“ทำอะไรอยู่วะไอ้หมอก ฉันเรียกตั้งนานสองนานไม่ได้ยินหรือไง”
ภูมินทร์เริ่มหงุดหงิดเมื่อเรียกลูกน้องที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูรูปถ่ายด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขนาดเรียกไปหลายรอบแล้วก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว
“หัวหน้าเรียกผมอยู่เหรอครับ”
ท่าทางที่เหมือนคนเพิ่งหลุดจากห้วงภวังค์ของหมอก ทำให้ภูมินทร์ต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หงุดหงิดมากกว่าเดิม
“ก็เอ่อนะสิ มัวแต่ใจลอยถึงใครอยู่ ทำไมถึงไม่ได้ยินที่ฉันพูด”
“พอดีผมกำลังคิดถึงเมียครับหัวหน้า อีกสองเดือนเธอก็จะคลอดแล้ว และนี่ก็สามเดือนกว่าแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าเมียไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง”
หมอกตอบด้วยใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงภรรยาสาวปาเกอญอจากหมู่บ้านเนินผาที่กำลังท้องโตใกล้คลอด
ได้ยินคำบอกกล่าวของลูกน้องแล้วภูมินทร์ก็ทำใจโกรธไม่ลง ถึงตัวเองจะยังไม่มีลูกเมียแต่ก็พอจะเข้าใจหัวอกคนที่ต้องห่างเมียที่ใกล้คลอดมาประจำการอยู่ในฐานแทบจะไม่ได้กลับบ้าน แถมยังไม่มีคลื่นโทรศัพท์ให้โทรติดต่อหากันอีก
“อดทนเอาหน่อยก็แล้วกัน อีกแค่เดือนเดียวนายก็จะได้กลับไปเจอเธอแล้ว”
ภูมินทร์เดินมาตบไหล่หนาของลูกน้องสองสามทีเป็นกำลังใจให้อีกฝ่ายอย่างเข้าอกเข้าใจ สร้างความประทับใจให้กับลูกน้องคนสนิทจนต้องยิ้มกว้างกว่าเก่า
“ครับหัวหน้า”
“อ้อ…แล้วที่ฉันถามนายเมื่อกี้นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ”ดูเหมือนภูมินทร์เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ เลยต้องเอ่ยถามอีกครั้ง
“เรื่องอะไรเหรอครับหัวหน้า”
“เรื่องพ่อหนุ่มสองคนนั้นไง เขาเป็นใคร ใช่ญาตินายหรือเปล่า”ถามพร้อมชี้ไปทางสองหนุ่มวัยรุ่นที่เดินเตะฝุ่นเล่นอยู่ข้างสนามที่อาสาสมัครต่างมารวมตัวกัน เพราะหน้าตาทั้งสองคนไม่คุ้น จะว่าเป็นอาสาสมัครดับไฟก็ไม่ใช่
“สองคนนี้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเนินผาครับ พอดีผู้ใหญ่ซูเลเห็นว่าช่วงนี้ไฟป่าที่ผาตะวันกำลังวิกฤตหนัก เจ้าหน้าที่ดับไฟก็ไม่เพียงพอเลยส่งไอ้หนุ่มสองคนนั่นมาเป็นอาสาสมัครดับไฟช่วยครับ”
หมอกมองตามมือของผู้บังคับบัญชา ก่อนจะถือโอกาสกล่าวรายงานให้ทราบทันที
“อย่างนั้นเหรอ”ภูมินทร์พยักหน้าน้อยๆ นัยน์ตาคมกริบหรี่แคบลงขณะมองไปที่สองหนุ่มราวกับกำลังพิจารณาเพื่อเป็นการตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“ครับหัวหน้า ว่าแต่จะให้ผมเอาเข้าร่วมทีมดับไฟป่าเลยไหมครับ เพราะสองคนนี้ยังหนุ่มยังแน่น แถมยังเป็นคนในพื้นที่เชียวชาญในการเดินป่า และรู้จากสภาพภูมิประเทศของผาตะวันดี น่าจะช่วยเราได้เยอะเลย”
หมอกเอ่ยถามพร้อมออกความเห็น จากประสบการณ์การดับไฟป่าในพื้นที่ผาตะวัน นอกจากจะต้องใช้กำลังพลที่ผ่านการฝึกอบรมวิธีการดับไฟป่าแล้วยังต้องอาศัยประสบการณ์ในการเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวด้วย เนื่องจากพื้นที่ของผาตะวันส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชัน แถมยังมีหน้าผาหลายแห่งที่เป็นจุดเข้าถึงยาก หากได้คนในพื้นที่มาร่วมปฏิบัติการด้วยก็คงจะดี
“ยังเอาเข้าทีมไม่ได้ ถึงทั้งสองคนจะเป็นหนุ่มที่มีพละกำลังมาก แถมยังเป็นคนในพื้นที่ แต่พวกเขายังไม่เคยฝึกดับไฟป่าที่ถูกหลักการมาก่อน เราจะต้องฝึกอบรมหลักสูตรดับไฟป่าระยะสั้นแล้วตรวจเช็กสภาพร่างกายให้เรียบร้อย ถึงจะให้เข้าร่วมทีมได้ แต่ตอนนี้ให้ทั้งสองคนเข้าร่วมทดสอบร่างกายพร้อมกับอาสาสมัครทุกคนก่อน”
ภูมินทร์แย้งพร้อมกับให้เหตุผล เพราะการทำงานดับไฟป่านั้นจะต้องมีความพร้อมทั้งความรู้และสภาพร่างกาย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดได้ตลอดเวลาระหว่างปฏิบัติงาน
“ครับหัวหน้า ถ้าอย่างนั้นผมจะไปบอกให้ทั้งสองคนไปรวมตัวตั้งแถวพร้อมทุกคนนะครับ”
พูดจบหมอกก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป เพื่อไปปฏิบัติภารกิจฝึกอาสาสมัครใหม่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าหยุดเดินพร้อมกับหันมามอง
“เดี๋ยวก่อนไอ้หมอก”
“มีอะไรอีกเหรอครับหัวหน้า”
คนถูกเรียกขมวดคิ้วถาม พลางจ้องใบหน้าหล่อเหลาขรึมสนิทสุดจะเดาของอีกฝ่ายนิ่ง เพื่อรอคำสั่งที่อาจจะมีเพิ่มเติม
“ยังมีอีกคนที่เราจะฝึก ฉันนัดไว้ตอนตีห้า ตอนนี้ใกล้แล้วยังไม่เห็นมาเลย”
“ใครเหรอครับหัวหน้า”
หมอกเอ่ยถามพลางทำหน้าครุ่นคิด เพราะเมื่อกี้นี้เขาเป็นคนเช็กชื่ออาสาสมัครทุกคนแล้ว และทุกคนที่มาตั้งแถวอย่างพร้อมเพรียงก็มากันครบหมดแล้ว จะเหลือก็สองหนุ่มที่มาใหม่ และเขากำลังจะไปบอกให้ไปตั้งแถวร่วมกับทุกคน แต่แล้วก็ต้องชะงักเงยหน้ามองผู้บังคับบัญชาอีกครั้งด้วยตาโตอย่างคาดไม่ถึง
“อย่าบอกนะว่า….หัวหน้าจะทดสอบร่างกายคุณหมอณิศาด้วย”
“มันเป็นกฎของฐานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทีมแพทย์และอาสาสมัครที่มาอยู่ในฐานควบคุมไฟป่าทุกคนต้องได้รับการทดสอบร่างกาย โดยไม่มีข้อยกเว้น”
ภูมินทร์ตอบอย่างหน้าตาเฉย พร้อมกับอ้างกฎของฐานที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วยอย่างแรง
“แต่เธอเป็นผู้หญิงนะครับ แถมยังร่างน้อยเอวบางอีกด้วย จะให้เธอเดินขึ้นเขาด้วยระยะเวลาจำกัดพร้อมกับแบกสัมภาระเหมือนผู้ชาย แล้วไหนจะต้องปีนหน้าผาอีก ผมว่าเธอไม่ไหวหรอกครับ”
หมอกเถียงแทนเธอ เพราะตระหนักรับรู้ถึงความโหดของการทดสอบร่างกายดี นอกจากจะต้องวิ่งขึ้นเขาขณะที่แบกสัมภาระเต็มหลังด้วยระยะทางห้ากิโลเมตรชนิดที่แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงยังต้องเหนื่อยหอบแล้วยังต้องฝึกปีนหน้าผาด้วยเชือกเส้นเดียวอีกด้วย หมอกไม่อยากจะคิดถึงสภาพคุณหมอคนสวยเลยว่าเธอจะสามารถผ่านด่านโหดพวกนั้นไปได้หรือเปล่า
ทว่าภูมินทร์ไม่คิดแบบนั้น เพราะสำหรับเขาแล้วกฎก็คือกฎ ระเบียบก็คือระเบียบโดยไม่มีข้อยกเว้นใดใดทั้งสิ้น ถึงแม้คนๆ นั้นจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหนก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุระหว่างเจอสถานการณ์ฉุกเฉินให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
“ร่างน้อยเอวบางแล้วไง เธอมาที่นี่ก็เพื่อตามเจ้าหน้าที่ดับไฟเข้าป่าไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ทดสอบร่างกายแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะไหวหรือไม่ไหว”
ได้ยินสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาสวนกลับมาแล้วหมอกต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เมื่อรู้ว่ายังไงเสียก็ไม่อาจขัดคำสั่งนั้นได้ แต่กระนั้นก็มิวายเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“นี่หัวหน้าจะให้คุณหมอคนสวยทดสอบร่างกายจริงๆเหรอครับ”
“แล้วฉันเคยพูดเล่นด้วยเหรอ”
ภูมินทร์ไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ซึ่งนั่นเป็นคำตอบชัดในตัวอยู่แล้ว และหมอกก็เข้าใจความหมายนั้นดี เลยทำได้เพียงยอมรับในสิ่งที่จะเป็นไป
‘โหด! แม้กระทั่งกับผู้หญิงก็ไม่เว้น’
หมอกต่อว่าเจ้าของคำสั่งในใจ เพราะเป็นซะแบบนี้ไงถึงได้ไม่มีแฟนกับเขาสักสี ทั้งที่เพื่อนๆในแก๊งแต่งงานมีเมียไปหมดแล้ว
‘หน้าหล่อ แต่โหดชะมัด! แล้วแบบนี้จะมีสาวที่ไหนกล้าอยู่ใกล้กันเนี่ย!’
หมอกยังคงบ่นพึมพำระหว่างเดินมาที่โรงอาหาร ทั้งหมั่นไส้ในความแข็งกระด้างไร้หัวใจ ทั้งเป็นห่วงกลัวอีกฝ่ายจะไม่มีเมียเหมือนเพื่อนคนอื่นๆปนกันไปหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดูเหมือนข้อหลังจะน่าเป็นห่วงกว่า