ยุคนี้ไม่มีดาราหรือเซเลบ คนดังที่จะสามารถเรียกร้องความสนใจที่พอจะหาได้ก็คงเป็น ‘อีจี้’ อีจี้ หรือ ดาวเด่นแห่งหอคณิกา พวกนางล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษน้อยใหญ่ นอกจากจะต้องมีความงามเป็นเลิศแล้วพวกนางยังจะต้องมีความสามารถในเชิงศิลปะและการดนตรี เพราะพวกนางนั้น ‘ขายศิลปะ ไม่ขายเรือนร่าง’ นั่นยิ่งทำให้ความปรารถนาในตัวอีจี้ของเหล่าบุรุษเพิ่มมากขึ้นเป็นทบเท่าทวีคูณ
“ข้าจะจ้างอีจี้นี่แหละมาเป็นพรีเซนเตอร์” เซิ่นซิงเหยียนพูดกับตนเอง
ทว่า…การจะจ้างงานอีจี้นั้นไม่ง่าย พวกนางนั้นค่าตัวแพง เพราะเป็นดาวเด่นของหอนางโลม บุรุษมากมายล้วนอยากชมโฉมพวกนางใกล้ๆ
“งานนี้ข้าทุ่มสุดตัว บอกมาเถิดว่าค่าตัวเจ้าเท่าไหร่?” เซิ่นซิงเหยียนเอ่ยถามดาวเด่นแห่งหอเหมยฮวาพันราตรี
จิวหลินเยว่ยิ้มให้นางอย่างงดงามอ่อนหวาน พลางเอ่ย
“อันที่จริง ค่าตัวของข้านั้นแพงมาก แต่การรับงานเช่นนี้ข้าไม่เคยรับมาก่อน ไม่รู้จะคิดค่าตัวอย่างไร แต่ข้าเห็นว่าคุณหนูเซิ่นช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจยิ่งนัก ไม่เหมือนกับสตรีเมืองเทียนหวงทั่วๆ ไป ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูเซิ่นกำลังจะหย่ากับสามี ให้นึกแปลกใจยิ่งนัก”
“นึกแปลกใจในอันใด การหย่าร้างถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ คนเราเมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ จะทนอยู่ไปทำไม มิสู้แยกย้ายกันไปตามทางใครทางมันดีกว่า”
อีจี้แห่งหอเหมยฮวาพันราตรีเป็นต้องขมวดคิ้ว
“คำพูดของคุณหนูเซิ่นช่างฟังแปลกหูยิ่งนัก แต่เอาเถอะ ข้าขอเอาใจช่วย ขอให้การค้าของท่านเจริญรุ่งเรือง”
“แล้วเจ้าจะคิดค่าตัวเท่าไหร่?”
จิวหลินเยว่โปรยยิ้มหวานอีกครั้ง รอยยิ้มของนางช่างงดงามและยั่วยวน แม้แต่สตรีอย่างเซิ่นซิงเหยียนยังอดเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้นมิได้ มิน่าล่ะนางถึงได้ตำแหน่งดาวเด่นของหอเหมยฮวาพันราตรี
“ข้ายินดีช่วย โดยไม่คิดค่าตัว”
“หะ….หา ว่าอย่างไรนะ เจ้าไม่คิดค่าตัวเช่นนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร?” เซิ่นซิงเหยียนถึงกับอุทานออกมาเพราะความตกอกตกใจ เป็นที่รู้กันทั่วตลาดว่า เจ้าของหอเหมยฮวาพันราตรีผู้ที่เหล่านางคณิกาทั้งหลายเรียกว่าท่านแม่นั้นเค็มยิ่งกว่าเกลือ
“ท่านแม่บอกว่า หากอาหารที่เจ้าทำขายนั้น ขายดิบขายดี ขอให้ส่งให้กับทางหอเหมยฮวาพันราตรีแต่เพียงที่เดียว”
เพียงเท่านี้เซิ่นซิงเหยียนก็ถึงบางอ้อ หอคณิกานั้นนอกจากจะขายเรือนร่างของสตรีและขายศิลปะแล้ว ยังขายอาหาร สุราและเครื่องดื่มอื่นๆ มิหนำซ้ำราคายังแพงกว่าตามร้านอาหารทั่วไปอีกด้วย
“ได้ ข้ายินดียิ่งนัก” เซิ่นซิงเหยียนคิดว่างานนี้ วิน วิน ทั้งสองฝ่าย นางมีเวลาเตรียมการสามวันก็จะเปิดขายอาหารอย่างแรกแล้ว
เซิ่นซิงเหยียนกำลังคิดคำนวณทรัพย์สินที่นางมีอยู่ ตอนนี้นางมีบ้านที่เป็นที่อยู่ของตนเองหนึ่งหลัง บ้านที่แบ่งเป็นห้องพักให้เช่าราวๆ ยี่สิบกว่าห้อง ซึ่งตอนนี้มีผู้เข้าพักเต็มทุกห้อง ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกบุรุษหนุ่มจากต่างเมืองที่เข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาต่างๆ เพื่อหวังจะสอบเข้ารับราชการนั่นแหละ นางมีร้านค้าในตลาดสองคูหา ห้องหนึ่งให้เช่า คิดค่าเช่าเดือนละสามสิบตำลึง ส่วนอีกห้องเอาไว้ทำการค้าขายเอง เงินที่เป็นตั๋วแลกเงินมีอยู่ห้าพันตำลึง เงินที่ได้จากการขายเพ่ยจูสาวรับใช้ทรยศให้กับหอคณิกานั้นสองร้อยตำลึง ที่ขายได้เงินค่อนข้างมากเพราะเพ่ยจูนั้นอายุยังน้อยและยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ ส่วนเครื่องประดับของมีค่าต่างๆ นั้นเป็นของที่ตกทอดมาจากมารดาของนาง หญิงสาวไม่คิดจะขาย นางคิดว่าจะเก็บรักษาเอาไว้
‘อืม ค่าเช่าห้องพักจำนวนยี่สิบห้าห้อง ตกห้องละสามตำลึง รวมแล้วในหนึ่งเดือนห้องเช่านี้สามารถทำเงินให้เราได้เจ็ดสิบห้าตำลึงเลยทีเดียว นี่มากกว่าเงินเบี้ยหวัดรายเดือนของลู่เหวินคังที่ได้เดือนละหกสิบตำลึงซะอีก ท่านพ่อช่างแสนดีและหลักแหลมยิ่งนัก ทิ้งมรดกให้ลูกหลานได้เก็บกินต่อได้สบาย ต้องขอขอบคุณท่านเสนาบดีเซิ่นหรือว่าท่านพ่อของข้าในชาติภพนี้มากๆ ’
หนึ่งเค่อต่อมาเหมยลี่ก็เข้ามาบอกว่า ได้ไม้ไผ่ที่ผู้เป็นนายต้องการแล้ว นางมาพร้อมกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจักสาน
“ดียิ่ง ท่านลุง ท่านช่วยทำให้ไม้ไผ่กลายเป็นแผ่นเล็กๆ บางๆ ขนาดเท่านี้ได้หรือไม่” เซิ่นซิงเหยียนอธิบายพลางวาดรูปลงบนกระดาษซวนจื่อให้บุรุษผู้นั้นดูด้วย
เขาพยักหน้า คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่บ่งบอกว่าเกิดความสงสัย
“ว่าแต่…เจ้าจะเอาไม้ไผ่พวกนี้ไปทำอันใดหรือ หรือว่าเจ้าจะสานตะกร้า?”
“นั่นสิเจ้าคะ คุณหนูจะสานตะกร้าหรือเจ้าคะ?” เหมยลี่เองก็อดถามออกมาไม่ได้ นี่คุณหนูของนางไปเรียนรู้เรื่องการสานตะกร้ามาตั้งแต่เมื่อใดกันนะ
เซิ่นซิงเหยียนอมยิ้ม สิ่งที่นางจะสานนั้นมิใช่ตะกร้า หากแต่เป็น ‘หวด’ ใช่แล้ว หวด สำหรับนึ่งข้าวเหนียวนั่นเอง คนจีนโบราณในยุคสมัยนี้รู้แต่เพียงว่าข้าวเหนียวนั้นเอาไว้ใช้ทำแป้งสำหรับทำขนมต่างๆ แต่พวกเขาไม่เคยกินข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก คนที่นี่กินข้าวจ้าวและซาลาเปาเป็นหลัก พวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีนึ่งข้าวเหนียว
เพราะเป็นคนที่รักการเรียนรู้ในสิ่งแปลกใหม่ ครั้งหนึ่งเซิ่นซิงเหยียนได้มีโอกาสใช้เวลาว่างไปเรียนการจักสาน นางสามารถสานได้ทั้งตะกร้า ถาดใส่ของและหวดนึ่งข้าวเหนียว
“ข้าวเหนียวที่ข้าสั่งเอาไว้มาถึงหรือยัง?” แทนที่จะตอบหญิงสาวกลับหันมาถามสาวรับใช้
“มาแล้วเจ้าค่ะ สามกระสอบ บ่าวให้คนขนไปวางไว้ในครัวเจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าคะทีแรกบ่าวนึกว่าคุณหนูจะสั่งแป้งข้าวเหนียวมาทำขนมซะอีก แต่นี่เป็นข้าวสารเลย แล้วคุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ?” เหมยลี่ยิงคำถามรัวๆ ไม่หยุด เพราะสิ่งที่ผู้เป็นนายทำล้วนผิดแผกไปจากที่ควรจะเป็น
“เราจะทำอาหารจากข้าวเหนียวนี่ละ เจ้าคอยชิมก็แล้วกัน”
หลังจากเซิ่นซิงเหยียนสานหวดได้สิบอันแล้ว นางก็สานตะกร้าขนาดต่างๆ ต่อ รวมทั้งเข่งใส่ของด้วย
“โอ้โห คุณหนู นี่ท่านไปแอบฝึกฝนมาจากที่ใด บ่าวอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูตลอดเวลา ไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูมีฝีมือทางด้านจักสานด้วย”
เซิ่นซิงเหยียนเห็นว่าหากปล่อยทิ้งไว้มีหวังเหมยลี่คงจะยิงคำถามไม่หยุดแน่เพราะนางยังมีอะไรที่แปลกประหลาดอีกมากมายมาให้เห็น
“ถ้าข้าจะบอกเจ้าว่า ข้าแอบอ่านมาจากหนังสือ เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
“อะ เอ่อ ชะ…เชื่อ เชื่อเจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบออกไปทั้งๆ ที่ไม่เชื่อนัก ก็คุณหนูของนางชอบอ่านหนังสือเสียเมื่อไหร่เล่า หรือว่า…จะเป็นเพราะยาพิษที่เพ่ยจูนำมาให้คุณหนูของนางกินกันแน่นะ
“คราวนี้ก็เหลือเพียงแค่ใบปลิวและป้ายโฆษณาสินะ” หญิงสาวพึมพำ แม้ว่านางจะเรียนรู้และฝึกหัดอะไรมาหลายๆ อย่าง แต่เรื่องของศิลปะนั้นนางกลับไม่เอาไหนเลย
“เราพอจะหาผู้ใดที่สามารถเขียนตัวอักษรสวยงามได้บ้างหรือไม่” เซิ่นซิงเหยียนถามออกไป
เหมยลี่ส่ายหน้าแรงๆ แม้แต่ตัวนางเองก็อ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น
“ไม่ทราบว่า แม่นางเซิ่นมีอันใดให้ช่วยหรือไม่?” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง เซิ่นซิงเหยียนหันไปทางต้นเสียงแล้วก็ถึงกับตกตะลึง เมื่อนางได้พบกับ
‘หล่อ!’ นางกรี๊ดในใจ
“ข้าเห็นว่าแม่นางเซิ่นกับคนของเจ้าวุ่นวายกับการเตรียมของมาสองสามวันแล้ว ได้ข่าวแว่วๆ มาจากตลาดว่าเจ้าจะเปิดร้านอาหารเช่นนั้นรึ?” บุรุษผู้นี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวเทพเซียนขนาดที่ว่าสามีของเจ้าของร่างยังชิดซ้าย แถมยังมีน้ำเสียงที่ทุ้ม นุ่ม ลึก ฟังแล้วอบอุ่นไปถึงหัวใจอีก
“อะ เอ่อ” เพราะตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของคนตรงหน้า หญิงสาวถึงกับพูดติดๆ ขัดๆ
“ข้าชื่อ จื้อโหยว แซ่โจว อายุยี่สิบปี บ้านเกิดข้าอยู่เมืองซ่านเหวิน ห่างจากที่นี่ราวๆ สองร้อยลี้ ข้ามาอยู่ที่เมืองเทียนหวงได้เกือบปีแล้ว ก็เมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ มาเรียนที่สำนักเป่าเปย เตรียมสอบจอหงวนเดือนหน้านี้” นี่เขารายงานตัวราวกับมาสมัครเป็นแฟน เอ๊ย…สมัครงานเลยทีเดียว
“อะ เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ คุณชายโจว ข้า..คิด…คิดว่า ท่านจะต้องสอบเข้ารับราชการได้แน่นอน ดีไม่ดีอาจได้เป็นถึงจอหงวน” เซิ่นซิงเหยียนพูดอย่างติดๆ ขัดๆ เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม
ก็เขานั้นหล่อเหลาจริงๆ นี่นา หากจะกล่าวเหมือนผู้คนในยุคสมัยนี้ว่า ‘รูปโฉมงดงามเป็นเอก’ ก็คงไม่ผิดนัก แถมหล่อแล้วยังใจดี มีน้ำใจอีก ไม่เหมือนสามีของเจ้าของร่างนี้ ฮึ!รายนั้นมีดีแต่หน้าตา แต่ใจดำอำมหิต หลอกใช้นางและบิดา พอหมดผลประโยชน์ก็หาทางเขี่ยนางทิ้ง แบบนี้มันยอมไม่ได้ นางต้องหาทางสั่งสอนเอาคืนให้เข็ดหลาบ
“ข้าไม่คาดหวังถึงขั้นนั้นหรอก แม่นางเซิ่น สำนักศึกษาเป่าเปยที่ข้ากำลังเรียนอยู่นั้น หากเทียบกับสำนักศึกษาอื่นๆ โดยเฉพาะสำนักศึกษาหลวงด้วยแล้วนั้นยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก แต่เพราะว่าค่าเล่าเรียนที่นี่ถูกที่สุด ข้าจึงต้องเลือกเรียนที่นี่” เรื่องที่โจวจื้อโหยวเล่ามานั้นอาจจะฟังดูเศร้า ทว่า…ใบหน้าของบุรุษผู้นี้กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
“สรรพสิ่งมิอาจคาดเดา ไม่แน่หรอก บางทีศิษย์จากสำนักเป่าเปยอาจจะสอบได้ตำแหน่งจอหงวนก็เป็นได้ ข้าขออวยพรให้ท่านก็แล้วกัน” เซิ่นซิงเหยียนเชื่อเสมอว่า ใดๆ ในโลกหล้าล้วนไม่แน่นอน มันเป็นความจริงของทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ
น่าแปลกที่เขามิได้เรียกนางว่า ‘ลู่ฮูหยิน’ เพราะนางนั้นแต่งเข้าเป็นฮูหยินสกุลลู่ คงเป็นเพราะเขาไปได้ยินได้ฟังมาจากผู้คนในตลาดว่ากำลังจะหย่าสามี ก็ตอนนี้เรื่องสนุกที่ผู้คนทั่วทั้งเมืองเทียนหวงพูดคุยกันอย่างสนุกปากก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องของนางกับลู่เหวินคังนั่นแหละ
‘ดีสิ ยิ่งดัง ยิ่งดี ข้าจะใช้วิกฤตนี้เปลี่ยนเป็นโอกาส’ เซิ่นซิงเหยียนนึกในใจ
“เอ้อ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเจ้าถามแม่นางผู้นี้ว่า จะหาผู้ที่เขียนตัวอักษรสวยงามได้จากที่ใด หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าอาจจะพอช่วยได้ การเขียนอักษรของข้าอาจจะไม่ถึงขั้นสวยงาม แต่ว่าก็น่าจะพอใช้ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องไปว่าจ้างผู้อื่นให้เสียเงินทอง”
‘โอ้!หล่อแล้วยังมีน้ำใจ เมื่อไหร่ข้าจะได้หย่าจากไอ้ผัวเฮงซวยของร่างเดิมกันนะ ซิงเหยียน นะซิงเหยียน ตอนมีชีวิตอยู่โสดสนิทไม่มีผู้ชายใดให้หมายปอง พอมาเจอคนที่ถูกใจแต่สถานะภาพตัวเองกลับไม่เป็นใจซะนี่ เอาละ ข้าต้องหาทางเร่งสามีใจดำอำมหิตอย่างลู่เหวินคังมาหย่าในเร็ววัน’ เซิ่นซิงเหยียนนั้นพยายามไม่แสดงออกว่านางปลื้มปริ่มกับบุรุษตรงหน้าเพียงใด ก็ตอนนี้สถานภาพของนางก็คือสตรีที่ยังมิได้หย่า หากไม่วางตัวให้ดี เดี๋ยวจะเกิดข่าวเสียๆ หายๆ ตามมาอีก
“ขอบคุณท่านมาก คุณชายโจว ข้ามิได้ต้องการตัวอักษรที่งดงามมากถึงเพียงนั้น เพียงแค่สามารถเขียนให้คนทั่วไปอ่านและเข้าใจได้ก็พอแล้ว ตัวข้านั้นเรียนมาน้อย เกรงว่าเขียนไปแล้วจะสื่อความหมายผิด”
โจวจื้อโหยวยังคงส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
“เอาเถอะ เจ้าจะให้เขียนว่าอย่างไรบ้าง บอกมาได้เลย เดี๋ยวข้าขอไปหยิบกระดาษซวนจื่อและหมึกก่อน” พูดจบเขาก็เดินจากไปทางห้องเช่าที่เซิ่นซิงเหยียนแบ่งไว้ให้เช่า
เซิ่นซิงเหยียนถึงกับมองตามไปอย่างเคลิบเคลิ้ม ในโลกที่นางจากมา นางอายุสามสิบสามปีแล้วแต่ยังโสดสนิท หมอดูและซินแสหลายต่อหลายคนบอกว่าเนื้อคู่นางยังไม่เกิดหรืออาจเป็นไปได้ว่าอยู่คนละภพคนละชาติกัน ที่แท้เขาก็อยู่ที่นี่เอง
‘ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงมาโผล่ที่ยุคสมัยนี้ แต่ก่อนอื่น ทำอย่างไรจะหย่าขาดจากไอ้ผัวเฮงซวยนั่นได้เสียที’