“ฮูหยินเจ้าค่ะ ข้าวต้มร้อนๆ มาแล้วเจ้าค่ะ” เพ่ยจูส่งเสียงสดใสมาก่อนตัว นางเดินเข้ามาในห้องและวางถาดที่มีชามข้าวต้มร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นวางไว้บนโต๊ะกลมที่ทำจากไม้ฮวาหลี
นึกดูเอาเถิด ท่านเสนาบดีเซิ่นนั้นช่างเอาอกเอาใจบุตรสาวผู้นี้ยิ่งนัก แม้แต่เครื่องเรือนที่เป็นเครื่องใช้ไม้สอยของนางก็ต้องทำจากไม้สูงค่าราคาแพงเหมือนเครื่องเรือนที่ใช้กันในวังหลวง เพ่ยจูเหยียดยิ้มก่อนจะปรายตามองไปที่เพื่อนสาวรับใช้ที่ทำงานข้างกายผู้เป็นนายร่วมกันมาหลายปี
“เหมยลี่ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้าลืมหยิบช้อนมา เจ้าช่วยไปเอาที่ครัวให้หน่อย ข้าเดินถือข้าวต้มร้อนๆ มาเหนื่อยๆ อยากจะนั่งพักบ้าง”
“อ้อ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะรีบไปเอามาให้ ฮูหยินจะได้กินข้าวต้มอุ่นๆ ไวๆ ” พูดจบสาวรับใช้ใจซื่อก็รีบกระวีกระวาดเดินออกจากประตูห้องไป
เมื่อเหมยลี่ลับหลังไปแล้ว เพ่ยจูก็หยิบช้อนหนึ่งคันออกมาจากแขนเสื้อ
“อ้อ ข้าลืมไปว่าข้าเก็บช้อนไว้ในนี้เอง ฮูหยินเจ้าคะ รีบกินข้าวต้มเถอะเจ้าค่ะ กำลังอุ่นๆ ข้าวต้มนี้อร่อยมากเลยนะเจ้าคะ ฮูหยินกินแล้วจะได้มีเรี่ยวมีแรงสู้รบปรบมือกับอนุจูได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ กินหน่อยนะเจ้าคะ” เพ่ยจูคะยั้นคะยอผู้เป็นนาย เซิ่นซิงเหยียนซึ่งไร้เรี่ยวแรงในเวลานี้จึงได้อดทนฝืนกินข้าวต้มถ้วยนั้นไปสี่ห้าคำเพราะนางอยากได้เรี่ยวแรงกลับคืนมา นางจะได้ไปอ้อนวอนสามีที่รักขออย่าให้เขาหย่านางเลย หากเขาอยากจะยกจูลี่หลินขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง นางก็จะยินยอมแต่โดยดี
เพียงไม่กี่จิบน้ำชาผ่านไป เซิ่นซิงเหยียนก็ตาแข็งค้าง นางเอามือที่สั่นเทาทั้งสองข้างกุมลำคอของตน ก่อนจะมองสาวรับใช้ข้างกายอย่างเพ่ยจูด้วยตาเหลือกค้าง
“จะ…เจ้า เจ้าเอาอันใดให้ขะ…ข้า…กิ…กิน”
เพ่ยจูถอนหายใจยาว
“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินเจ้าขา ท่านเป็นคนบอกเองมิใช่หรือ ว่าหากต้องหย่ากับนายท่านลู่ มิสู้ให้ท่านตายเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องถูกผู้คนในเมืองเทียนหวงแห่งนี้ตราหน้าว่าเป็นหญิงกาลกิณี เป็นสตรีอัปมงคล ฮึ!เป็นอย่างไรล่ะ เซิ่นซิงเหยียน เจ้าถือตัวว่าเหนือกว่าผู้อื่น เกิดมาเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ เอาแต่ใจตน กดข่มผู้อื่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอเวลาเช่นนี้มานาน เวลาที่ข้าจะได้เอาคืนเจ้าบ้าง ข้าต้องทนเป็นสาวรับใช้รองมือรองเท้าเจ้ามาตั้งหลายปี เวลาดีเจ้าก็ดีอยู่หรอก แต่เวลาร้ายเจ้าแทบจะฆ่าข้ากับเหมยลี่ได้เลย อ้อ แล้วไม่ต้องถามหานังสาวรับใช้หน้าโง่ผู้นั้นของเจ้าหรอกนะ ป่านนี้มันคงนอนสลบอยู่ในห้องของมันนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ นายหญิงจู ฮูหยินคนใหม่ของสกุลลู่นี่ช่างหลักแหลมเสียจริง”
เซิ่นซิงเหยียนตาเหลือกค้าง นางพยายามเอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมาอย่างยากลำบาก
“เพ่ย…เพ่ยจู…เจ้ามัน…สาว…ชะ…ใช้…ทรยศ” เอ่ยจบเซิ่นซิงเหยียนก็สิ้นสติไป
เพ่ยจูลุกขึ้นยืนพลางใช้มือทั้งสองข้างปัดก้น
“นี่แหละ จุดจบคุณหนูเซิ่นผู้สูงศักดิ์ ฮึ!สาวรับใช้อย่างข้ายังมีชะตาที่ดีกว่าเจ้านัก” กล่าวจบแล้วสาวรับใช้ทรยศก็เดินสะบัดออกไปเพื่อจะไปรายงานนายใหม่ของนาง หวังว่างานนี้นางคงได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนไม่น้อยนะ
เซิ่นซิงเหยียน แอร์โฮสเตสสาวสวยวัยสามสิบสามปีถึงคราวฆาต จู่ๆ เธอก็เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หญิงสาวเสียชีวิตในคอนโดของตนเองนั่นเอง วิญญาณที่ออกจากร่างนั้นล่องลอยเข้าสู่ลมหมุน ลมหมุนนั้นหมุนวนด้วยความรวดเร็วและพัดพาเอาดวงวิญญาณของเซิ่นซิงเหยียนแอร์โฮสเตสสาวลอยไปไกลแสนไกล ไกลขนาดที่ว่าข้ามมิติกันเลยทีเดียว
ตอนที่วิญญาณของเซิ่นซิงเหยียนมาโผล่ที่นี่ นางมาในรูปของร่างที่โปร่งแสง หญิงสาวมองเห็นทุกคำพูดและการกระทำของคนที่อยู่ในห้อง หญิงสาวเป็นต้องแปลกใจเมื่อพบว่าสตรีที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นนั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับนางมาก ใช่แล้ว ใบหน้านี้คือใบหน้าของนางเมื่อตอนนางอายุได้ราวๆ สิบเจ็ดปีนั่นเอง
“อย่าบอกนะว่า นี่…นี่คือตัวเราในอดีตชาติ” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ
ทันใดนั้นลมหมุนที่พัดพาเอาวิญญาณของนางมาที่นี่ก็ได้พัดกลับมาอีก คราวนี้ลมนั่นพัดวิญญาณของนางเข้าไปในร่างที่นอนแน่นิ่ง
เซิ่นซิงเหยียนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาอย่างยากเย็น บัดนี้วิญญาณของนางได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว หญิงสาวค่อยๆ ใช้มือสัมผัสกายตน นางมีร่างกายแล้ว และยังได้ความทรงจำของเจ้าของร่างมาอีกด้วย
“หึ!เป็นอย่างนี้นี่เอง ช่างร้ายกาจนัก ทั้งเมียน้อย ทั้งสาวรับใช้ พวกเจ้ารวมหัวกันทำร้ายข้าเช่นนั้นหรือ” บัดนี้เซิ่นซิงเหยียนได้รวบรวมเอาความทรงจำทั้งจากยุคสมัยนี้และยุคสมัยที่นางเพิ่งจะหัวใจวายตายเอามาไว้รวมกัน หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางเป็นเรื่องจริง
‘สงสัยเทพเซียนคงอยากให้ข้ามาแก้แค้นกระมัง’
“ทางนี้เจ้าค่ะ นายท่าน นายหญิงจู ฮูหยินนอนหมดสติอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยตัวเล็กอุ้มฮูหยินไม่ไหวจึงรีบไปตามนายท่านกับนายหญิงจูมาช่วยเจ้าค่ะ” เพ่ยจูจีบปากจีบคอพูดขณะเดินนำทางลู่เหวินคัง จูลี่หลิน และเสี่ยวเชียงมาที่ห้องของเซิ่นซิงเหยียน นางคาดหวังว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบผู้เป็นนายนอนตายกองอยู่ที่พื้น
แต่แล้ว…
“มีอันใดกันหรือเจ้าคะ ถึงได้แห่กันมาที่ห้องของข้าเช่นนี้ หรือว่า…” เซิ่นซิงเหยียนปรายตามองบุรุษรูปงามตรงหน้าก่อนจะเหยียดยิ้ม
‘เขารูปงามจริงๆ นั่นแหละ มิน่า ตัวนางในชาติภพนี้ถึงได้ลุ่มหลงนัก ฮึ!แต่สำหรับเซิ่นซิงเหยียนจากโลกอนาคตน่ะหรือ บุรุษที่หล่อเหลากว่านี้มีถมไป จะเอาแบบไหนล่ะ เอาแบบเกาหลี ญี่ปุ่น ลูกครึ่งแขกฝรั่ง มีหมด แถมยุคนั้นยังมีเรื่องของการศัลยกรรมทำหล่อทำสวยเข้ามาช่วยอีก หล่อระดับลู่เหวินคังนี่ถูกปัดตกไปเลย’
“เอ้อ…ได้ยินข่าวว่า…” ลู่เหวินคังอ้ำอึ้งพลางหันไปทางเพ่ยจูอย่างนึกสงสัย เขารีบมาดูว่าฮูหยินของเขาเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่านางจะไม่กินยาฆ่าตัวตายหรอกนะ เพราะหากคนอื่นรู้เรื่องเข้าว่าเขาไม่ไยดีฮูหยินของตนที่เพิ่งเสียบิดามาหมาดๆ จนนางนึกน้อยใจกินยาฆ่าตัวตาย ผู้คนคงตำหนิเขา และการไต่เต้าในหน้าที่การงานของเขาก็จะลำบากมากขึ้น เพราะในราชสำนักยังมีขุนนางผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับสกุลเซิ่น
“ได้ยินข่าวว่า…ท่านจะขอหย่ากับข้าหรือ ไหนละใบหย่า ข้าอยากลงชื่อหย่าแล้ว จะได้จบๆ กันไปเสียที” เซิ่นซิงเหยียนยืดตัวขึ้นพลางหันไปมองรอบๆ ห้อง นางเห็นสายตาและท่าทางของแต่ละคนแล้วให้นึกขำจนแทบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ว่า…ว่าอย่างไรนะ นี่เจ้ายอมหย่าแล้วหรือ?” ลู่เหวินคังถามอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ นี่เขาฟังผิดหรือนางพูดผิดกันแน่
“ท่านฟังไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะท่านพี่ สามีสุดที่รักของข้า อ้อ…และของเจ้าด้วย อนุจู เจ้าคงจะดีใจสินะ พอข้าหย่ากับลู่เหวินคังแล้วเจ้าก็จะได้กลายเป็นฮูหยินซะที ตำแหน่งที่เจ้าเฝ้ารอมานาน แต่ช้าก่อน ข้าไม่ขวางทางรักของพวกเจ้าแล้ว แต่…อาจจะขวางเส้นทางการเงินของพวกเจ้าสักหน่อยนะ”
“นะ…นี่ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” จูลี่หลินทั้งสับสนและงงงวยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของศัตรูหัวใจ แล้วยังจะคำพูดแปลกๆ นั่นอีก ตอนนี้นางไม่เรียกสามีที่ใช้ร่วมกันของพวกนางว่า ‘ท่านพี่’ แล้ว กลับเรียกชื่อของเขาออกมาตรงๆ
“ข้าจะยอมหย่าให้ก็ต่อเมื่อ มีการแบ่งสินสมรสคนละครึ่งระหว่างข้ากับ…เอ่อ…ลู่เหวินคัง แล้วก็…คูหาสองคูหาในตลาดซึ่งเป็นสินเดิมของข้า ต่อไปข้าจะเก็บค่าเช่าเอง ส่วนญาติของเจ้า ลู่เหวินคัง ญาติที่บอกว่ามาขอเช่าร้านค้าของข้าขายของแต่ไม่เคยจ่ายค่าเช่ามาหลายเดือนแล้วข้าจะไล่ออก นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
“มะ…ไม่ได้นะ ร้านขายซาลาเปาของอาเหมยกำลังขายดิบขายดี ถ้าไล่นางออกแล้วนางจะไปขายที่ไหน”
“ขายดิบขายดีแล้วทำไมไม่ยอมจ่ายค่าเช่ามาตั้งหลายเดือน แบบนี้มันขี้โกงชัดๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีเจตนาช่วยญาติของเจ้าโกงข้า เช่นนี้เห็นทีข้าจะต้องร้องเรียนทางการซะแล้ว”
“ฮึ!ปากดีไปเถอะเซิ่นซิงเหยียน เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือว่ากำลังจะถูกสามีหย่า กำลังจะกลายเป็นสตรีหม้าย เช่นนี้ยังจะกล้ามาต่อปากต่อคำทำท่าอวดดีอยู่อีกหรือ” จูลี่หลินอดไม่ได้จึงโต้กลับบ้าง
“หึๆ เจ้าผิดแล้ว อนุจู อ้อ…ไม่สิ ข้าเรียกเจ้าว่าลู่ฮูหยินจะดีกว่า เห็นว่าเจ้าอยากเป็นนักข้ายินดียกให้ ข้ามิใช่สตรีหม้ายที่ถูกสามีหย่า แต่ข้าคือสตรีที่หย่าสามีต่างหาก และค่าหย่าของข้าก็ตามที่กล่าวมา สินสมรสคนละครึ่ง อ้อ…และสามีของเจ้าต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูชดเชยให้ข้าทุกเดือน เดือนละห้าสิบตำลึงตราบใดที่ข้ายังไม่ได้สามีใหม่มาเลี้ยงดูด้วยนะ เพราะข้ามิได้ทำอันใดผิด ที่เขาอยากหย่าข้าเพราะข้าหมดประโยชน์สำหรับเขาแล้วต่างหากล่ะ”
“จะ…เจ้า มีที่ใดกันที่สามีภรรยาพอหย่าร้างต้องแบ่งสินสมรสคนละครึ่ง เงินทองที่ได้มาหลังจากเราแต่งงานกันข้าก็นำมาใช้จ่ายในจวน เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าข้าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เบี้ยหวัดมิใช่จะได้มากเช่นเสนาบดีอย่างบิดาของเจ้า แล้วยังค่าเลี้ยงดูอะไรนั่นอีก นี่เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด?” ตอนนี้อารมณ์ของลู่เหวินคังนั้นเดือดปุดๆ เขาประเมินสตรีผู้นี้ผิดไป วันนี้นางช่างแปลกพิกลเสียจริง นอกจากสายตาของนางที่มองเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว กิริยา ท่าทาง คำพูดคำจาก็เหมือนไม่ใช่เซิ่นซิงเหยียน ภรรยาโง่เง่าที่เขาปั่นหัวอย่างไรก็ได้ ถึงขนาดยอมให้ญาติสาวของเขามาขายของที่ร้านค้าของนางโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าได้ตั้งหลายเดือน
“ก็มีที่นี่แหละ ต่อไปแคว้นซิ่วจะมีค่านิยม ความเชื่อ และกฎหมายแบบใหม่ ถ้าข้าไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการข้าก็จะไม่ยอมหย่า และถ้าหากเจ้าบีบคั้นข้ามาก ข้าจะไปร้องเรียนทางการ อ้อ แล้วก็จะเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้ด้วย เพียงเท่านี้ชื่อเสียงของเจ้าก็ด่างพร้อยแล้ว ลู่เหวินคังเอ๋ย ลองคิดดูสิเมื่อชื่อเสียงของเจ้าเสีย ฮ่องเต้ยังจะแลเจ้าอยู่ในสายตา ยังจะสนับสนุนเจ้าอยู่หรือไม่ ฮ่าๆๆๆ เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าคนเมืองเทียนหวงน่ะให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียงขนาดไหน ฮ่องเต้เองก็ด้วย”
“แล้วตัวเจ้าเองล่ะ เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกหรือ อีกทั้งยังจะถูกสามีหย่าในเร็วๆ นี้” จูลี่หลินย้ำ
เซิ่นซิงเหยียนยักไหล่พลางเบ้ปาก
“ไม่เลย ถือเป็นเรื่องดีซะอีก ที่ข้าได้ตัดคนเฮงซวยแบบนี้ออกไปจากชีวิตข้า เพราะเขามิใช่สามีที่ดี”
ลู่เหวินคังได้ฟังยิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่ เขาถึงกับตวาดออกไป
“เจ้ากล้ากล่าวว่าข้ามิใช่สามีที่ดีได้อย่างไร ข้ามีอันใดด่างพร้อยรึ?”
“สามีที่ดี คือ สามีใหม่ สามีเก่าคือสามีที่ไม่ดี เพราะหากเป็นสามีที่ดี ข้าก็คงจะไม่ยอมหย่า ไม่ยอมทิ้งสามีที่ดี เพื่อไปมีสามีใหม่ อ้อ…สามีใหม่ต้องเป็นบุรุษที่ดี บุรุษที่ดีย่อมต้องไม่หลอกใช้ภรรยาและบิดาของภรรยา เข้าจั๋ย” เซิ่นซิงเหยียนแกล้งพูดวกไปวนมาเพื่อให้คนเหล่านั้นปวดหัว แต่สรุปแล้วก็คือ
‘ลู่เหวินคัง มิใช่สามีที่ดี’
“ฮึ!เจ้าจะหย่ากับข้าเพื่อที่ว่าจะได้ไปมีสามีใหม่เช่นนั้นรึ ฝันไปเถอะ ข้าไม่ยอมหย่า” พูดจบลู่เหวินคังก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ที่เขาโกรธมิใช่หึงหวงนางหรอกนะ แต่โกรธที่นางประกาศปาวๆ ว่าจะทิ้งเขาไปหาสามีใหม่ แบบนี้มันหยามกันชัดๆ เขาจะไม่ยอมให้นางสมหวัง
“ทะ…ท่านพี่ ท่านว่าอย่างไรนะ นี่ข้าฟังผิดไปใช่หรือไม่?” จูลี่หลินวิ่งตามสามีมาติดๆ นางตั้งตัวแทบไม่ทันเมื่อเขาพูดว่าจะไม่ยอมหย่าจากเซิ่นซิงเหยียน