“หยีว่าเราเลิกกันเถอะ” ร่างสูงหยุดชะงักทันทีเมื่อฉันพูดจบประโยค เด็กผู้ชายตัวสูงในชุดนักเรียนอินเตอร์หันหน้ากลับมาหา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด แววตาที่เคยมองฉันอย่างเอ็นดูทุกครั้งที่เจอบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความสับสนปนสงสัย
“พี่ทำอะไรผิด” ขายาวก้าวมาข้างหน้าทำให้ระยะห่างระหว่างเราเริ่มน้อยลง “หรือหยีโกรธเรื่องที่พี่มางานศพคุณน้าไม่ได้” ฉันส่ายหน้า
เรื่องนั้นฉันเข้าใจและไม่โกรธเขาเลยสักนิด ก็ตอนนั้นเขาอยู่ต่างประเทศกับครอบครัวจะให้บินกลับมาก็คงไม่ใช่เรื่อง อีกอย่างฉันรับรู้ว่าเขาเองก็เสียใจที่ไม่สามารถอยู่ให้กำลังใจในวันที่ฉันไม่เหลือใคร เพราะฉะนั้นฉันไม่โกรธ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วทำไมหยีถึงต้องบอกเลิกพี่”
“หยีไม่ได้รู้สึกกับพี่ธนินเหมือนเดิมแล้ว”
“ไม่จริง” ใบหน้าหล่อฉายแววดื้อดึง “บอกพี่มาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นค่ะ ตอนนี้หยีอยากโฟกัสเรื่องเรียน เด็กมัธยมต้นอย่างเราก็ควรสนใจแค่การเรียนไม่ใช่เหรอ”
“พี่ไม่เลิก”
“แต่หยีจะเลิก” ฉันยืนยันความตั้งใจเดิม “หวังว่าพี่ธนินจะเคารพในการตัดสินใจของหยีนะคะ” ว่าจบฉันก็หันหลังเดินจากมา รู้สึกว่าขอบตาของตัวเองร้อนผ่าวจนต้องแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
“ยังไม่พี่ก็ไม่เลิก!” เขาตะโกนตามหลังมา ฉันไม่ได้ใส่ใจนอกจากเปิดประตูแท็กซี่แล้วรีบบอกให้คนขับออกรถ
กระจกมองข้างสะท้อนภาพเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เขายังมองตามรถที่ฉันนั่ง ในมือกดโทรศัพท์เหมือนกำลังโทรหาใครสักคน ซึ่งคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะสายเรียกเข้าที่โชว์อยู่หน้าจอตอนนี้คือเบอร์ของคนที่ฉันพึ่งจะเอ่ยปากบอกเลิก ‘พี่ธนิน’ แฟนคนแรกและน่าจะเป็นแฟนคนเดียวในชีวิตนี้ที่ฉันคิดจะมี
“หยี ทำไมจู่ ๆ แกถึงบอกเลิกพี่ธนิน” ข่าวไวเหมือนอย่างเคย ใบหน้าสวยหวานยับย่นอย่างคนไม่เข้าใจ ร่างเล็กกว่าทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อจ้องหน้าอย่างเร่งเร้าเอาคำตอบ
“ไม่มีอะไร อยากโฟกัสแค่เรื่องเรียน”
“อย่ามาโกหก” มือเล็กยกขึ้นชี้หน้า “ตั้งแต่ที่แกคบกับพี่ธนินเกรดแกก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ พี่เขาทั้งช่วยสอนการบ้านช่วยแก้โจทย์ แถมยังติวจนฉันกับแกสอบได้ท็อป เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่แกต้องบอกเลิกเขาเพราะเรื่องเรียน” แน่นอนว่าฉันแค่เอาเรื่องนี้เป็นข้ออ้าง คบกับพี่ธนินมีแต่ทำให้การเรียนฉันดีขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ฝนจะไม่เชื่อ แล้วฉันก็คิดว่าพี่ธนินรวมถึงเพื่อนสนิทของเขาอย่างพี่ฝุ่นก็คงเชื่อไม่ลง
“แกไม่คิดบ้างเหรอฝนว่าฉันกับเขาเราไม่ควรคบกันตั้งแต่แรก”
“ไม่” เพื่อนสนิทตอบกันอย่างหนักแน่น “แกกับพี่ธนินเหมาะกันมาก คนหนึ่งสวยคนหนึ่งหล่อ แกนิสัยดีพี่ธนินก็นิสัยดีเอามาก ๆ ขนาดนี้แล้วมีอะไรไม่เหมาะสม”
“ฐานะไง เขากับฉันต่างกันมากเกินไป” ถ้าตัดเรื่องหน้าตาหรือนิสัยก็ถือว่าฉันกับพี่ธนินต่างกันมาก ถึงฉันจะไม่ได้ยากจนเพราะได้รับการดูแลจากคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อ แต่ฉันก็รู้ดีว่าตัวเองกับพี่ธนินต่างกันยังไง
เขาเป็นลูกคุณหนูเรียนอินเตอร์ค่าเทอมหลักล้าน ส่วนฉันแค่เด็กที่เรียนโรงเรียนธรรมดาค่าเทอมหลักหมื่น แค่นี้ก็คงเห็นถึงความแตกต่างแล้วใช่ไหม อีกอย่างฉันมันก็แค่ลูกนอกสมรส ไม่คู่ควรกับคุณชายตระกูลสูงที่แค่พูดนามสกุลคนก็รู้จักทั้งประเทศ
“ยาหยี คนเราไม่ควรดูถูกตัวเอง”
“ที่พูดไม่ใช่เพราะฉันดูถูกตัวเอง แต่พูดเพราะฉันยอมรับความเป็นจริง ตอนนี้แกอาจจะยังไม่เห็นถึงความต่างระหว่างฉันกับเขา แต่พอโตขึ้นแกจะรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดไม่เกินจริง”
“แกกำลังเปรียบเทียบเรื่องของตัวเองกับเรื่องของน้าหญิงอยู่ใช่ไหม” เห็นฉันไม่ตอบฝนก็ได้แต่ถอนใจ “แกกับพี่ธนินอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้” แบบนั้นที่ว่าคือเรื่องราวของแม่ที่ท่านบอกเล่าผ่านไดอารี่ที่ฉันค้นเจอเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน
แม่เล่าถึงตอนที่เข้าไปทำงานบริษัทใหญ่ในตำแหน่งเลขานุการของรองประธานบริษัท แม่เล่าว่าเจ้านายเป็นคนหล่อที่ทั้งใจดีและเอื้อเฟื้อ เขาไม่เคยตะคอกใส่ลูกน้องมากสุดแค่ทำหน้าดุ เวลาทำงานผิดก็แค่โดนตักเตือนแถมยังได้รับคำแนะนำ ทำให้ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาจะเป็นผู้บริหารที่ลูกน้องรักมากที่สุดอีกคนหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปการทำงานกับเจ้านายก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปี เป็นหนึ่งปีที่ความสัมพันธ์มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ด้วยความที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดทำให้เกิดความใกล้ชิดที่เกินเลย จนใจที่สุดก็เกิดความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่นั้นก็คือแม่ตั้งท้อง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้แม้กระทั่งตัวพ่อเอง แม่เก็บเป็นความลับตั้งใจจะบอกพ่อหลังจากที่พ่อขึ้นรับตำแหน่งประธานบริษัท โดยที่แม่ไม่เคยรู้เลยว่าทางครอบครัวของพ่อได้จัดการหาคู่หมั้นที่เหมาะสมทั้งฐานะการเงินและฐานะทางสังคมให้กับพ่อเรียบร้อยแล้ว
งานหมั้นถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แม่ก้มหน้ายอมรับความจริงแล้วลาออกจากบริษัทโดยที่พ่อไม่กล้าแม้แต่จะยื้อหรือว่ารั้ง มีเพียงประโยคสั้น ๆ ที่บอกว่า ‘ผมรักคุณมากนะ’ ก่อนที่ประตูห้องทำงานใหญ่จะปิดลง
แม่ออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังอย่างคนไร้ญาติขาดมิตร เก็บตัวเงียบเพื่อไม่ให้คนที่ทำงานเก่ารู้ว่าเหตุผลที่ลาออกจากตำแหน่งที่เงินเดือนสูงลิ่วเกิดจากอะไร แต่อย่างนั้นก็ยังมีหนึ่งคนที่รู้ นั่นก็คือคุณหญิงเพ็ญแขแม่ของพ่อ
‘อยู่เงียบ ๆ ในที่ของเธออย่าเสนอหน้าไปให้ลูกชายฉันเห็นอีก แล้วก็อย่าคิดจะใช้เด็กที่เกิดจากความร่านของตัวเองมาเรียกร้องอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้มันไม่ได้ลืมตามาดูโลก’ นั่นคือข้อความที่อยู่ในไดอารี่พร้อมกับคราบน้ำตาที่แห้งกรัง
“ฉันก็ไม่รู้อนาคตหรอกนะฝน ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่อยากเจ็บปวดเหมือนแม่ ไม่อยากต้องทรมานเพราะคำว่ารักที่มันกินไม่ได้ แกก็รู้ว่าชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละคร” โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นพระเอกดันโง่ไม่กล้ามีปากเสียง ไม่กล้าแม้กระทั่งออกหน้าปกป้องคนที่ตัวเองบอกว่ารัก
“ตกลงจะเลิกกับพี่ธนินจริง ๆ ใช่ไหม”
“อือ” ฉันว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรา
หลังบอกเลิกพี่ธนิน เดือนต่อมาพี่ฝุ่นก็เล่าให้ฟังว่าพี่เขาตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ
“จะไม่ไปส่งมันจริงเหรอหยี อีกหลายปีเลยนะกว่าที่มันจะกลับมา” พี่ฝุ่นยังโน้มน้าวอยากให้ฉันไปสนามบินด้วยกัน เพราะวันนี้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพี่ธนินก็จะบินไปเรียนต่อ อย่างน้อยก็คงอีกสามปีกว่าที่เขาจะกลับมา หรืออาจจะนานกว่านั้นถ้าเขาตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญา
“หยีไม่ไปน่ะดีแล้ว”
“แต่มันคงอยากให้หยีไป” ฉันไม่พูดอะไรอีกนอกจากยิ้มจาง ๆ ให้พี่ชาย พี่ฝุ่นถอนหายใจแล้วเดินเข้ามากอด มือใหญ่ลูบผมฉันอย่างเบามือ เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ดังขึ้นกับอกอุ่น
“ฝากบอกเขาด้วยนะว่าหยีขอให้เดินทางปลอดภัย”
“อือ เดี๋ยวพี่บอกมันให้”
จบลงแล้วจริง ๆ สำหรับรักแรกและรักเดียวของฉัน ขอบคุณเวลาเกือบหนึ่งปีที่ดูแลหยีมาอย่างดีนะพี่ธนิน หยีหวังว่าพี่ธนินจะมีความสุข ในอนาคตข้างหน้าได้เจอคนที่เหมาะสมและคู่ควร ส่วนหยีก็จะพยายามใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี และสักวัน วันที่เราโตพอ เราอาจจะสามารถมองหน้าและพูดคุยกันอย่างปกติได้อีกครั้ง