02

3031 Words
อาหลินที่ส่งเด็กๆขึ้นรถทัวร์ เธอเสียดายช่วงเวลาเหล่านั้นเหลือเกิน แต่ก็ย้อนอะไรกลับไม่ได้อีกแล้ว กริ๊ง กริ๊ง เสียงเรียกเข้ามือถือรุ่นใหม่ราคาแพงของอาหลินดัง เธอมองชื่อปลายสายอย่างไม่ค่อยอยากจะรับเท่าไหร่ "มีอะไรนายเชิด" "หลานชายคุณมันจ้างวานคนจะฆ่าคุณอีกแล้ว วันที่สิบห้าเดือนที่ห้า รอบนี้ผมขอห้าแสนนะ" "อืมเดี๋ยวโอนให้ หลานชายฉันมันจะทำอะไร" "ตัดสายเบรกรถคุณ ผมไม่แน่ใจว่าใครจะลงมือ แต่วิธีการก็ประมาณนี้แหละ" นายเชิดเป็นมือปืนที่มีเจ้านายเป็นคนมีสีคอยหนุนหลังมัน มันคอยรายงานการเคลื่อนไหวให้อาหลินฟังเสมอ อาหลินตัดสายก่อนเข้าสู่หน้าบัญชีเงินโอน เธอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ...พีทยังไม่เลิกอยากให้เธอตายอีกหรือ อาหลินมองรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่ประดับในโถงนั่งเล่น เป็นรูปเธอกับพีท เธอจะตายหรือไม่ ยังไงซะพีทก็คือทายาทของเธออยู่แล้ว ทำไมเขาใจร้ายกับเธอเหลือเกิน หรือเพราะเขาคิดว่าเธอฆ่าพ่อเขางั้นหรือ แต่อีกไม่นานเธอก็จะตายแล้ว หากเธอไม่ให้บทเรียนพีท ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางคิดได้แน่นอน อาหลินเฝ้ามองรายการทรัพย์สินที่เธอได้รวบรวมเอาไว้ด้วยตัวเอง อสังหาริมทรัพย์ของเธอทั้งหมด อาหลินทำการจ้างวานเอเจนซี่เข้าไปถ่ายคอนโด บ้าน ที่ดิน แล้วทำการขายลงบนอินเตอร์เน็ต อสังหาพวกนี้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นของเธอยกเว้นบ้าน แต่บ้านหลังนี้เธอไม่คิดขาย เธอตั้งใจจะยกให้พีท ส่วนหุ้นส่วนของบริษัทเธอตั้งใจยกให้คู่ค้าเก่าของบิดา อาหลินยอมรับว่านอนไม่หลับทั้งคืน ข้าวของเงินทองพวกนี้เธอสร้างมันมากับมือ รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย แต่เมื่อคิดว่าเท้านึงก้าวเข้าสู่ปรโลกไปแล้ว จะยังมีอะไรที่ควรอาวรณ์อีก คำว่าตายไปก็เอาไปไม่ได้นั้นเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น อาหลินเปิดอินเตอร์เน็ตทำการซื้อคอนโดย่านชานเมืองที่อยู่ในพื้นที่จอแจ คล้ายย่านชุมชมที่ไม่ค่อยดีนัก เธอใช้เงินซื้อมันในราคาสามแสนกว่า อาหลินได้ให้ช่างติดประตูเหล็กมุ้งลวดนิรภัย และบานประตูปกติ อาหลินใช้แบบมีรหัสดิจิตอล ภายในห้องอาหลินรีโนเวทเหมือนปล่อยเช่า พื้นทำด้วยยางไม้สีอ่อน แบบที่กำลังนิยม ส่วนเฟอร์นิเจอร์ใช้ของในห้างครบชุด เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมศัพท์ เมื่อเทียบแล้ว ห้องนี้ดูจะหรูหราน่าอยู่มากทีเดียว ทีมช่างที่อาหลินจ้างมา เธอล้วนกระทำด้วยตัวเองทั้งหมด โดยไม่ผ่านใคร เพราะไม่อยากให้ใครทราบ ช่วงนี้เธออยู่ในช่วงลาพักร้อน ครั้งแรกในรอบหนึ่งชีวิตที่เธอไม่ได้ลาพักร้อนจริงๆจังๆ เมื่อก่อนเธอจะลาเฉพาะป่วยเท่านั้น "คุณนายทำห้องให้เช่าเดือนเท่าไหร่ครับเนี่ย ทำซะสวยเลย" นายช่างถาม เพราะอาหลินมารับวันที่ตรวจงาน "ก็คงสักห้าพันนั่นแหละ ทำให้ดีให้น่าอยู่ จะได้ปล่อยง่ายหน่อย" "ได้เลยครับ" ความจริงอาหลินแค่ทำห้องไว้ให้คนอื่นดูเท่านั้นแหละ อีกวันเธอก็เอาตู้เซฟขนาดกลางเข้ามาเก็บ ตลอดเวลาที่ช่างทำห้อง อาหลินค่อยทะยอยเอาเงินเก็บในบัญชีธนาคาร เธอกดมันออกมาทีละสิบล้านในทุกๆบัญชี อาหลินจัดการเปลี่ยนเงินบางส่วนเป็นทองคำแท่งขนาดหนึ่งกิโล หลายชื้น เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย อาหลินตั้งใจเก็บทรัพย์สินไว้ในที่ลับ จนกว่าพีทจะรู้สึกตัว จนกว่าเขาจะหมดหนทาง เขาคงได้พบกับที่นี่ เพราะยังไงถ้าพีทไม่มีเงิน ควานหาทรัพย์สิน หรือนิติต้องการค่าส่วนกลางเขาจะติดต่อพีทไปเอง แต่ภายในห้าปีนี้พีทไม่มีทางรู้ที่นี่แน่นอน เพราะเธอทำการชำระล่วงหน้าไปถึงห้าปีแล้ว อาหลินนั่งเอาทองใส่เข้าไปในตู้เซฟจำนวนมากทีเดียว และตอนนี้เซฟของเธอก็มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทั้งนี้ภายในเซฟไม่ได้บรรจุแค่ทองคำจำนวนมาก มันบรรจุสกุลเงินตราต่างประเทศ เงินบาทไทย และยังมีนาฬิกาหรู เครื่องประดับที่อาหลินได้เก็บสะสมไว้ ตู้เซฟขนาดกลางถูกยัดข้าวของจนแน่นขนัด อาหลินกลัวว่าธนบัตรจะโดนปลวก หรือความชื้นรับประทาน เธอทำการห่อซีนด้วยห่อกันอากาศอย่างดี อาหลินที่โยกย้ายทรัพย์สินบางส่วนก็เหลือเวลาที่หลานชายคนเดียวจะลงมือฆ่าอีกไม่นาน เธอตั้งใจนัด ภาคภูมิ หลานชายคุณวินไตย เพื่อนของคุณพ่อเธอ เขาเป็นเจนเนอเรชั่นเดียวกับพีท แต่ท่าทางและความสามารถต่างจากพีทลิบลับทีเดียว เด็กหนุ่มอนาคตไกลวัยเพียงยี่สิบห้าปีเพิ่งจบจากอเมริกา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ท่าทางของเขาดูภูมิฐานมากทีเดียว "สวัสดีครับคุณอา" ภาคภูมิยกมือไหว้อาหลินด้วยความสุภาพ "ภาคโตขึ้นเยอะมากเลยนะ มีแฟนหรือยังน่ะเรา" "ยังครับคุณอา นี่กลับมาจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนเด็กน่ะครับ" ภาคภูมิยิ้มจนอาหลินอดสวสัยไม่ได้ "สัญญากับสาวที่ไหนล่ะเรา เจ้าชู้แต่เด็กจริง" "ก็ที่ผมบอกจะขอคุณอาแต่งงานไงครับ" ภาคภูมิกล่าว อาหลินนึกถึงตอนนั้นขึ้นมาทันที เด็กชายภาคภูมิในวัยหกขวบที่แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเกินวัย เขานั่งตักอาหลินที่คอยป้อนขนมเอาใจเขา เขากอดเอวพลางซบอกของเธอ และให้สัญญาว่าอาหลินจะเป็นเจ้าสาวของเขาในอนาคตจนเรียกเสียงหัวเราะจากเหล่าผู้ใหญ่ได้ทั้งโต๊ะ "โอ๊ยยยตายแล้วตาภาค ช่างจดช่างจำเสียจริง" "ผมจริงจังนะครับคุณอา" อาหลินหัวเราะใส่หลานชาย เขาช่างขี้เล่นเสียจริง เธอหยิบเอกสารการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของบริษัท ทนายประจำบริษัทจำนวนสองคนเป็นพยานให้การโอนครั้งนี้ "อาขายให้ภาคในราคาต่ำสุดนะ ถ้าขายต่ำกว่านี้กลัวว่าต่อไปจะมีปัญหา" อาหลินกล่าว ภาคภูมิรับเอกสารมาอ่าน แม้จะไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของอาหลินนัก แต่จุดประสงค์ของคุณปู่ของเขาคืออยากรักษาบริษัทนี้ไว้ "อาคิดยังไงถึงขายครับ เรื่องนี้ไอ้พีทมันรู้ไหม" ภาคภูมิกับพีทไม่ลงรอยกัน พวกเขามักต่อยตีกันตั้งแต่เด็กทั้งที่อาหลินอยากให้เขาสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่กลับชอบทะเลาะเบาะแว้ง ตีกันเป็นประจำ "พีทไม่รู้หรอก แต่อาคงไม่ปล่อยให้เขาลำบากมากนักหรอก" อาหลินกล่าวพลางทอดถอนหายใจ เมื่อเอกสารเสร็จสิ้นทางทนายก็ขอตัวกลับไปเหลือแค่ภาคภูมิ และอาหลินเท่านั้น "อาคงเหนื่อยกับคนเลวๆแบบมันมาก" ภาคภูมิกล่าว อาหลินก็ได้แต่พยักหน้ารับ พีทไม่ใช่คนดีจริงๆ แต่นั่นคือหลานชายแท้ๆของเธอเอง "อาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พีทจะคิดได้เสียที" "คุณอาเลยอาศัยจังหวะที่มันไปเซี่ยงไฮ้จัดการหรอครับ" "ภาคนี่นกรู้จริงๆ" "ธรรมดานี่ครับ จะเข้ามาบริหารแทนก็ต้องรู้เรื่องภายในบ้าง" ภาคกล่าวอย่างไม่ปิดบัง อาหลินก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งสองทานอาหารกันเงียบๆ "อิ่มแล้วอาจะไปไหนต่อไหมครับ" ภาคภูมิถาม อาหลินเองก็ไม่เคยไปไหน เธอนึกไม่ออกเหมือนกัน "ไม่รู้สิช่วงนี้อาลาพักร้อนไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน" อาหลินกล่าวเธอไม่เคยไปไหน อันที่จริงเธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ึคนเขานิยมทำอะไรกันด้วยซ้ำ "ไปเดินเล่นตลาดตอนเย็นกันไหมครับคุณอา" "เอาสิ" อาหลินกล่าวก่อนจะหยิบกระเป๋าใบหรูของเธอเดินตามหลานชายไป อาหลินให้คนรถกลับบ้าน ส่วนเธอก็นั่งรถไปพร้อมหลานชาย ระหว่างทางทั้งสองพูดคุยกันจิปาถะ จนกระทั่งใกลัถึงปลายทาง ที่นี่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี การจราจรติดขัด เด็กวัยรุ่นหลายคนเดินแต่งตัวดี เดินกันมาเป็นกลุ่มบ้าง คนเดียวบ้าง กับแฟนบ้าง แต่เธอนั้นดูจะแปลกและแตกต่างไปเสียหน่อย ด้วยอายุลักษณะท่าทางการแต่งกาย "ป่ะครับคุณอา" ภาคภูมิวนจนหาที่จอดได้ ทั้งอาหลานเดินเข้าไปในตลาดขนาดใหญ่ ภาคภูมิก็ซื้อของกินจิปาถะ มีแต่ของน่าสนใจ "ภาคชอบมาเดินตลาดแบบนี้หรอจ้ะ" "ครับ ก็มาอัพเดทกิจกรรมวัยรุ่นอะไรประมาณนี้ครับ บางอย่างผมก็เข้าไม่ถึงจริงๆ" ภาคภูมิเอ่ยปากพลางหัวเราะ อาหลินหันไปเห็นร้านกุ้งถังที่มีคนจำนวนมากยืนดูรายการอยู่ "ดูร้านนั้นสิภาค น่ากินเนอะ" อาหลินมองกุ้งในถุงสีแดงน่ากลัวที่ถูกเทลงบนโต๊ะกระดาษ "คุณอาอยากทานกุ้งถังหรอครับ" "อืม อาชอบกินกุ้ง" "งั้นไปกันครับ" ภาคภูมิถือวิสาสะจับจูงมือของอาหลินไปยังร้านอาหารตรงหน้า อาหลินไม่ได้ใส่ใจเพราะตอนเขายังเด็ก เธอก็จับจูงเขาเช่นนี้ตลอด อาหลินเดินเข้าร้านอาหารมานั่งลงกับภาคภูมิ เขาสั่งดัวยความคล่องแคล่ว อาหลินก้มหน้ามองเมนูอาหาร "เธอดูโต๊ะนั้นสิ" เสียงของใครสักคนดังขึ้นด้านหลัง "อ๋อโต๊ะคุณแม่กับลูกชายที่หล่อๆนั่นอ่ะนะ" "ใช่ที่ไหน หน้าไม่เหมือนกันเลย ฉันว่าป้าแกเลี้ยงเด็กแหง" อาหลินมองภาคภูมิ พลางนึกในใจนี่เธอดูเหมือนคนแก่บ้ากามนักหรอ "แกนี่มันปากพล่อย เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก" "โอ๊ยสมัยนี้ต้องสนใจเสียงนินทาด้วยหรอแก" "ทำไมพูดแบบนี้ ทำไมแกอิจฉาป้าเขาหรอ" "อิจฉาสิ มีเงิน แถมมีหนุ่มหล่อควงให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ ฉันที่อายุน้อย เงินไม่มี หน้าตาไม่สวย หมายังเมินเลย" อาหลินลอบหัวเราะในใจ เด็กสมัยนี้แปลกประหลาดคน จะด่าก็ไม่เต็มปาก จะนินทาก็คล้ายชื่นชมไปด้วย ปัง! อาหลินตกใจเล็กน้อย ภาคภูมิปัดกระป๋องน้ำแข็งจนตกพื้น แววตาของเขาดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองผ่านหลังเธอไป อาหลินได้ยิน แล้วทำไมเขาจะไม่ได้ยิน เพราะแบบนี้หรือป่าวนะ ที่คนมักจะฆ่ากันตายด้วยคำพูดไม่กี่คำ คนพูดก็ไม่ระวังปาก คนฟังก็ขี้โมโห อาหลินส่งยิ้มให้หลานชายแบบคนไม่คิดอะไร เธออายุเท่านี้ก็เป็นผู้ใหญ่มากแล้วไม่นึกจะมาถือสาหาความเด็กพวกนี้หรอก "ใจเย็นน่าภาค รออาหารดีกว่า" อาหลินไม่ได้อะไรอีก เธอนั่งรอกุ้งถังรสชาติของมันเผ็ดจืดๆ ไม่เคยอร่อย ไม่ถึงน้ำถึงเนื้อกุ้งเท่าไหร่ แต่พอแกะแล้วนำกุ้งถูกับซอสก็พอได้อยู่ แต่พอคิดถึงราคาต้องยอมรับว่าใช้ได้เหมือนกัน อาหลินเดินเล่นต่อกับภาคไม่นานก็กลับบ้าน ภาคมาส่งอาหลินที่บ้าน "อาครับ คราวหน้าเราไปเที่ยวกันอีกดีไหมครับ" ภาคภูมิจับมือของอาหลิว แล้วถามเธอ อาหลินรู้สึกแปลกประหลาดกับการกระทำนี้ของหลานชาย เธอไม่ตอบอะไร เพราะเวลาของเธอกำลังจะหมด "อาไม่อยากไปเที่ยวกับผมหรอ" ภาคภูมิถามย้ำ อาหลินไม่รู้จะตอบอย่างไรดี "ไม่หรอกภาค อาไม่อยากเป็นคุณนายสาวใหญ่ หอบหิ้วเด็กหนุ่มไปเที่ยวเท่าไหร่" อาหลินกล่าวอย่างติดตลก แต่เมื่อเงยหน้ามองภาคภูมิ เขากลับโน้มตัวมาจูบปากของเธอเสียอย่างนั้น ผลั่กกก "ทำอะไรน่ะภาค รู้ตัวไหม" อาหลินงุนงง ภาคภูมิไม่ได้ดื่มแอลกอฮอลและเขาคงไม่น่าเมากุ้งถัง ทำไมถึงทำแบบนี้กับเธอกัน "อายังโสดไม่ใช่หรอครับ" ภาคภูมิกล่าวออกมา ดวงตาของเขามีแต่ความเว้าวอนเธอ อาหลินไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหาร ถึงเธอจะไม่เคยมีแฟน มีสามี ไม่เคยเสียตัว แต่เธอก็รู้ว่าสายตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร "อาไม่ตลกนะภาค อาไม่ใช่เด็กแล้ว ทำอะไรเกรงใจอาด้วย" อาหลินกล่าว เธอตกใจอยู่ไม่น้อย ภาคภูมิเป็นเด็กรุ่นลูกเธอด้วยซ้ำ "ผมรักอาครับ รักมาตลอด อาให้โอกาสผมได้ไหม" ภาคภูมิกล่าว เรื่องราวในวัยเด็กไม่เคยจางหายไปจากใจเขา อาหลินเป็นสาวเก่งมากคนนึงที่แม้แต่พ่อ หรือคุณปู่ของเขายังเอ่ยปากชื่นชม ท่าทางมั่นใจ และแววตาร้ายกาจยามเปิดบทสนทนาทางธุรกิจยังคงตราตรึงฝังในใจของภาคภูมิมาโดยตลอด "ภาค อาอายุไม่น้อยแล้วนะ อย่าเหลวไหล" "ผมไม่ได้เหลวไหล อามองหน้าผมสิครับ อาเห็นถึงความจริงใจในแววตาของผมบ้างไหม" ภาคภูมิกล่าวออกมา อาหลินสะเทือนใจเหลือเกิน เด็กหนุ่มรุ่นลูกมาจีบ ทั้งยังมาจีบในตอนที่เธอใกล้จะตายเสียอีก "ภาคภูมิ อายังเป็นอาของภาคเหมือนเดิมนะ วันไหนภาคมีคนรักก็พามาไหว้อาได้" อาหลินกล่าวก่อนจะลงจากรถไปทันที เธอไม่ได้พิศวาสหลานชาย แต่สาวโสดยังซิงแบบเธอมันก็อดสะท้านอายไม่ได้ อีกวันนึงอาหลินได้นำเงินสดจากธนาคารที่ขายหุ้นได้แปรเป็นทองคำ คราวนี้อาหลินไม่ได้เก็บเป็นทองแท่ง เธอเก็บเป็นทองรูปพรรณ แหวนกลมเกลี้ยงจำนวนหลายร้อยวง ทั้งยังมีสร้อยคอหน้กหลายบาทอีกหลายเส้น ทั้งอาหลินยังลงทุนเพิ่มกับการแลกเงินตราต่างประเทศ แต่เงินจำนวนหลายร้อยล้านก็มากมายจนตู้ของเธอแทบรับไม่ไหว แต่สุดท้ายอาหลินก็หาทางยัดเข้าไปได้ ไหนจะกระเป๋าแบรนเนมที่ถูกเก็บใส่ถุงสูญญากาศอย่างดี อาหลินเหลือทรัพย์สินที่เป็นกระแสเงินสดไม่ถึงร้อยล้าน นอกนั้นก็มีแค่รถกับบ้านหลังใหญ่ ซึ่งข้อนี้แหละที่เธอห่วงพีท บ้านหลังใหญ่ใช้งบดูแลค่อนข้างสูง และพีทจะไหวไหม เขาจะทำงานได้ดีไหม แต่ในระดับผู้บริหารของเขาพีทได้เงินเดือนหลักแสน ค่าตำแหน่ง ค่าผลงาน จุกจิกก็เกือบสามแสนแล้ว ถ้าเขาฉลาดใช้ชีวิตหน่อย ก็คงไม่ลำบาก แต่ถ้าอับจนหนทาง เขาคงพบคอนโดที่ซ่อนสมบัติของเธอเอง อาหลินเขียนจดหมายหลายฉบับวางไว้ในลิ้นชัก เธอเข้าประชุมบอร์ดบริหารเพื่อชี้แจ้งการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้น แน่นอนว่าผู้ถือหุ้นหลายรายไม่พอใจนัก เพราะพวกเขาย่อมเชื่อมั่นในตัวอาหลินที่บริหารได้ดีมาหลายปี แต่ตระกูลของภาคภูมิ เขาคือผู้ถือหุ้นเก่าแก่คนนึึง และครอบครัวของเขาก็ประกอบกิจการมากมาย อาหลินได้รับข้อความมากมายจากพีท แต่เธอไม่ได้ตอบโต้กลับ อาหลินกลับมาถึงบ้านก็เจอรถยุโรปสีเทาคันนึง เธอยิ้มอย่างขมขื่นในใจก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปแล้วขับมันออกไปนอกเมือง ตลอดระยะทางอาหลินนึกถึงภาพในอดีตที่ย้อนผ่านมาแล้วผ่านไป เธอไม่ชอบที่พ่อทำตัวเป็นคนไร้หัวใจกับเธอ ไม่ชอบที่เขาเย็นชา ใจร้ายกับเธอ แต่ทุกอย่างที่พ่อทำ ...เธอก็ทำกับพีท ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ใช้เงิน ใช้คนที่ไม่รู้จักเลี้ยงดูพีท ทิ้งเขาไว้ที่โรงเรัยนประจำ ไม่เคยไปรับเขาในวันเสาร์อาทิตย์ ไม่เคยพาเขาไปเที่ยวเล่นอย่างที่เด็กคนนึงควรได้รับ เวลาที่พีทเรียนแย่เธอก็ไม่เคยปลอบโยน แม้เธอจะไม่ได้ตำหนิ แต่สีหน้าแววตาความผิดหวังมันปรากฎชัดเจนจนพีทเสียใจ เธอเคยคิดว่าเธอนั้นดีกับพีทในแบบที่ควรจะเป็น แต่ความจริงมันไม่ใช่เธอไม่เคยดีกับเขา ทั้งที่ทั้งสองควรจะรักก้น พีทเป็นหลานคนเดียวของเธอ หากเธอมองเขาเป็นลูกชายคนนึง เอาใจใส่เขามากกว่านี้ ไม่ปล่อยให้เวลาแห่งความเย็นชาล่วงเลยมาจนป่านนี้ เธออาจจะมีความสุขมากกว่านี้ ตอนที่เธอป่วยอาจจะเป็นพีทที่รักและดูแลเธอ อาหลินขับรถไปด้วยความเสียใจ เสียใจที่เธอไม่ชอบวิธีการของพ่อ แต่เธอกลับทำมันเสียเอง เสียใจที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายชีวิตพีท เสียใจที่เธอลืมใช้ชีวิตของตนเอง และเสียใจที่เธอนั้นรู้สึกตัวช้าเกินไป ...จนหมดเวลา "ข่าววันที่ 15 เดือนตุลาคม ปีพุทธศักราช25xx นักธุรกิจสาวใหญ่เจ้าของบริษัทจิวเวอรลี่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพลิกเข้าข้างทางเสียชีวิตคาที่ เบื้องต้นตำรวจได้ทำการสืบสวน และตรวจสอบรถพบสายเบรกที่ถูกตัด เป็นเหตุฆาตกรรมคาดว่ามูลเหตุจากทางธุรกิจ และยังต้องมีการสืบสวนต่อไป" นักข่าวรายงานข่าวการเสียชีวิตของนักข่าวรายหนี่งในรายการสถานีโทรทัศน์ อาหลินกลายเป็นวิญญาณโปร่งแสงนั่งโซฟาหรูภายในห้องของพีท เธอมองเขาที่กำลังหัวเสีย ไม่มีความเสียใจต่อการตายของเธอแม้เพียงสักเสี้ยวนึง อาหลินเสียใจไม่น้อย และตอนนี้เธอก็กลายเป็นวิญญาณอย่างสมบูรณ์ ที่ร่อนเร่ไปเรื่อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD