Chapter 4 มายาเสน่หา (1)

2133 Words
Chapter 4 มายาเสน่หา (1) "บ้านหลังนี้สวยดีนะคะ ถ้าหากมีบ้านเป็นของตัวเอง มิ้นต์ อยากได้บ้านแบบนี้" โทรศัพท์ถูกยื่นมาตรงหน้าของคนที่กำลังจดจ่อสายตาอยู่กับหน้าจอทีวี ข้างกายคือหมอนข้างนุ่มๆ ที่อยู่ในชุดนอนแบบไม่ได้นอนพร้อมจะให้เขาเสียบได้ทุกท่วงท่าทุกเวลา ท่อนแขนแกร่งโอบกระชับร่างนั้นเมื่อเจ้าหล่อนขยับกายบดเบียดจนแทบจะขึ้นคร่อม จงใจเบียดอกอิ่มเข้ากับสีข้างเปลือยเปล่า หลังจากที่เขาเสียพลังงานไปกับของหวานมื้อค่ำที่หล่อนปรนเปรอให้อย่างถึงใจ นคินทร์มองแบบบ้านที่หล่อนให้ดู ยิ้มกริ่มส่งไปให้คนที่นอนเล่นปลายคางของตนอย่างรู้ทันในความหมาย "เบื่ออยู่คอนโดแล้วเหรอครับ ถึงอยากจะเปลี่ยนมาอยู่บ้าน" "หนึ่งในความฝันของลูกผู้หญิง ก็คือบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง ถ้ามีบ้านมิ้นต์จะพาแม่มาอยู่ด้วยค่ะ" ยิ้มหวานคลี่ส่งมาให้ แววตาทอประกายระยิบระยับเต็มไปด้วยความหวัง...หล่อนเบื่ออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไร้สนามหญ้าเอาไว้เดินเล่น ถึงเวลาก็รอให้เขาไปหา แล้วก็ลงเอยด้วยสัมพันธ์รักที่ต้องทำให้เขาพอใจเพื่อแลกกับความสุขสบาย ยอมเป็นเมียบำเรอเพื่อที่จะได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ "พูดแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ ต้องการอะไร...หืมม..." เขาเป็นฝ่ายยันกายขึ้นคร่อมใช้สองแขนกักร่างยั่วใจเอาไว้...ได้รับกลับมาคือแววตายาวรีที่ละลายหัวใจคนกำลังลุ่มหลงให้เผลอไผลไปตามมารยา "มิ้นต์ไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากอาภูอีกแล้วค่ะ แค่นี้ก็ให้กันมากพอแล้ว อาภูเป็นคนให้ชีวิตใหม่กับมิ้นต์...มิ้นต์รักอาภูนะคะ รักจนไม่อยากให้อาภูใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหน" คำหวานมาพร้อมใบหน้าออดอ้อน สองมือนุ่มกดรั้งท้ายทอยของเขาเข้าหา ตอกย้ำคำรักด้วยจูบแสนอ่อนละมุน กลีบปากนุ่มที่บดเบียดคลอเคล้าส่งผ่านความกระสันไปถึงกลางกาย "ถ้ามิ้นต์ยอมให้อาไปขอเพื่อหมั้นเอาไว้ก่อน อยากได้อะไรขอให้บอก มีอะไรบ้างที่ขอแล้วให้ไม่ได้ ถ้าเราหมั้นกันแล้ว อาจะพาไปดูบ้านแล้วให้เลือกจนพอใจ" เพียงเท่านั้น สองแขนก็สอดคล้องเกี่ยวลำคอแกร่งพร้อมรอยยิ้มสื่อถึงความดีใจ ไม่คิดว่าแค่เกริ่นกับเขาเล่นๆ เขาจะซื้อบ้านให้หล่อนขึ้นมาจริงๆ "ถ้าอาภูซื้อบ้านให้มิ้นต์ แล้ว...เราแต่งงานกัน อาภูจะแยกออกไปอยู่ด้วยกันสองคนใช่มั้ยคะ" คำถามมาพร้อมแววตากลมโตที่จับจ้องจังจริง...ในความคิดมาลีรินทร์ หล่อนไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่ชอบที่จะต้องมานั่งทำตัวให้ถูกใจผู้ใหญ่ฝ่ายชาย และสัมผัสได้ว่าไม่มีใครชอบเธอเลยสักคน แต่...นั่นก็เรียกเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ "แต่งงานกันแล้วมิ้นต์ก็ต้องมาอยู่ที่นี่สิครับ บ้านก็เอาไว้ให้คุณแม่มาอยู่ก็ได้ ส่วนมิ้นต์ก็อาจเทียวไปเทียวมา เจอกันครึ่งทางแบบนี้ดีมั้ย" "ทำ...ไม...คะ...ทำไมต้องอยู่ที่นี่" "อาเป็นห่วงคุณพ่อ เดี๋ยวไม่มีใครดูแลน่ะสิ ท่านก็อายุมากขึ้นทุกวัน คนอื่นน่ะไว้ใจได้เหรอ ไว้ใจได้แค่ไหนว่าเข้ามาในบ้านหลังนี้เพราะต้องการเป็นเพื่อนดูแลในยามป่วยไข้ ไม่ได้หวังอะไรจริงๆ" แววตาทอประกายอบอุ่นยามสบตาผู้หญิงที่ตัวเองรัก แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ฉายความชิงชังและผลักไส เมื่อใบหน้าของสองแม่ลูกแวบเข้ามาในห้วงความคิด...เขาไม่เชื่อ...ไม่เชื่อว่าแก้วกาญจน์จะรักบิดาของตนอย่างจริงใจ ฝ่ายนั้นแค่หวังความสุขสบายและเงินทองโดยไม่ต้องทำอะไร โดยเอาเรื่องดูแลบิดามาเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ต่อในบ้านหลังนี้เท่านั้นเอง 'ผลสุดท้ายเขาก็เลือกครอบครัวมาก่อน เราเป็นแค่คนนอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราก็เป็นคนที่เขาไม่ได้รักเป็นที่หนึ่งเช่นกัน' ภายใต้รอยยิ้มหวานและสองแขนที่กอดเกี่ยวแผ่นหลังกว้าง ในห้วงความคิดของมาลีรินทร์เริ่มฟุ้งซ่าน นับวันยิ่งอยากเป็นที่หนึ่งในใจที่เขาพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกอึดอัดที่พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเขาต้องไม่พอใจหากหล่อนทำตัวมีปัญหากับบิดาของเขา หลังจากแต่งงานกันขึ้นมาแล้วใช้ชีวิตแบบผัวเมียอย่างเปิดเผยต่อสังคม ในยามเช้าตรู่ที่อากาศสดใส คือวันเริ่มต้นทำงานและเรียนของใครหลายคนตามแต่บทบาทหน้าที่จะพาไป...แก้วกัลยาก็เช่นกัน หลังจากทานมื้อเช้าในครัวเพราะต้องการเลี่ยงหลบหน้านคินทร์ หญิงสาวก็สะพายกระเป๋าเดินผ่านพุ่มเทียนหยดออกดอกสะพรั่งที่ปลูกเป็นแนวตลอดสองข้างทางเดิน เป็นกิจวัตรในวันธรรมดาที่หล่อนยืนยันกับนคเรศว่าขอเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้มาเอาใจกันด้วยมีคนขับรถไปส่ง หล่อนไม่ชินกับความสุขสบายเพราะไม่ได้เติบโตมาในสังคมแบบเดียวกับนคินทร์ "อ๊ะ!" ไม่ทันระวัง เมื่อโกลเด้นจอมซนวิ่งพรวดสวนมาแล้วกระโจนเข้าใส่ มันคุ้นเคยกับหล่อนจนเกือบจะติดแจก็ว่าได้ เพราะนับตั้งแต่มาอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็มีหน้าที่หาอาหารให้หมาของเขากิน อีกทั้งอาบน้ำให้ กลายเป็นคนเลี้ยงหมาไปโดยปริยาย "ทองหยอด พอแล้ว เดี๋ยวเสื้อผ้าเปื้อนนะ" หล่อนกอดตอบแล้วลูบไปบนหัวของมันด้วยความรักและผูกพัน ทองหยอดยืนสองขาคู่ โดยคู่บนกอดเกี่ยวเอวคนที่มันคิดว่าเป็นแม่เอาไว้ กระดิกจนหางแทบหลุดเพราะอยากเล่นด้วย และ...ในวินาทีนั้นเอง 'อินังทองหยอด แรดใหญ่แล้วนะ นั่นคือศัตรูฉัน ไม่ใช่แม่แก กระดิกหางดิ๊กๆ เชียวนะ น่าหมั่นไส้!' คนพานพะโรคิดยามเดินออกมาแล้วเจอแก้วกัลยากลางทาง ตะโกนเรียกหมาเพื่อหาเรื่องคน "ทองหยอด ไปเข้าบ้านเดี๋ยวนี้!" ".....!" "ทำเป็นเข้าหาทางหมาเหรอแก้ว...ฝันไปเถอะว่าถ้าทำตัวรักหมาของฉัน แล้วนั่นจะทำให้ฉันมองเธอในแง่ดีขึ้น หึ ไม่มีวัน" 'บ้าจริง...ทำไมวันนี้ไปทำงานเร็วจัง' แก้วกัลยายืนนิ่งไม่หันไปมองเจ้าของเสียง เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกที่ต้องเจอนคินทร์อีกจนได้ ทั้งที่คิดว่ารีบออกจากบ้านก่อนเขาจะแต่งตัวเสร็จ แต่กลายเป็นว่าวันนี้เขาไปทำงานเร็วกว่าที่เคย "ทำไมวันนี้ไปเร็วจังล่ะแก้ว ทานข้าวแล้วเหรอ" นั่นคือเสียงทักจากนคเรศที่กลับจากเดินสลับวิ่งออกกำลังรอบๆ บ้าน ช่วงนี้สุขภาพของเขาไม่ค่อยดีจึงต้องพักจากเรื่องงานและเข้าตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน แก้วกัลยายิ้มแทนคำตอบ คิดอย่างโล่งใจ ที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เข้ามาห้ามทัพได้ทันท่วงที "แล้วภูล่ะ ทำไมวันนี้ดูรีบๆ" "ผมจะไปรับมิ้นต์ด้วยครับคุณพ่อ ก็เลยรีบ" นคเรศยิ้มอ่อนกับคำตอบ เพราะนั่นเข้าทางความต้องการของเขาพอดี "อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย ทางผ่านมหาลัยฯหนูแก้วพอดี ยังไงก็ให้แก้วติดรถไปด้วยนะ จะได้ไม่ต้องขึ้นรถไปเอง ภูก็แวะส่งน้องก่อน คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่ใช่มั้ย" "แต่..." สองคนที่ไม่ลงรอยกันเหลือบมองสบตา เมื่อต่างฝ่ายต่างเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันพอดี "แก้วไปเองได้ค่ะคุณพ่อ อย่าให้เดือดร้อนคุณภูเลยค่ะ" "เดือดร้อนอะไร อย่าคิดมากสิ เป็นทางผ่านไม่ได้แวะเข้าตรอกซอกซอยเสียหน่อย ก็ให้มันรู้กันไปว่าคนบางคนแถวๆ นี้จะใจดำไม่ยอมให้หนูขึ้นรถไปด้วย เห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว" หรี่ตามองคนที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ แสร้งทำเป็นไม่สนใจว่าจะเต็มใจหรือไม่ แต่เขาเป็นพ่อมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับทุกคนในบ้าน และในเมื่อลูกอยากมีครอบครัว หัวอกคนเป็นพ่อและแม่ก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกกันทั้งนั้น...ฝ่ามืออบอุ่นดันหลังคนที่รักเสมือนลูกแท้ๆ ให้เปลี่ยนทิศทางไปยังโรงรถ...นคินทร์มองตามภาพนั้นพลางขบกรามแน่น นั่นไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา ให้อย่างไรก็ไม่มีวันยอมรับ อยากตะโกนแบบนี้ใส่หน้าบิดาเหลือเกิน ออดี้ดำเด่นขับเคลื่อนไปบนท้องถนนด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก เสียงเพลงสากลจังหวะคลาสสิกเล่นวนเวียนไปเรื่อยๆ คลอเคล้ากับความเย็นฉ่ำภายในห้องโดยสาร...ตรงเบาะนั่งข้างๆ คนขับ แก้วกัลยานั่งเกร็งมาตลอดทางเพราะเขาไม่พูดอะไรเลยนับตั้งแต่ออกจากบ้านมา และหล่อนซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ถูกนคเรศรบเร้าให้ยอมขึ้นรถมากับคนที่เกลียดกันยิ่งว่าไส้เดือนกิ้งกือ ไม่อยากคิดเลยว่านับจากนี้ เขาจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรใส่กันอีกหากลับหลังบิดา เมื่อมาได้เพียงแค่ครึ่งทางยังไม่ทันถึงมหาลัยฯของแก้วกัลยาแววตาซ่อนความชั่วร้ายเหลือบมองกระจกข้าง เมื่อเห็นว่าถนนพอว่างที่จะเบี่ยงเข้าซ้ายได้ ชายหนุ่มจึงหักพวงมาลัยเบ้เข้าหาฟุตบาทข้างทางอย่างกะทันหัน ตรงนั้นไม่ใช่ป้ายรถเมล์ ไม่ใช่หน้าปากซอย ไม่มีสะพานลอยคนข้าม ไม่มีวินมอเตอร์ไซด์ให้เรียกใช้บริการ...เมื่อรถจอดสนิทที่ข้างทาง เขาก็หันไปตะคอกใส่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด "ลงไป!" ".....!" "ลงไปจากรถของฉัน เดี๋ยวนี้!" "คุณภู! คุณจะทิ้งแก้วไว้ตรงนี้...จริงๆ ใช่มั้ย" "หรือจะนั่งต่อไปแล้วให้ฉันหาโรงแรมที่ใกล้ที่สุด ถ้าเธอไม่ลง นั่นแสดงว่าอยากที่จะโดนจนตัวสั่น...อยากมีผัวมากนักแล้วฉันจะจัดให้อย่างถึงใจ เอาแบบนี้มั้ยล่ะ แก้วกัลยา!" เสียงนั้นฟังดูจังจริงเกรี้ยวกราด...แก้วกัลยาสบตากับคนใจร้ายด้วยแววตาสั่นระริก และนั่นทำให้ความอดทนของหล่อนก็ถึงจุดเดือดเช่นกัน" "จำเอาไว้นะคะว่าวันนี้คุณทำอะไรกับแก้วเอาไว้บ้าง...เอาเถอะค่ะคุณภู เอาที่สบายใจของคุณ" หล่อนสะบัดหน้าหนีพร้อมขบกรามแน่น เปิดประตูลงจากรถแล้วปิดใส่หน้าคนขับด้วยอารมณ์หลายอย่างที่ประเดประดัง เปล่า... หล่อนไม่ได้เสียใจที่ถูกเขาทิ้งไว้กลางทาง แต่มันทั้งเจ็บใจแล้วก็ขุ่นเคืองตัวเอง โกรธตัวเองที่เปิดช่องให้เขาแกล้งกันอีกครั้งจนได้ เมื่อลงมาแล้วจึงหันหลังเดินย้อนสวนกลับไปทางที่ผ่านมาโดยไม่คิดจะหันหลังไปมอง ไม่จำเป็นต้องง้อ หล่อนมีสมองพอที่จะเอาตัวรอดแม้จะถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง 'เรียกแท็กซี่ออนไลน์เอาก็ได้ อย่าคิดว่าแก้วหมดหนทางไปจนต้องงอนง้ออ้อนวอนให้คุณเห็นใจนะคุณภู' คิดยามเดินไปบนฟุตบาทจนทิ้งระยะห่างออกมาเรื่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกเพื่อปรับสภาพอารมณ์...หล่อนจะไม่มีวันคร่ำครวญร้องไห้ต่อหน้าคนแบบนั้น...ไม่มีวัน ออดี้ดำเด่นยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม แววตาสั่นระริกมองร่างนั้นผ่านกระจกส่องหลังพร้อมคำถามในหัวใจ...เขาทำเกินไปหรือไม่ ยามนี้ความรู้สึกสองอย่างกำลังตีกันจนไม่รู้ว่าอะไรถูกผิด เขามองจนร่างของหล่อนเล็กลงเรื่อยๆ หลังจากปิดประตูใส่หน้ากันอย่างไม่แยแส...คนเย่อหยิ่งจองหองก็ไม่หันหลังกลับมามองกันอีกเลย 'ช่วยไม่ได้นะแก้ว เพราะเธออยากเกิดมาเป็นลูกสาวของผู้หญิงคนนั้น...คนที่ทำลายครอบครัวคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น ฉันเป็นคนรักแรง เกลียดแรง ถ้าเกลียดใครแล้วคนนั้นก็จะได้รับเพียงความสารเลวกลับไป' เขาคิดปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้ทำเกินไป นั่นก็สมควรแล้วกับสิ่งที่สองแม่ลูกสมควรได้รับ สูดลมหายใจให้ลึกพร้อมเท้าที่เหยียบคันเร่งเพื่อพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น โดยไม่คิดจะสนใจคนที่เขาทิ้งไว้กลางทางอีกเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD