ฉันชื่ออาหลิน อายุ 46 ปี มีอาชีพเป็นนักธุรกิจมีกิจการส่วนตัวที่สืบทอดมาจากครอบครัว มีทรัพย์สินเงินทองหลักร้อยล้าน แต่ในวันนี้หัวใจของฉันห่อเหี่ยวมากเหลือเกิน
ฉันได้รับรู้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งตลอดมาร่างกายของฉันไม่เคยมีปฎิกิริยาแสดงอาการเจ็บป่วยนี้มาก่อนเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องราวอันแสนโหดร้ายนี่ถึงได้เกิดขึ้นกับฉัน
ฉันเติบโตมาในครอบครัวคนจีนที่ถือเพศบุรุษเป็นใหญ่ ครอบครัวของฉันประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่ชายคนโต และตัวฉัน ด้วยความที่ฉันเป็นเพียงลูกสาวคนเดียวของครอบครัวทำให้ฉันมีชีวิตไม่ต่างจากสาวใช้ก้นครัว ต้องคอยรองรับอารมณ์เกรี้ยวกราด และความหงุดหงิดของพ่อ ต้องคอยช่วยทำงานบ้าน ทั้งที่จริงแล้ว ที่บ้านก็มีแม่บ้าน
ฉันพยายามตั้งใจเรียน พยายามเอาใจ เป็นในสิ่งที่พ่อต้องการทุกอย่าง เพียงเพราะอยากให้พ่อเห็นคุณค่าในตัวของฉัน เอ่ยปากชื่นชมฉันสักครั้งอย่างจริงใจ แต่นั่นก็ไม่เคยเกิดขึ้น แม้ว่าฉันจะเรียนจนได้ระดับเหรียญทองโอลิมปิก แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์
พี่ชายของเธอ แค่ก้าวจากเกรดเลขสองมาสามนิดๆกลับได้รับคำชมมากมาย เขาสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐบาลอันห่างไกลด้วยคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พ่อยังภูมิใจในตัวเขาถึงขั้นออกรถให้เขาขับ ส่วนเธอที่สอบติดมหาวิทยาลัยใจกลางเมืองที่คะแนนสูงอันดับหนึ่ง ได้แต่นั่งรถเมล์
หลายครั้งที่ฉันท้อใจเศร้าใจ ฉันอยากไปให้พ้นจากครอบครัวนี้ จึงได้พยายามตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อที่วันนึงฉันจะยืนได้อย่างแข็งแรงและมั่นคง แต่เมื่อเรียนจบได้งานในบริษัทใหญ่มาจองตัว พ่อกลับขอให้เธอไปช่วยงานเขากับพี่ชายแทน
เธอไม่อยากทำ แต่ก็ขัดคำขอของพ่อ และแม่ไม่ได้ พ่อทำงานแบบคนยุคเก่าไม่ค่อยปรับตัวเพราะทัศนคติอันคับแคบ และความหยิ่งผยอง ส่วนพี่ชายวันๆก็จ้องแต่จะผูกสัมพันธ์กับสาวๆในที่ทำงาน จนมีเรื่องทะเลาะตบตีของสาวๆไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อหัวเรือใหญ่อย่างบิดาเห็นลูกทั้งสอง คนนึงไม่ได้ความอะไร อีกคนเก่งกาจมากกว่า เขาที่รักธุรกิจมาก จำต้องยอมยกอำนาจให้ลูกสาว แต่เขาก็ยังคงมอบหุ้นให้บุตรชายมากกว่าบุตรสาวอยู่ดี
ฉันทำงานอย่างหนักเพื่อหวังว่าสักวันจะได้รับคำชมจากบิดาสักครั้ง แต่ฉันก็ไม่เคยได้รับมันเลย จนกระทั่งเขาตายจากไป ปมที่อยู่ในใจไม่เคยเลือนหาย พี่ชายเมื่อพ่อตายก็เหมือนปลดพันธนาการ เขาทำแต่เรื่องชั่วช้า กินเหล้า เล่นการพนัน จนสุดท้ายก็ต้องทยอยขายหุ้นให้ฉันอย่างหมดทางเลือก
และเขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนนึง ซึ่งเธอเป็นเพียงโสเภณีไร้หัวนอนปลายเท้าคนนึง อาหลินไม่ได้รังเกียจอาชีพนี้ของหล่อน แต่การกระทำของหล่อนมันต่ำไพร่สิ้นดี กินเหล้า ทั้งยังคงรับงานไม่เลิก แถมยังเอานามสกุลเธอไปใช้ประจานเรื่องอุบาทว์ในครอบครัวอีก
ต่อมาหล่อนท้องเด็กขึ้นมา อาหลินไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับเมื่อผลดีเอ็นเอระบุว่าเด็กคนนี้เป็นหลานของเธอ และเธอจะทำอะไรได้ ในเมื่อเด็กคนนี้ต่อไปก็คงต้องเป็นทายาทของเธอ เธอทำงานหนักจนไม่มีเวลาใช้ชีวิตด้วยซ้ำ จะไปหาแฟนจากไหนกัน
อาหลินเริ่มเหนื่อยหน่ายกับครอบครัวพี่ชาย เธอจึงได้ปล่อย และไม่ให้ความช่วยเหลือพี่ชายอีก จนกระทั่งเธอมาทราบภายหลังว่าเจ้าหนี้ขู่ทำร้ายคุกคาม สองผัวเมียหนีหัวซุกหัวซุนจนรถคว่ำตาย แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นหลานชายเธอ ...พีทรอดอย่างปาฎิหารย์
อาหลินทำงานเช้าจรดเย็น บางวันก็ทำถึงค่ำ วันหยุดก็ต้องมาคอยคิดเรื่องแผนการทำงาน หรือบางทีเธอก็ทำได้เพียงทิ้งตัวนอนราวคนตาย และเธอเองก็เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะเลี้ยงเด็กวัยแปดขวบ
อาหลินตัดสินใจส่งหลานชายเข้าโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียง มอบเงินและของใช้ราคาแพงไม่ให้เขาน้อยหน้า เธอทำกับเขาเหมือนที่พ่อทำกับเธอ โดยหลงลืมสนใจความรู้สึกหลานชายไป กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว พีทเรียนไม่เก่ง ไม่ฉลาดเหมือนพ่อของเขา แต่ความร้ายกาจนี่พีทนั้นสุดยอดมากจริงๆ แค่มาช่วยงานบริษัทไม่ถึงปียักยอกไปเกือบล้าน
อาหลินไม่ได้ถือโทษโกรธหลานชาย เพียงเรียกเขามาตักเตือนเท่านั้น เธอยังต้องรักษาหน้า และเก็บหลานชายคนนี้เอาไว้ในอนาคต ถ้าหากพีทยังเป็นคนแบบนี้ เธอก็คงรอแค่เขาจะมีทายาทอีกทอดนึงเท่านั้น แต่พีทก็ยังคงมีนิสัยที่เลวร้ายเสมอต้นเสมอปลาย โชคดีที่เขาโง่และคิดไม่ทันฉัน
พีทจ้างคนพยายามฆ่าเธอก็หลายครั้ง อาหลินพยายามไม่ใส่ใจ เพราะพีทนั้นฉลาดน้อยมากจริงๆ เขาจ้างพวกฝีมือดี แต่ใครล่ะอยากจะยุ่งกับความสัมพันธ์ในครอบครัวนักธุรกิจ ยิ่งนายจ้างอายุน้อยดูไม่มีอำนาจแบบนี้ สู้นำข่าวนี้ไปขายให้กับคนที่เป็นเป้าหมาย รับเงินไปสบายๆอีกทอดนึง ไม่ต้องกลัวเป็นคดีดัง และหนีตำรวจหัวซุกหันซุนดีกว่า
อาหลินพยายามที่จะให้อภัยเด็กคนนี้หลายครั้งหลายครา แต่มันไม่ได้ผล เด็กคนนี้มีนิสัยเหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้อาหลินเป็นเพียงคนใกล้ตาย ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงตระกูลมันไม่สำคัญอีกแล้ว
เธอไม่เคยมีชีวิตที่ต้องการเลยในชีวิตนี้ ตอนเด็กไม่เคยได้ออกไปเล่นกับคนอื่น เพราะต้องคอยช่วยแม่บ้านเก็บกวาดล้างจานซักผ้า แม้แม่บ้านจะขอให้เธอไปเล่น แต่เธอก็ไม่กล้า เพราะกลัวบิดาจะดุด่าว่ากล่าว
พอเติบโตมาหน่อยเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมของโรงเรียน หรือเล่น สนิทสนมกับเพื่อน เพราะเธอเป็นเพียงยัยเด็กแว่นหัวยุ่งที่คงแก่เรียนเท่านั้น
ชีวิตการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างกัน เธอเรียนเก่งเป็นลูกรักของอาจารย์ ลงแข่งขันในหลายด้าน ต้องทำกิจกรรมเป็นหน้าเป็นตาให้มหาวิทยาลัย เธอจึงไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นตามแบบที่ควรจะเป็น แต่ละวันนอกจากรอรถเมล์ ฝ่ารถติดเป็นชั่วโมง กลับบ้านทานข้าวอาหารหนังสือแล้วนอนเท่านั้น
ช่วงเวลาแห่งการทำงานยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนยิ่งช่วงเวลาการบริหารของเธออยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอันแสนรวดเร็ว หากใครก้าวตามไม่ทันก็คงพลาดโอกาสที่ดีไป อาหลินทำงานอย่างหนัก ศึกษาตลาด สร้างแผนงาน การวิเคราะห์ ลงทุนในงานวิจัยมากมาย กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของกิจการจิลเวอรี่ เจ้าของร้านทองหลายสาขา และยังเป็นผู้ค้าส่งทองรายใหญ่ของประเทศ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
เวลานี้เป็นเวลาสามทุ่มที่อาหลินมานั่งอยู่ริมถนนใกล้กับถนนข้าวสาร ที่นี่มีคนสัญจรไปมามากมาย เธออยู่มาจนอายุจะเลขห้า แต่เธอกลับไม่เคยมาเดินเที่ยวเล่นที่นี่สักครั้ง น่าเสียดายชีวิตที่ผ่านมาของเธอเหลือเกิน
อาหลินมองกลุ่มเด็กนักศึกษาที่กำลังหาเศษเงินในกระเป๋าสตางค์เพื่อจะกินโกโก้ปั่น พวกเขาไม่ค่อยมีเงินแต่ก็ยัังคงหัวเราะสนุกสนาน อาหลินเองก็อยากกินเช่นกัน เธอเดินไปซื้อก่อนจะสั่ง
"เอาโกโก้แก้วนึงค่ะ แล้วก็... เด็กๆ อยากกินอะไรกัน เดี๋ยวป้าเลี้ยงเอง" เธอหันไปส่งยิ้มให่พวกเขา น้ำสิบยี่สิบแก้วจะนับเป็นอะไรไป เด็กๆกลุ่มนี้เงยหน้ามองอย่างเกรงใจ
"ไม่เป็นไรคะคุณน้า พวกหนูเอาแค่สองแก้วก็พอ"
"มากันเจ็ดคน สั่งเลยเถอะ ป้าอยากเลี้ยง"
"งั้นพวกหนูขออนุญาตินะคะ" เด็กพวกนี้กล่าวอย่างมีมารยาทก่อนจะเริ่มสั่งน้ำกันทุกคน พวกเธอได้รับน้ำก็หันมาขอบคุณ พร้อมไหว้
"ขอบคุณมากๆเลยค่ะคุณป้า"
"จ้า แล้วดึกแล้วพวกหนูมาทำอะไรกันล่ะลูก"
"พวกหนูมาสัมภาษณ์พวกเจ้าของธุรกิจที่นี่ค่ะ" เด็กๆตอบ อาหลินนั่งลงคุยกับพวกเขา เป็นธรรมดาของการเรียนมหาวิทยาลัยที่มักจะได้รับงานจากอาจารย์มา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว ในกลุ่มนี้เป็นแค่พวกเด็กผู้หญิง กับเด็กสาวเพศทางเลือก นี่ออกจากจะอันตรายเกินไปหรือป่าว ประเทศเราก็ไม่ได้เหมาะกับการใช้ชีวิตค่ำคืนเสียเท่าไหร่
"แล้วเป็นยังไงล่ะ ได้สัมภาษณ์ไหม"
"ไม่เลยค่ะคุณป้า ช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น งานของพวกนักธุรกิจจะค่อนข้างเยอะ พวกหนูก็อยากได้นักธุรกิจมีชื่อหน่อย จะได้คะแนนเยอะขึ้น" เด็กๆกินน้ำกัน พลางทำหน้าจืดเจื่อน อาหลินยิ้มเอ็นดู
"แล้วหนูรู้จัก HRC grand diamond ไหมจ้ะ"
"ร้านเพชร ร้านทองในห้างที่มีสาขาเยอะๆนั่นเหรอคะ" สาวน้อยเพศทางเลือกเอ่ยถาม ดวงตาเป็นประกาย
"นี่นามบัตรของคุณหลิน เจ้าของบริษัท พวกนี้พวกหนูก็ไปพบเขาตอนสิบโมงได้เลย นั่งรถไฟฟ้าไปได้จ้ะ นี่นามบัตรเลขาคุณหลิน หนูติดต่อไปก็ได้ลูก" อาหลินยื่นนามบัตรสองใบไปให้ เด็กๆทำท่าดีใจ
"หนูจะได้สัมภาษณ์คุณหลินเจ้าของบริษัทจริงๆใช่ไหมคะ"
"ใช่จ้ะ อย่าลืมเตรียมสคริปไปด้วยล่ะ"
"โอ๊ยยยยพวกหนูกราบขอบพระคุณคุณน้ามากๆเลยค่า" เด็กๆไหว้ขอบคุณกันใหญ่
"จ้า ดึกแล้วรีบกลับบ้านกลับช่องกันเถอะลูก ค่ำมืดมันอันตราย"
"พวกหนูมาจากต่างจังหวัดกันค่า นี่ก็เช่าโฮสเทลกันแถวนี้"
"งั้นรีบกลับไปนอนพักผ่อนนะ พรุ่งนี้ไปที่บริษัท ถ้าไปไม่ถูกก็โทรมา นี่เงินค่ารถ" อาหลินหยิบแบงค์พันให้เด็กๆ ก่อนเตรียมจะเดินจากไป
"ดะ เดี๋ยวก่อนค่า คุณน้าพวกหนูรับเงินไว้ไม่ได้หรอก"
"รับไว้เถอะเด็กๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน" อาหลินเดินจากมา ส่วนเด็กมหาวิทยาลัยกลุ่มนั้นมองเงินแบบงุนงง พวกเขามาจากต่างจังหวัด แค่ลำพังค่าหอ ค่ากิน ค่าชีท พวกเขาก็แทบไม่มี นี่ก็รวมกันกระเบียดกระเสียนมาทำรายงานถึงกรุงเทพ เงินกินก็ไม่ค่อยจะมี ไม่คิดว่าจะโชคดีเจอคนใจดีแบบนี้
วันถัดมาอาหลินเข้ามาทำงานปกติ เธอเกือบจะลืมเรื่องของพวกเด็กๆไปเสียสนิท แต่ยังดีท่ี่เธอนั้นได้รับสายจากเลขาว่าเด็กๆกำลังเดินทางมา
"คุณอาครับ ผมเอาแผนการตลาดไตรมาสสองมาให้ครับ" พีทกล่าวตอนนี้เขาเป็นผู้บริหารฝ่ายการตลาดของบริษัท
"วางไว้ก่อนเลยพีท เดี๋ยวอาอ่านทีหลัง แล้วนี่เข้ามาหาอามีเรื่องอะไรด่วนไหม" อาหลินถามพีทโดยไม่สบตา เธอไม่อยากมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่หวังดีของหลานชายสักนิด
"พอดีว่าการประชุมที่เซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ผมขอไปแทนได้ไหมครับ" อาหลินหันมองพีท เธอไม่ได้สงสัยอะไร เพราะตอนนี้พีทดูต้องการที่จะโดดเด่น อาหลินเองก็ไม่ได้คิดจะห้ามอะไร
"เอาสิ อย่าลืมศึกษาแผนงานดีๆล่ะ เอาพี่น้ำหวานเลขาอาไปด้วยนะ มีอะไรจะได้ปรึกษาน้ำหวานได้"
"ขอบคุณมากครับอา" พีทดูดีใจก่อนจะวิ่งไป อาหลินถอนหายใจ ไม่นานพวกเด็กๆก็เดินทางมาถึงที่นี่ อาหลินเตรียมน้ำขนมไว้มากพอสำหรับเด็กๆ พวกเขาถูกพาเข้าห้องทำงานของอาหลิน ข้างในห้องกว้างโอ่โถงเรียบง่าย ด้านหลังของโต๊ะเป็นรูปผ้าปักดิ้นทองลายเฟิ่งหวง หรือนกฟีนิกซ์ในแบบฉบับของจีน สมัยก่อนพ่อของอาหลินใช้รูปมังกร แต่อาหลินเป็นผู้หญิง แน่นอนแม้แต่สัตว์เทพยังโดนกดข่ม จะได้เป็นแค่หงส์เท่านั้น แต่อาหลินไม่ชอบหงส์ เธอไม่ได้งดงาม แต่เธอกลับชื่นชอบเฟิ่งหวง นกไฟที่ฆ่าไม่ตาย
"อ่าววววว คุณน้า" เด็กๅยังคงสุภาพเรียกเธอว่าคุณน้า ทั้งที่เธอน่าจะเป็นป้าสำหรับพวกเขาแล้วด้วยซ้ำ
"ว่าไง เตรียมสคริปต์กันมาดีแล้วใช่ไหม" อาหลินยิ้ม
"เตรียมมาดีแล้วค่ะ หนูไม่คิดเลยว่าคุณน้าจะเป็นเจ้าของที่นี่"
"ใช่จ้ะ แต่ที่นี่เป็นเพียงอาคารสำนักงาน เสียดายที่โรงงานอยู่อีกจังหวัด ถ้ามีโอกาสน้าจะพาไปดูโรงงาน" อาหลินกล่าว เด็กๆจัดเตรียมอุปกรณ์พร้อม ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์
"คุณหลินทำธุรกิจนี้มีกี่ปีแล้วค่ะ แล้วตั้งแต่เริ่มมา บริษัทได้พัฒนาไปอย่างไรบ้างคะ" อาหลินแปลกใจไม่น้อย เด็กๆไม่ได้ถามชื่ออายุเธอซึ่งจริงๆแล้วนั่นเป็นข้อดี พวกเขาเตรียมตัวมาพอสมควรแล้ว บทสัมภาษณ์นักธุรกิจมีเยอะแยะ แต่หลายคนก็ยังมักจะเลือกถามคำถามเดิมๆ ซึ่งมันน่ารำคาญ และเสียเวลามากจริงๆ
"ฉันเริ่มทำงานที่นี่ มันเป็นร้านขายเพชรพลอย และก็เป็นร้านพ่อค้าคนกลางที่รับพวกเพชรพลอยมาขายร้านอื่นอีกที"
"แสดงว่าที่นี่ต้องเป็นของครอบครัวของคุณหลินใช่ไหมคะ"
"ใช่จ้ะ ที่นี่เป็นกิจการของครอบครัว แต่จะว่ายังงั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะตอนที่คุณพ่อของฉันเริ่มต้นที่นี่ เรามีหุ้นส่วนร่วมลงทุนอีกคน"
"แล้วเพราะอะไรคะ ธุรกิจร้านเพชรพลอยของคุณหลินถึงผ่านมาได้ และใหญ่โตขนาดนี้"
"เพราะการปรับตัว มองอนาคต ศึกษาและลงทุนจ้ะ ในช่วงยุคเศรษฐกิจที่แย่ โชคดีที่บริษัทของฉันมีเงินทุนสำรองที่ค่อนข้างเยอะ ทำให้เราสามารถผ่านมันมาได้ อีกทั้งบริษัทเรามองกลไกความต้องการของลูกค้า และก็ปรับตัวตามเทคโนโลยีเป็นหลัก เลยทำให้บริษัทรอดมาจนถึงทุกวันนี้" อาหลินตอบกลางๆ เพราะข้อมูลเบื้องลึกไม่มีใครพูดกัน บทสัมภาษณ์พวกนี้ก็เป็นเพียงการสร้างแรงบันดาลใจ กว่าจะผ่านอะไรมาได้ ไม่ใช่แค่พูด หรือเขียนลงกระดาษแล้วคนอื่นจะทำตามได้
"แล้วคุณหลินใช้ชีวิตในการทำงานแต่ละวันยังไงคะ"
"ชีวิตของฉันซ้ำซากจำเจมากทีเดียว ตื่นเช้ามาทำงาน ทำงานและก็กลับบ้านนอน ฉันตัวคนเดียวไม่มีใคร ไม่ค่อยได้เที่ยว ส่วนใหญ่เวลาก็หมดไปกับการทำงาน"
"อย่างนี้ไม่เบื่อแย่เหรอคะ"
"ยังไม่ทันเบื่อหัวถึงหมอนก็หลับแล้วจ้ะ"
"โอเคค่ะ จากที่พวกหนูได้ศึกษามาตอนนี้คุณน้าเริ่มจับตลาดในกลุ่มของเด็กวัยรุ่น นักศึกษามากขึ้นนี่เพราะอะไรหรอคะ"
"บริษัทของเราต้องการความหลากหลายค่ะ สไตล์ของเครื่องประดับจริงๆไม่ได้จำกัดยุค และวัย หรือความสนใจ HRC grand diamond ของเราอยากเป็นเจ้าตลาด เราขายทั้งเพชร พลอย เครื่องประดับ หรือทองคำ มีใบรับรอง และก็มีทั้งราคาที่เด็กๆสามารถจับต้องได้" อาหลินกล่าว ตลาดวัยรุ่นของเด็กสมัยนี้ไม่ธรรมดา พวกเขากล้าจับจ่ายใช้ส้อยฟุ่มเฟือยมากกว่าคนในสมัยก่อนพอสมควร
"แล้วในตลาดต่างประเทศล่ะคะ"
"ในส่วนของต่างประเทศเรามีช็อบดิสเพลย์หน้าร้านเพียงประเทศหลักๆ แค่เพียงช็อปเดียว ที่เหลือก็เป็นการขายแบบส่งออนไลน์จ้ะ"
"แล้วตอนนี้นอกจากเพชร พลอย ทองคำ คุณหลินได้ลงทุนในกิจการด้านใดอีกไหมคะ"
"ก็มีการลงทุนในด้านอสังหาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ ฉันไม่ค่อยมีเวลานัก"
"งั้นคำถามสุดท้ายเลยนะคะ คุณหลินมองอนาคตต่อไปอย่างไรเหรอคะ"
"คำถามดีเลย ฉันตั้งใจที่จะวางมือจากการทำธุรกิจ แล้วส่งต่อให้เด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำแทนแล้ว"
"ขอโทษนะคะคุณหลิน ด้วยอายุเพียงเท่านี้คิดจะวางมือแล้วหรอคะ"
"ใช่จ้ะ มันถึงเวลาแล้ว"
"งั้นขอจบการสัมภาษณ์เลยนะคะ"
"จ้ะ"
"จบแล้วววว ขอบคุณคุณน้ามากเลยนะคะ พวกหนูได้คนโปรไฟล์เริ่ดๆแบบนี้ อาจารย์ต้องให้คะแนนพวกหนูเยอะแน่ๆ"
"ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ ว่าแต่พวกหนูกลับกันวันไหนล่ะ"
"พวกเรานั่งรถทัวร์กลับเย็นนี้เลยค่า"
"ก่อนกลับพวกเราอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ" อาหลินถาม เด็กๆพากันเลิ่กลั่ก ดูเหมือนจะอยากมีสิ่งที่อยากกิน แต่ก็เกรงใจ
"เมื่อรู้ว่าฉันรวยขนาดนี้ก็ไม่ต้องเกรงใจหรอก มื้อล่ะแสนฉันก็เลี้ยงได้" อาหลินหัวเราะ
"คือพวกหนูอยากกินปูดองเกาหลีค่ะ" เด็กๆเอ่ยมา อาหลินไม่เคยไปทานเลยไม่รู้จัก แต่สุดท้ายก็พากันขึ้นรถตู้ของอาหลิน พวกเขาไปทานอาหารร่วมกัน เด็กๆ พากันสั่งของที่อยากกินในปริมาณที่ไม่มาก เพราะเกรงใจ ราคาปูที่นี่ตัวละเกือบพัน พวกเขามีเจ็ดคน แต่กลับสั่งของสองตัว จนอาหลินต้องสั่งมาให้กินคนละตัว กับเนื้อย่างเกรดดี อาหาร้านนี้อร่อยมากจนอาหลินคิดว่าชีวิตนี้นอกจากจะพลาดโอกาสหลายอย่างไปแล้ว โอกาสแห่งการกินเธอยังพลาดอีกหรือเนี่ย