ตอนที่ 4 ป่าวประกาศ

2175 Words
รัชศก จินป๋อ ปีที่แปด สารทฤดู เมืองเทียนหวงนอกจากจะเป็นเมืองหลวงของแคว้นซิ่วแล้วยังเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางของหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ทั้งการค้าและการศึกษา แม้จะเป็นเมืองที่ดูมีความเจริญรุ่งเรืองในหลายๆ ด้าน กระนั้นผู้คนที่นี่ยังคงมีค่านิยมและความเชื่อดั้งเดิมที่สืบทอดต่อๆ กันมา โดยเฉพาะค่านิยมความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของ ‘สตรี’ โดยเฉพาะ ‘สตรีที่หย่ากับสามี’ ‘สตรีที่ถูกสามีหย่าถือเป็นความอัปยศ สตรีนางนั้นจะต้องเป็นสตรีที่เลวร้ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยุคสมัยนี้สตรียังต้องพึ่งพาบุรุษ สตรีที่ถูกสามีหย่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร จะมีใครดูแลเลี้ยงดู หากมิเป็นขอทานก็เห็นทีจะต้องไปขายเรือนร่างเป็นนางโลมในหอคณิกากระมัง’ “ฮ่าๆๆๆ ข้าจะทำลายคำพูดพวกนี้ให้ดู” เซิ่นซิงเหยียนหัวเราะร่าเมื่อสาวรับใช้เล่าให้ฟังว่าผู้คนในเมืองเทียนหวงในยุคสมัยนี้คิดและเชื่ออย่างไร ตลาดของเมืองเทียนหวงนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในทุกวี่ทุกวัน เสนาบดีเซิ่นนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นถึงขุนนางขั้นสอง ทว่า…เขามิใช่คนที่กินนอกกินใน ฐานะจึงไม่ถึงกับว่ามั่งคั่งร่ำรวยมากมายนัก ถึงกระนั้นสกุลเซิ่นก็ยังนับว่ามั่งมีเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป หนึ่งในสินเจ้าสาวที่เสนาบดีเซิ่นมอบให้บุตรสาวผู้เป็นไข่มุกในมือตอนออกเรือนก็คือห้องแถวจำนวนสองคูหาใจกลางตลาดเมืองเทียนหวงนั่นเอง “ท่านป้า ข้าคือเซิ่นซิงเหยียน เป็นเจ้าของห้องแถวนี้ ต่อไปให้ท่านป้าจ่ายค่าเช่ากับข้าโดยตรงนะเจ้าคะ ข้าจะเปิดร้านขายของติดกับร้านของท่านที่คูหาข้างๆ นี่ล่ะเจ้าค่ะ” เซิ่นซิงเหยียนเดินเข้าไปแนะนำตัวเองและบอกกล่าวกับสตรีวัยกลางคนที่เปิดร้านขายไข่เป็ดไข่ไก่อยู่ “อ้อ คุณหนูเซิ่นนั่นเอง ข้าเคยเห็นเจ้ามาเดินตลาดกับใต้เท้าเซิ่นบ่อยๆ ได้สิ เดี๋ยวต่อไปข้าจะจ่ายค่าเช่ากับเจ้าเอง” ป้าเจ้าของร้านขายไข่พอได้ยินระแคะระคายมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องการหย่าของบุตรสาวเสนาบดีเซิ่นกับสามีที่เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยนามว่า ลู่เหวินคัง คงเพราะเหตุนี้กระมังที่นางจะมาเก็บค่าเช่าเอง เพราะก่อนหน้านี้สามีของนางเป็นคนมาเก็บค่าเช่า “อะไรนะ เจ้าจะมาขายของที่คูหาข้างๆ คงไม่ได้หมายถึงคูหาที่ข้ากำลังใช้เป็นที่ขายซาลาเปาอยู่หรอกนะ?” เสียงโวยวายของสตรีวัยแรกรุ่นนางหนึ่งดังข้ามหัวมา เซิ่นซิงเหยียนหันไปทางต้นเสียง นางปรายตามองสตรีที่ดูเอาเรื่องตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคงเป็นญาติของลู่เหวินคังสินะ เดือนนี้เจ้าจ่ายค่าเช่าคูหานี้หรือยังล่ะ ได้ยินข่าวว่าขายดิบขายดีมิใช่หรือ จากที่ข้าดูก็คิดว่าคงใช่ เพราะเห็นคนเดินเข้าออกร้านเจ้าไม่ขาดสาย ว่าอย่างไรล่ะ เดือนนี้เจ้าจ่ายค่าเช่าหรือยัง?” สตรีนางนั้นพอได้ยินเรื่องค่าเช่าก็หน้าซีดปากสั่น “ขะ…ข้า…ข้า” “ข้าให้เจ้ามาขายของที่นี่มานานแล้ว แต่ไม่เห็นค่าเช่ามาหลายเดือน ข้าเองก็เป็นพวกขี้เกียจตามทวงด้วยสิ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าให้เวลาเจ้าเก็บของและขนย้ายหนึ่งวัน วันพรุ่งนี้เจ้าต้องไม่อยู่ที่นี่แล้ว ตัวข้าผู้เป็นเจ้าของจะเข้ามาขายของที่นี่แทน” “ไม่ได้นะ ซาลาเปาของข้ากำลังขายดี จะให้ข้าไปขายที่อื่นลูกค้าข้าก็หาข้าไม่เจอสิ ข้าไม่ไป ข้าจะขายอยู่ที่นี่ พี่เหวินคังญาติของข้าบอกข้าเองว่าให้ข้ามาขายที่นี่ได้” แปะๆๆๆ เซิ่นซิงเหยียนตบมือรัวๆ ให้กับความหน้าด้านของพี่น้องสกุลลู่ “คนสกุลลู่อย่างพวกเจ้านี้ช่างหน้าด้าน หน้าหนา หน้าทนซะเหลือเกิน ห้องแถวนี้เป็นของข้า ข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ข้าปล่อยเช่า แต่เจ้าไม่ยอมจ่ายค่าเช่ามาตั้งหลายเดือน ถึงเวลาข้าจะไล่เจ้าออก เจ้ากลับไม่ยอมออก เจ้าจะออกไปดีๆ หรือว่าให้คนของทางการมาลากเจ้าออกไป หากพรุ่งนี้เจ้ายังไม่ออก ข้าจะคิดค่าปรับนะ” สตรีวัยกำดัดนางนั้นนามว่า ลู่เหม่ยเหมย เป็นลูกพี่ลูกน้องของ ลู่เหวินคัง นางเป็นเดือดเป็นแค้นเมื่อจู่ๆ ก็โดนไล่ที่ ที่ตั้งร้านค้าแห่งนี้อยู่ใจกลางตลาด ทำเลดียิ่งนัก ผู้คนสัญจรเดินผ่านที่ตรงนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น พูดกันตรงๆ ก็คือ การค้าขายที่ทำเลตรงนี้ทำเงินให้นางได้มาก นางเคยขายมาหลายที่แต่ไม่มีทำเลตรงไหนดีเท่าตรงนี้ “แต่พี่เหวินคังบอกว่าให้ข้าขายอยู่ที่ร้านนี้ไปได้ตลอด และเขาก็เป็นสามีของเจ้า เจ้าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ไม่เคยได้ร่ำเรียนหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาหรอกรึ” ลู่เหม่ยเหมยไม่ยอมแพ้ อย่างไรเสียลูกพี่ลูกน้องของนางก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของคุณหนูเซิ่น เจ้าของห้องเช่าคูหานี้ เซิ่นซิงเหยียนแทบจะระเบิดหัวเราะออกมา แต่เพราะเกรงว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะคิดว่าคุณหนูเซิ่นผู้นี้เสียสติไปเสียแล้วจึงได้แต่เพียงเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ “หลักสามเชื่อฟัง ที่บอกว่า สตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้เชื่อฟังบิดา สตรีที่ออกเรือนแล้วให้เชื่อฟังสามี และสตรีที่สามีเสียชีวิตแล้วให้เชื่อฟังบุตรชายน่ะรึ?” “ใช่” ลู่เหม่ยเหมยพยักหน้าบอก ตอนนี้นางคิดว่าตนเองเป็นต่อแล้ว เพราะลู่เหวินคังลูกพี่ลูกน้องของนางย่อมต้องบอกผู้เป็นภรรยาให้ปล่อยห้องเช่าคูหานี้ให้ญาติอย่างนางเช่าต่อ “นี่…ข้าจะบอกอันใดให้ ถ้าสตรีที่ออกเรือนไปกับลู่เหวินคังลูกพี่ลูกน้องของเจ้านั้นต้องเชื่อฟังเขาทุกอย่าง มีหวังชีวิตคงจะตกต่ำจมดิน นี่เจ้าคงจะยังไม่รู้สินะว่า ข้ากำลังจะหย่าขาดจากเขา ต่อไปข้ากับเขาก็มิใช่สามีภรรยา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก” ลู่เหม่ยเหมยไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงแสดงสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก หากลู่เหวินคังหย่าร้างกับคุณหนูเซิ่นผู้สูงศักดิ์ผู้นี้แล้ว ต่อไปนางคงต้องหาที่ขายใหม่ น่าเสียดายยิ่งนักซาลาเปาของนางกำลังขายดิบขายดี ทำออกมาแทบไม่ทัน “มะ…ไม่จริงใช่หรือไม่ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” ลู่เหม่ยเหมยพูดจาติดๆ ขัดๆ “จริง ตอนนี้ข้ากำลังรอหย่ากับเขาอยู่ เพราะเขายังไม่พร้อม ฟังเอาไว้นะ คนที่นี่เชื่อว่าสตรีที่ถูกสามีหย่านั้นถือว่าเป็นเรื่องอัปยศ ถือว่าเป็นสตรีที่ไม่ดี เป็นกาลกิณี แต่ข้า…เซิ่นซิงเหยียน มิใช่หญิงที่ถูกสามีหย่า แต่ข้าคือสตรีที่หย่าสามีเจ้าค่ะ ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย แล้วบุรุษที่ถูกภรรยาหย่าอย่างลู่เหวินคังเล่า พวกท่านคิดเห็นเป็นประการใด หากเป็นสามีที่ดี ภรรยาอย่างข้าจะอยากหย่าหรือไม่ เช่นนั้น มิเท่ากับว่าเขาคือกาลกิณีหรอกหรือ” เซิ่นซิงเหยียนป่าวประกาศออกไปด้วยเสียงอันดัง เวลานี้มีผู้คนที่สัญจรไปมาเข้ามารุมล้อมมุงดูว่าที่นี่เกิดอันใดขึ้น “นะ นี่ นี่เจ้า มันจะมากเกินไปแล้วนะ ข้าจะไปฟ้องพี่เหวินคังว่าเจ้าเอาชื่อของเขามาประกาศเสียๆ หายๆ ” ลู่เหม่ยเหมยชักจะอดรนทนไม่ได้ สตรีผู้นี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร “จริงรึแม่นางเซิ่น ที่เจ้าจะหย่ากับสามีน่ะ?” สตรีสูงวัยผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ นางเองก็เคยผ่านการหย่าสามีมาแล้วเช่นกัน หญิงชราไม่นึกว่าจะมีสตรีวัยกำดัดใจกล้าบ้าบิ่นกล้าออกมาประกาศปาวๆ ว่าจะหย่าสามีเช่นนี้ “คุณหนูเซิ่นนั่นเอง นี่เจ้าคิดดีแล้วหรือ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ใจเย็นๆ อย่าใจร้อนวู่วาม รู้หรือไม่ว่าสตรีที่หย่ากับสามีน่ะชีวิตต้องลงเอยอย่างไร?” ชายชราไว้เคราสีขาวเอ่ยออกมาเพื่อเตือนสตินาง “อ้อ ท่านลุงผู้นี้ ข้าน้อยเซิ่นซิงเหยียนต้องขอบพระคุณในความหวังดีของท่านมากเจ้าค่ะ แต่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว หากมีสามีที่ดีก็คงไม่มีสตรีนางใดอยากจะหย่าหรอกเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตของสตรีที่หย่ากับสามีนั้นจะลงเอยอย่างไรน่ะหรือเจ้าคะ…” เซิ่นซิงเหยียนทำท่านึก แต่ก็แอบตอบในใจ ว่า… ‘ก็ลงเอยด้วยการหาสามีใหม่ที่ดีกว่านะสิเจ้าค่ะ อิอิ’ “ถึงข้าจะหย่ากับสามีแต่ก็สามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวได้เจ้าค่ะ มิได้เดือดร้อนอันใด” นั่นคือคำตอบที่นางบอกออกมา สตรีวัยกลางคนถอนหายใจพลางส่ายหน้า ก่อนจะพึมพำเบาๆ “เฮ้อ!แล้วอย่างนางนี่จะทำมาหากินอันใด จะทำอันใดเป็น นางมิใช่เป็นแต่เพียงคุณหนูในห้องหอหรอกรึ?” “ท่านป้า ข้าว่าเรื่องนี้ชักจะสนุก ร้อยวันพันปีท่านเคยเห็นสตรีนางใดออกมาประกาศปาวๆ กลางตลาดว่าจะหย่าขาดจากสามีหรือไม่ อยากรู้เหมือนกันว่าสามีนางจะว่าอย่างไร และนางจะทำมาหากินอะไรหลังจากหย่าสามี” เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ๆ พอได้ยินเสียงฮือฮาของผู้คนก็วิ่งออกมาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้คนในเมืองเทียนหวงนั้นชื่นชอบเรื่องสนุกยิ่งนัก โดยเฉพาะเป็นเรื่องสนุกของบรรดาผู้ที่มีชื่อเสียงด้วยแล้ว เซิ่นซิงเหยียนเป็นบุตรสาวคนสำคัญของเสนาบดีเซิ่น ตัวนางและบิดาย่อมเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ทางด้านจวนสกุลลู่ จวนเล็กๆ ของสกุลลู่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างลู่เหวินคังนั้นวันนี้ช่างดูเงียบเหงาพิกล อันที่จริงหากเสนาบดีเซิ่นไม่จบชีวิตลงเสียก่อนเขาก็คงจะได้ช่วยสนับสนุนส่งเสริมบุตรเขยให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้น แต่เพราะที่ผ่านมายังไม่สบโอกาสเหมาะ และลู่เหวินคังเองก็ยังไม่มีผลงานอันใดโดดเด่น การจะทูลขอฮ่องเต้ให้ช่วยเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งแก่บุตรเขยของตนจึงยังไม่เหมาะสมนัก แต่กระนั้นเสนาบดีเซิ่นก็ยังไม่ละความพยายาม น่าเสียดายที่เขามาจบชีวิตลงเสียก่อน “พี่เหวินคังอยู่หรือไม่ ขอข้าเข้าพบเขาหน่อย” ลู่เหม่ยเหมยวิ่งกระหืดกระหอบจากตลาดมาที่จวนเล็กๆ ของสกุลลู่ซึ่งอยู่ไกลถึงสี่ลี้ (ราวๆ สองกิโลเมตร) “มีอันใดรึ?” จูลี่หลินโผล่มาขวางเอาไว้ นางไม่ใคร่ชอบหน้าญาติของสามีคนนี้นักหรอก หูตาแพรวพราวพิกล แม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็เถอะ นางก็ไม่วายหึงหวงสามีกับลู่เหม่ยเหมยจนได้ “ก็ฮูหยินของพี่เหวินคังน่ะสิ ตอนนี้นางไปป่าวประกาศที่ตลาดปาวๆ ว่าจะหย่ากับพี่เหวินคัง เพียงแต่รอให้เขาพร้อมเท่านั้น และยังบอกคนอื่นๆ อีกว่าพี่เหวินคังเป็นสามีที่ไม่ดี นางจึงต้องการหย่า” “หา!เช่นนั้นรึ?” จูลี่หลินอุทานอย่างตกอกตกใจ จากนั้นนางก็ครุ่นคิด การที่เซิ่นซิงเหยียนป่าวประกาศว่านางจะหย่ากับลู่เหวินคังนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับนาง เพราะต่อจากนี้นางก็จะได้เลื่อนฐานะขึ้นมาเป็นลู่ฮูหยินเสียที แต่เรื่องที่ศัตรูหัวใจไปป่าวประกาศว่าลู่เหวินคังเป็นสามีที่ไม่ดีนั้นนางไม่รู้ว่าจะมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน “หากเรื่องนี้ไปเข้าหูขุนนางผู้ใหญ่ ชื่อเสียงของพี่เหวินคังก็อาจจะด่างพร้อย ทำให้ยากต่อการก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้” ลู่เหวินคังที่บังเอิญผ่านมาได้ยินสตรีทั้งสองพูดคุยกันอยู่เป็นต้องกำหมัดแน่น นี่เซิ่นซิงเหยียนจะตามจองล้างจองผลาญเขาไปถึงไหน ‘มันจะมากเกินไปแล้วนะ เซิ่นซิงเหยียน ข้าจะคอยดูว่าสตรีที่อวดดีเช่นเจ้าจะไปได้สักกี่น้ำ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD