย์ก็นิ่งอึ้ง ความจริงแล้ว บ้านหลังนี้เป็นมรดกที่ปรารณผู้เป็นพ่อของปริณได้รับมา และเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับน้ำฟ้าหลายปี ทั้งคู่วางแผนจะแต่งงานกัน แต่จู่ ๆ น้ำฟ้าก็ถูกบีบให้ออกจากบ้านหลังนี้ไป โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์อยู่
สายทิพย์ในตอนนั้นก็เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา แม้จะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ตอนได้รู้ว่าปริณที่เป็นลูกชายของน้ำฟ้าจะมาอยู่ที่นี่ เธอดีใจมากและตั้งใจจะดูแลเด็กชายให้ดีที่สุด
แต่ในตอนนี้ กับคำถามที่ปริณถามออกมา สายทิพย์ไม่รู้เลยว่าจะต้องตอบอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้
“คุณน้ำฟ้าเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ค่ะ”
“แล้วทำไมแม่กับผมถึงต้องไปอยู่ที่อื่นล่ะครับ”
“เอ่อ...เรื่องนี้ คือว่า...”
พอเห็นป้าสายทิพย์ไม่กล้าตอบคำถาม ปริณเองก็ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าทำไม
“เพราะพ่อต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนเมื่อกี้ใช่ไหมครับ”
“คุณปริณ เห็นเหรอคะ”
ใบหน้าน้อย ๆ ของเด็กชายพยักขึ้นลง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา “ทำไมเหรอครับ ทำไมพ่อกับย่าถึงเลือกที่จะให้แม่กับผมออกไปจากที่นี่ แล้วรับผู้หญิงคนนั้นเข้ามาแทน”
สายทิพย์ไม่กล้าตอบคำถามนี้ ได้แต่ยกมือขึ้นลูบแขนคุณชายน้อยของเธอแทน หากบอกออกไปว่าเป็นเพราะอำนาจเงิน หัวใจของปริณคงแตกสลายมากกว่านี้แน่
ตอนนั้น น้ำฟ้าเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เป็นพนักงานบริษัททั่วไป แต่ ‘ตระกูลขจรวรนันท์’ ของปรารณ ฝ่ายพ่อนั้น เป็นตระกูลผู้ดีเก่า มีหน้ามีตา คุณหญิงปานฤทัยจึงอยากให้ปรารณได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คู่ควร และคน ๆ นั้นก็คือผกามาศ ที่เป็นลูกสาวของท่านทูตในตอนนั้น
ความเจ็บปวดพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น หากในวันนั้นปรารณหนักแน่นพอและไม่เห็นแก่ชื่อเสียงหน้าตา แต่สุดท้ายนั้นมันไม่ใช่ น้ำฟ้าจึงจำใจหอบความเจ็บช้ำออกจากบ้านหลังนี้ไป
“เอาไว้ให้คุณปริณโตกว่านี้ก็จะเข้าใจนะคะ”
“ถึงผมจะอายุแค่สิบเอ็ดขวบ ผมก็เข้าใจดีครับป้าสาย เพราะย่ากับพ่อไม่รักแม่ผมใช่ไหมครับ”
“โถ...คุณปริณ”
สายทิพย์รั้งร่างของปริณเข้ามากอด ในใจได้แต่นึกสงสารคุณชายของเธอ ปริณยังเด็กเกินไปที่จะต้องมาแบกรับความผิดพลาดจากความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่
“คุณปริณอยู่ที่นี่ ยังมีป้ากับลุงเถกิงนะคะ”
แม้จะไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านั้น แต่ปริณก็พอจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ว่าทำไมพ่อถึงไม่มาหา ทำไมย่าถึงทิ้งเขาไว้ที่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว
ทุกคนเพียงแค่รู้สึกผิดที่เคยทำกับแม่ของเขาเอาไว้ แต่ไม่ได้รักอย่างที่แสดงออกมาให้เห็น
แววตาที่เคยสดใสหม่นหมองลงทุกวัน จากคนที่เคยร่าเริงก็เริ่มเก็บตัวเงียบ ปริณตั้งใจเรียนอย่างหนัก ไม่สุงสิงกับใคร กลายเป็นคนเข้มงวดและอารมณ์แปรปรวน
ป้าสายทิพย์และลุงเถกิงได้แต่มองดูอยู่ห่าง ๆ และเป็นเพียงสองคนที่ปริณยอมอยู่ใกล้ ๆ เพราะรู้ว่าทั้งคู่นั้นหวังดีต่อเขาจริง ๆ ไม่เหมือนกับคนอื่น
///////////////////////////////////////////////////////