24 ปีต่อมา
“คุณปริณครับ เรื่องประชุมตอนบ่ายยังจะเข้าร่วมอีกหรือเปล่าครับ” สุดเขตวิ่งตามหลังผู้เป็นเจ้านายมาติด ๆ หลังเสร็จจากการประชุมช่วงเช้าที่ค่อนข้างเคร่งเครียด แล้วปริณก็เดินออกมาจากห้องประชุมในทันที
“เข้าร่วมเหมือนเดิมครับ” ปริณตอบกลับไป ทั้งที่สองขายังก้าวเดินไม่หยุด “แต่รบกวนคุณเขตเตรียมเอกสารให้มากขึ้นนะครับ คู่ค้าคนนี้ค่อนข้างมีลูกเล่นเยอะพอสมควร”
“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้ครับ”
ร่างสูงเดินกลับมายังห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง หย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง แล้วยกมือขึ้นมาบีบนวดขมับเมื่อคลายความปวด
ปริณในตอนนี้อายุ 35 ปีเต็ม นั่งตำแหน่งประธานและเจ้าของ บริษัท PN กรุ๊ปจำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกเพชรพลอยจากทั่วโลก
ถือได้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเลข 4 อีกทั้งยังมีนามสกุลฝ่ายพ่อช่วยส่งเสริม ยิ่งทำให้ธุรกิจของเขาก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
ความสำเร็จของปริณทำให้ผู้เป็นย่าภาคภูมิใจมาก เพราะช่วยเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับปรานต์ ลูกชายของผกามาศที่อายุน้อยกว่าปริณเพียงห้าปี แต่กลับทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ธุรกิจที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานก็ขาดทุนย่อยยับ ทำให้ผู้เป็นย่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
กริ๊ง....
สายตาคมเหลือบมองโทรศัพท์ในห้องทำงานเมื่อมีเสียงดังขึ้น ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาแนบกับหู
“ครับ”
“คุณปริณคะ ทางทนายความของคุณหญิงปานฤทัยต้องการที่จะพบคุณปริณค่ะ” เสียงของเลขาหน้าห้องเอ่ยบอกมาตามสาย ผู้ชายตัวโตถอนหายใจเล็กน้อยแล้วก็พูดต่อ
“ให้เข้ามาได้ครับ” ปริณตอบกลับไปแค่นั้นแล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิม
ครู่เดียว ประตูห้องทำงานก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายที่สวมแว่นสายตาเดินเข้ามาข้างใน
“สวัสดีครับคุณปริณ” สุชาติเอ่ยทักทายหลานชายคนโตของปานฤทัย แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา
“สวัสดีครับคุณชาติ ย่าส่งคุณมาทำไมเหรอครับ” ปริณเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม หากไม่มีธุระสำคัญ ไม่มีทางที่ย่าของเขาจะส่งทนายความส่วนตัวมาเช่นนี้
“เข้าเรื่องเลยนะครับคุณปริณ คือคุณปานฤทัยส่งผมมาทำเรื่องจัดการมรดกให้คุณครับ” คุณสุชาติหยุดพูดแล้วเปิดกระเป๋าเอกสารออก ก่อนที่จะหยิบกระดาษที่อยู่ข้างในออกมาหลายแผ่น
“คุณปานฤทัยตัดสินใจจะยกมรดกที่เป็นของส่วนตัวทั้งหมดให้กับคุณครับ นี่เป็นรายการทรัพย์สินรวมทั้งลูกหนี้ของคุณปานฤทัยที่จะยกให้คุณครับ”
ปริณหยิบเอกสารตรงหน้ามาดูทีละแผ่น แล้วไล่สายตาอ่านแค่เพียงผ่าน ๆ ถึงจะบอกว่ามีแค่ทรัพย์สินส่วนตัว แต่ก็รวมมูลค่าหลายพันล้าน
“เหตุผลอะไรที่ย่าจะยกให้ผมคนเดียวครับ แล้วปรานต์ล่ะ ทำไมย่าถึงไม่ยกให้”
น้ำเสียงทุ้มเข้มถามออกไปอีกครั้ง ถ้าขึ้นชื่อว่าหลานรัก ก็น่าจะเป็นปรานต์ หลานที่เกิดจากผู้หญิงที่คุณหญิงย่าต้องการ มากกว่าเขาที่เป็นลูกของผู้หญิงที่ผู้เป็นย่าขับไสไล่ส่ง
“คุณปานฤทัยดูจากความประพฤติ แล้วก็อยากจะชดเชยให้คุณปริณครับ”
“หึ อย่างนั้นเหรอครับ” ปริณแค่นหัวเราะออกมาจากลำคอ อยากจะชดเชยอย่างนั้นเหรอ ต่อให้มากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า มันก็ไม่สามารถชดเชยความเจ็บปวดที่แม่ของเขาได้รับ และความยากลำบากของเขาในวัยเด็กได้
แต่ถ้าอยากให้ เรื่องอะไรที่ต้องปฏิเสธ มันเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับมาแต่แรกอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากไปบอกคุณย่าว่าผมรับทราบ แล้วก็ฝากขอบคุณในความเมตตาของท่านด้วยนะครับ”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเรียนคุณปานฤทัยตามที่คุณปริณแจ้ง และจะรีบจัดการเอกสารทั้งหมดให้เร็วที่สุดนะครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
การสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น คุณสุชาติเก็บเอกสารทุกอย่างแล้วก็ออกจากห้องไป
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้ว ปริณก็หันมาสนใจกับเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะต่อ ยอมรับว่าการบริหารงานบริษัทเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก แต่เขาก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด และต้องตรวจทานทุกอย่างด้วยตนเองเสมอ
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จก็เข้าประชุมช่วงบ่ายต่อ
ปริณเอนกายกับเบาะรถด้วยความเหนื่อยล้า กว่าจะประชุมรอบบ่ายเสร็จก็เล่นเอาหมดแรง ลูกค้ามีลูกเล่นมากมายมากดดัน แต่สุดท้ายก็มีจุดที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
“วันนี้งานหนักเหรอครับคุณปริณ”
ลุงเถกิงที่เป็นคนขับรถมารับวันนี้เอ่ยถามขึ้น ปกติปริณจะมีคนขับรถอีกคน แต่วันนี้ดันท้องเสีย ลุงเถกิงเลยอาสาไปรับไปส่งเขาแทน
“ก็เหนื่อยครับ เหนื่อยเหมือนกับทุกวันนั่นแหละครับ”
เขาตอบออกไปทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท สองมือประสานกันวางบนหน้าท้องอยู่ในท่านั่งที่ผ่อนคลาย
“วันนี้คุณหญิงฝากมาบอกคุณปริณว่า วันเสาร์มีนัดทานข้าวกับคุณหญิงนารีและลูกสาวนะครับ”
“อีกแล้วเหรอครับ” ปริณถามออกไปด้วยความเบื่อหน่าย เขารู้อยู่แล้วว่านี่ไม่ใช่การกินข้าวธรรมดา แต่เป็นการดูตัวทางอ้อม และปานฤทัยก็ทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
“ไม่ถูกใจใครเลยเหรอครับคุณปริณ”
ลุงเถกิงถามขึ้นอีกครั้ง แล้วเหลือบมองคุณชายที่ตัวเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กผ่านกระจกมองหลัง ปริณสมควรที่จะต้องแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่เขาแทบไม่เคยคบกับใครจริงจังเลย ที่เคยเห็นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไม่ล่ะครับลุง อยู่คนเดียวแบบนี้ ทำงานหาเงินก็สบายใจดีครับ ไม่วุ่นวาย”
“ลุงว่า คุณปริณน่าจะคบหาใครสักคนแล้วแต่งงานมีครอบครัวนะครับ อายุก็สามสิบห้าแล้ว จะได้มีคนรักคอยดูแล”
ปริณยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยกับคำพูดที่ได้ยิน คบหาดูใจแล้วก็แต่งงานอย่างนั้นเหรอ จะทำไปทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไร
“ความรักมันกินไม่ได้หรอกครับลุง ดูอย่างพ่อกับแม่ผมสิ ทั้งลุงกับป้าสายก็บอกว่าทั้งสองคนเคยรักกันมาก แต่สุดท้ายพ่อก็เลือกหน้าตาสังคมของตัวเองมากกว่าอยู่ดี”
ไม่มีบทสนทนาต่อจากนี้ ลุงเถกิงไม่มีอะไรจะถามต่อ และคงไม่สามารถออกความเห็นอะไรไปมากกว่านี้ได้ เพราะเหตุการณ์ที่ปริณพบเจอด้วยตนเองนั้น เป็นใครเจอแบบเดียวกันก็คงจะเข็ดขยาดกับความรักเหมือนกับเขา
ยิ่งผู้เป็นย่ายังพยายามหาทางยัดเยียดให้แต่งงานกับคนที่เลือกให้ ก็ยิ่งทำให้เขาปฏิเสธความรักและผู้หญิงทุกคน
ใช้เวลาอยู่ร่วมชั่วโมง รถเก๋งสีดำคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดในคฤหาสน์ ปริณก้าวลงจากรถ มีป้าสายทิพย์มารอรับที่หน้าประตูเหมือนเช่นทุกวัน
“มาค่ะคุณปริณ ป้าช่วยถือ” ป้าสายยื่นมือมารอรับกระเป๋าทำงานของเขา ซึ่งปริณก็ยื่นไปให้แต่โดยดี
“ผมบอกป้าหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องก็ได้ครับ กระเป๋าแค่นี้ผมถือเองได้ ไม่ได้หนักอะไร”
เพราะเห็นว่าสายทิพย์อายุก็เยอะแล้ว จึงไม่อยากให้ต้องทำงานมากนัก เท่าที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กก็เกินพอแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพราะหน้าที่ส่วนหนึ่ง แต่ปริณก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมา
“คุณปริณจะทานข้าวเย็นเลยไหมคะ ป้าจะได้ให้คนตั้งโต๊ะให้เลย” สายทิพย์ยิ้มออกมาให้กับคุณชายน้อยของเธอ แล้วก็ถามอย่างอื่นต่อ
“สักครึ่งชั่วโมงก็ได้ครับ ผมอยากอาบน้ำก่อน”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจัดการให้นะคะ”
ร่างสูงเดินกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเอง แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าภาพถ่ายของผู้เป็นแม่อย่างเช่นทุกวัน
“ผมกลับมาแล้วครับแม่ แม่เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีใช่ไหม ส่วนผมสบายดีครับ วันนี้เหนื่อยมากหน่อย แต่ก็ยังไหวครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ปริณพูดกับภาพถ่ายของน้ำฟ้าเหมือนกับทุกวันที่กลับมาจากทำงาน เขามักจะเล่าเรื่องราวที่พบเจอในแต่ละวันให้แม่ฟังอยู่เสมอ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้อะไรก็ตาม
อาบน้ำไม่นานนักก็เสร็จ ปริณรีบลงมาที่โต๊ะกินข้าว สายตาคมมองสำรวจอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนที่คิ้วจะขมวดเป็นปม
“ใครทำกับข้าวจานนี้” เสียงเย็นเยียบเอ่ยถาม แล้วตวัดสายตาไปมองแม่บ้านที่ยืนรออยู่บริเวณนั้น
ทุกคนต่างรีบก้มหน้าหลบไม่กล้าตอบ และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
“ฉันถามว่าใครทำกับข้าวจานนี้ ไม่ได้ยินหรือยังไง ฮะ!” เสียงตวาดดังลั่น ทำให้ป้าสายทิพย์รีบเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณปริณ”
“มีถั่วในกับข้าวของผมครับ ผมบอกไปกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบถั่ว ห้ามใส่มาเด็ดขาด”
พอเป็นป้าสายทิพย์น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง แต่ก็ยังฟังดูน่ากลัวอยู่ดี
“เดี๋ยวป้าจะรีบให้คนจัดการให้นะคะ พอดีแม่ครัวใหม่น่ะค่ะ คงไม่ทราบเรื่องที่คุณปริณไม่ชอบถั่ว” ป้าสายทิพย์รีบบอก แล้วยื่นอาหารจานนั้นไปให้กับแม่บ้านเอาไปจัดการ
ปริณหย่อนตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างเดิม แล้วลงมือกินข้าวกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะไปพลาง ๆ ก่อนที่อาหารจานที่มีปัญหาจะเอาไปเปลี่ยนและมาเสิร์ฟอีกครั้ง
“รบกวนป้าสายกำชับทุกคนให้เรียบร้อยด้วยนะครับ ว่าอะไรที่ผมชอบและไม่ชอบ ผมไม่อยากจะพูดย้ำหลายครั้ง มันน่าหงุดหงิด”
“ได้ค่ะ ป้าจะกำชับให้เรียบร้อยนะคะ”
แม่บ้านและคนงานทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ล้วนไม่กล้าสบตาเขา ถ้าเวลาปกติปริณก็ดูไม่ได้โหดร้ายอะไร แต่พอไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาสักอย่าง อารมณ์ก็จะแปรปรวนราวกับเป็นคนละคน มีเพียงป้าสายทิพย์กับลุงเถกิงเท่านั้น ที่เขาพอจะยอมฟังบ้าง
///////////////////////////////////////////////////////