ฉันอยู่คอนโดคนเดียวมาสองอาทิตย์แล้ว เนื่องจากเฮียบอกมีงานสัมมนาอะไรก็ไม่รู้ พอถามว่าสัมมนาอะไรเขาก็บอกว่า ‘ฉันไม่ได้เรียนหมอจะรู้ไปทำไม’ ซึ่งมันก็รู้สึกเจ็บดีนะแต่มันก็เป็นความจริง เฮียบอกต้องไปสามอาทิตย์สัมมนาจัดทางภาคเหนือ ไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดอะไร ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อสิ่งที่เฮียบอกดีไหม
เฮียไปหลังจากวันที่ฉันเจอป๋าพงษ์ประมาณสามวัน เวลาฉันโทรไปหาเฮียก็จะบอกว่าไม่ค่อยว่าง ทำให้ฉันเกรงใจไม่กล้าที่จะโทรไป
มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในหัวฉันหรือเฮียเบื่อฉันแล้ว นี่ก็ใกล้ครบกำหนดสามเดือนตามสัญญาหรือว่าฉันจะต้องพาตัวเองออกจากชีวิตเฮียเมื่อครบกำหนดสัญญา ฉันมันก็เป็นแค่ของเล่นคนรวย
ทางด้านป๋าพงษ์ฉันไม่ได้เจออีกเลยตั้งแต่วันนั้น
วันนี้ฉันเครียดจึงพาตัวเองออกมานั่งที่ร้านเจ้เกลียวที่ตอนนี้กลายเป็นผับไปละ ฉันนั่งที่ชั้น2 ชั้นที่ค่อนข้างส่วนตัวฉันไม่ได้จะมาดื่ม แค่อยากคุยกับเจ้เกลียวเท่านั้น ระหว่างรอเจ้เกลียวมาหาฉันนั่งคิดว่าจะเอายังไงกับปัญหาที่มันเกิดขึ้น ไม่น่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นจริง ๆ
“ไงมึง หายไปนานเลยนึกว่าตกถังละ” เจ้เกลียวทักทายด้วยคำพูดที่สนิทสนม
“ยังไม่ตกหรอก”
“ผัวเสี่ยมึงไปไหนล่ะ” เจ้แกรู้ความเคลื่อนไหวของฉันจากปากฉันนี่แหละ
“เขาว่าไปสัมมนา แต่ความรู้สึกกูมันขัดยังไงไม่รู้” ฉันบอกเจ้เกลียวในสิ่งที่ฉันรู้สึก เซ้นฉันมันบอกว่าเขาเบื่อฉัน
“เฮ้อ...” เจ้เกลียวเดินมาลูบหัวในขณะที่ฉันขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกคิดไม่ตก
“อีโมเอ๊ย น้อยคนนักที่รับคนที่มีอาชีพนี้ได้ กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอปันใจให้กับคนที่มาซื้อบริการเพราะคนที่เจ็บมันคือมึง คนรวยเขาไม่เจ็บกับเราหรอก กูบอกกูสอนทำไมไม่ฟังบ้าง”
“กูคงอ่อนหัดไปมั้งเจ้” ใช่ฉันรู้สึกได้กับการเปลี่ยนไปของเฮีย คนอยู่ด้วยกันทำไมจะไม่รู้สึกว่าอีกคนแปลกไป เพียงแค่ที่ผ่านมาฉันพยายามจะหลอกตัวเองเท่านั้น
“มึงรู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะเผื่อใจไว้ได้แล้วนะ เขามันลูกมหาเศรษฐี มึงมันกระหรี่ขายตัวเข้าใจไหม” จุกกับคำที่เจ้เกลียวบอก แต่มันคือความจริงที่ฉันต้องยอมรับ น้ำตาที่แบกรับความอัดอั้น บัดนี้ได้ไหลออกมาเพื่อระบายความเสียใจ ฉันกอดเจ้เกลียวแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนคนบ้า
“กูไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้เลยเจ้ ฮือ กูไม่น่าไปรักเขาเลย” เจ็บจนอยากจะระบายกับใครสักคน ฉันมันคนไม่มีเพื่อนแท้ มีแต่เจ้เกลียวที่คอยช่วยเหลือคอยรับฟังฉัน เจ้เกลียวเป็นเหมือนพี่สาวและเพื่อนในเวลาเดียวกัน
“อีโมเอ๊ย เมื่อไหร่ชีวิตมึงจะมีความสุขสักที”
“ผู้หญิงอย่างกูมันไม่สมควรได้รับความสุขเหรอเจ้ เมื่อไหร่กูจะมีความสุขกับคนอื่นเขาบ้าง กูทำอะไรผิดนักวะทำไมแค่ความสุขถึงให้ไม่ได้” ยิ่งฟูมฟายยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของตัวเอง
“วันหนึ่งเดี๋ยวมันก็มีเข้ามา คนที่รับสิ่งที่มึงเป็นได้ ตอนนี้มันแค่ยังไม่ถึงเวลาของมึง” คำปลอบของเจ้เกลียวทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม อยากถามว่าแล้วต้องรอนานแค่ไหน แต่เจ้แกก็คงตอบไม่ได้
ฉันร้องไห้แล้วกอดเจ้เกลียวไว้อย่างนั้น กอดนานพอสมควรจึงหยุดฟูมฟาย แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นอยู่
“ขอบคุณนะเจ้ มึงดีกับกูจริง ๆ” เอ่ยความรู้สึกที่มีต่อเจ้เกลียว น้อยคนนักที่จะหาคนอย่างเจ้เกลียวได้ เจ้แกดีมากจริง ๆ
“เออ ๆ เดี๋ยวกูไปดูบัญชีร้านก่อน มึงจะไปด้วยไหม ไปร้องข้าง ๆ กูปะ”
“ไม่ละ จะไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าสักหน่อย หมดสวยแล้วเนี่ย”
“เออ เลิกร้องได้แล้ว หน้าเละไปหมด”
หลังจากนั้นฉันก็มาเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือเห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้วฉันจึงคิดว่าควรจะกลับคอนโดได้แล้ว ก่อนจะกลับต้องไปลาเจ้เกลียวสักหน่อย ระหว่างทางเดินในผับไปที่ห้องเจ้เกลียวฉันเดินสวนกับคนมากมาย ไม่ได้สนใจใคร จนกระทั่ง...
“ตัวเล็ก!” มีคนจับข้อมือฉันระหว่างที่ฉันกำลังเดินผ่านเขา มีคนเดียวเท่านั้นที่เรียกฉันแบบนี้
“ป๋า”