ภายในห้องโถงของบ้านสกุลเซี่ย ท่านหมออวี่กำลังบอกเล่าถึงอาการของเซี่ยซานซานให้ทุกคนได้รับรู้ เซี่ยซือซือให้น้องชายอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวในห้องนอน ตัวนางออกมายืนฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่ในห้องโถง อยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่นางคาดคิดไว้หรือไม่
“ค่าหมอสองตำลึง ส่วนเทียบยาใบนี้ข้าคิดแค่หนึ่งตำลึงเป็นพอ” ท่านหมออวี่บอกค่ารักษาให้ทุกคนได้รับรู้
“อันใดกันท่านหมออวี่ คนก็รักษาไม่ฟื้นท่านยังมีหน้าจะมาคิดค่าหมอกับข้าอีก”
แม่เฒ่าเซี่ยไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก ตวัดตาไปมองเซี่ยซือซืออย่างเอาเรื่อง “นังตัวดีใครใช้ให้เจ้าไปตามท่านหมออวี่มา เจ้ากี้เจ้าการนักนะ !”
“ท่านย่าข้าไม่ได้ให้คนไปตามท่านหมออวี่มานะเจ้าคะ เป็นชาวบ้านที่เขาสงสารพวกข้าเลยพากันไปตามมาต่างหาก”
เซี่ยซือซือเม้มปากทำท่าคล้ายอยากร้องไห้อีกรอบ “ตอนนี้อาซานถูกทำร้ายนอนแน่นิ่งไม่ฟื้นคืนสติ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้นางจะฟื้นขึ้นมาอีกไหม ฮืออ ท่านย่านางต้องได้กินยาที่ท่านหมออวี๋เขียนให้นะเจ้าคะ ข้าขอร้องท่านย่าท่านช่วยอาซานของข้าด้วยเถอะ”
นางโขกศีรษะลงบนพื้นแรง ๆ เพื่อขอร้องท่านย่าของตนเองจนหน้าผากปูดบวม การแสดงหนนี้นางทุ่มหมดตัวแล้วจริง ๆ
“พอได้แล้วอาซือ หากเจ้าเจ็บไปอีกคนใครจะดูแลน้อง ๆ ของเจ้ากันล่ะ” เซี่ยคุนทนมองต่อไปไม่ไหว รีบยกมือห้ามนาง
“ท่านปู่ใหญ่ท่านช่วยอาซานด้วยนะเจ้าคะ” นางหันมาอ้อนวอนผู้นำตระกูลเซี่ย แล้วหันไปทางผู้ใหญ่บ้านต่อ “ท่านลุงผู้ใหญ่บ้านท่านช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ”
อวี่กังถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากไม่มีคนมาฟ้องร้องเขา ในฐานะผู้ใหญ่บ้านอย่างเขา ยังไม่อาจยื่นมือเข้าไปจัดการได้
“จิ่วเม่ยเจ้าจะใจจืดใจดำกับลูกหลานตัวเองไม่ได้ นี่เป็นสายเลือดของคนสกุลเซี่ย เจ้าต้องจ่ายเงินค่ารักษาให้ท่านหมออวี่ และจ่ายค่าเทียบยาใบนั้นด้วย” เซี่ยคุนใช้อำนาจผู้นำตระกูลบีบบังคับแม่เฒ่าเซี่ย
“พี่ใหญ่ท่านพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้เป็นคนไปตามหมอมารักษา อีกทั้งข้าก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาด้วย เรื่องนี้ข้าได้บอกท่านหมออวี่ไปตั้งแต่แรกแล้ว เป็นท่านหมออวี่ไม่ยอมฟังคำข้า เข้าไปรักษาอาซานด้วยตัวเอง”
“เพราะข้าเห็นแก่ชีวิตน้อย ๆ ของหลานสาวเจ้าถึงได้เข้าไปรักษาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าพอรักษาเสร็จ เจ้าจะใจดำไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ผู้ใหญ่บ้านท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยนะขอรับ”
ท่านหมออวี่หันไปขอความช่วยเหลือจากอวี่กัง
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่มีเงินจ่าย ! ต่อให้เอามีดมาจ่อคอข้า ข้าก็ไม่มี !”
“จิ่วเม่ย !” เซี่ยคุณตะคอกนางดังลั่น
“ท่านลุงผู้ใหญ่บ้านท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือ พวกท่านพอจะฟังคำข้าได้หรือไม่”
สบโอกาสเหมาะในตอนนี้ เซี่ยซือซือจึงเอ่ยสิ่งที่ปรารถนาออกมา
“เจ้ามีเรื่องอันใดหรืออาซือ” เซี่ยคุนหันมาฟังนางพูด
“เจ้าเอ่ยมันออกมาได้เลยอาซือ ข้ากับผู้นำตระกูลยินดีช่วยเหลือเจ้า” อวี่กังพยักหน้าให้นางพูดได้
“ท่านลุงผู้ใหญ่บ้านท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ พวกท่านก็เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของข้ากับน้อง ๆ หลังจากท่านพ่อท่านแม่ตายเป็นอย่างไร ข้าไม่อาจปิดบังสิ่งใดได้อีก พวกท่านต่างก็รู้ว่าท่านย่าขายข้าให้ท่านป้าถานไปแล้ว”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้เซี่ยคุนกับอวี่กัง หันไปมองหน้าแม่เฒ่าเซี่ยอย่างไม่สบอารมณ์ มีอย่างที่ไหนครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนอันใด แต่กลับขายลูกหลานกินเสียอย่างนั้น
“เรื่องนั้นข้าพอรู้” อวี่กังพยักหน้ารอฟังคำของนางต่อ
“หลังท่านป้าถานมารับตัวข้าไปแล้ว พวกท่านว่าน้องสาวกับน้องชายของข้าจะอยู่อย่างไร คนหนึ่งกลายเป็นคนป่วยติดเตียง ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะฟื้นตอนไหน อีกคนนั้นยังเป็นเด็กเล็กทำมาหากินเองยังไม่ได้”
เซี่ยซือซือเอ่ยได้ตรงเป้าหมาย สะใภ้ทั้งสองกับแม่สามีของพวกนาง ถึงกับหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ หากเซี่ยซือซือย้ายออกจากบ้านสามไปแล้ว คนป่วยติดเตียงกับเด็กเล็กคนหนึ่งจะไร้ผู้ดูแล นางหลินกับนางจงไม่มีทางรับเด็กสองคนนี้มาดูแลเด็ดขาด ภาระทั้งหมดคงตกอยู่ที่แม่เฒ่าเซี่ยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านแม่เรื่องนี้ท่านต้องตัดสินใจให้ดี ๆ นะเจ้าคะ” นางหลินร้อนรนขึ้นมาในทันที
แม่เฒ่าเซี่ยเริ่มตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังจะตามมา เหลือบตาไปทางท่านหมออวี่
“ท่านหมออวี่ อาการของอาซานนั้น ท่านรักษาไม่ได้จริง ๆ หรือ”
ท่านหมออวี่ส่ายหน้าเบา ๆ “ยามนี้ข้าหมดหนทางแล้ว นางอาจจะฟื้นขึ้นมาในสองสามวันนี้ หรืออาจจะเป็นสองสามปีก็เป็นได้ หากเลวร้ายที่สุดก็อาจไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากทุกทิศทาง นี่ไม่ต่างจากการนอนติดเตียงไปตลอดชีวิตหรืออย่างไรกัน
“ท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรได้อีก” เซี่ยซือซือเม้มปากแน่น ๆ ยกนิ้วขึ้นซับน้ำตาออกเบา ๆ ก่อนจะหันไปทางแม่เฒ่าเซี่ย เอ่ยถามเสียงดัง ๆ ออกไป
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านไม่ยอมจ่ายเงินค่าหมอให้อาซานจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“คำไหนคำนั้น ข้าไม่มีจ่าย” แม่เฒ่าเซี่ยมั่นใจว่าไม่มีใครมาบีบบังคับนางได้
“หากท่านย่าไม่ยอมจ่ายค่าหมอให้อาซาน เช่นนั้นข้าจะเป็นคนจ่ายเองก็ได้เจ้าค่ะ”
“น้ำหน้าอย่างเจ้านี่นะ เพ้ย ๆ” แม่เฒ่าเซี่ยหนังตากระตุก นังเด็กนี่จะเอาความสามารถที่ใดมาจ่ายค่าหมอ ช่างไม่เจียมตัวจริง ๆ
เซี่ยซือซือไม่สนใจสายตาจ้องอาฆาตของท่านย่าของตน นางหันไปทางท่านหมออวี่แทน
“ท่านหมออวี่ข้าขอค้างค่ารักษาของอาซานไว้ก่อนได้หรือไม่ ภายภาคหน้าข้าเซี่ยซือซือสัญญาว่าจะนำเงินมาจ่ายให้ท่านอย่างแน่นอน”
“เรื่องนั้นย่อมได้ แต่ต้องเขียนใบค้างชำระเป็นหลักฐานด้วย” ท่านหมออวี่ไม่อยากให้เรื่องนี้ง่ายจนเกินไป ไม่เช่นนั้นคนในหมู่บ้านคงมาค้างค่ารักษากับเขา ด้วยปากเปล่าเหมือนกันหมด
“ทำเช่นนั้นเถิดเจ้าค่ะ”
“แล้วเรื่องของอาซานล่ะเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ” ท่านหมออวี่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วง
“ท่านปู่ใหญ่ข้าอยากขอแยกบ้านสามออกมาเจ้าคะ”
“เหลวไหล ! ข้ายังไม่ตายเจ้าจะแยกบ้านออกไปทำอันใด !” แม่เฒ่าเซี่ยตวาดเสียงดังลั่น
“ท่านย่าขายข้าให้ท่านป้าถานไปแล้ว อีกหน่อยก็คงขายน้องเล็กของข้าทิ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูแลอาซานที่ป่วยไม่ได้สติ ท่านจะเก็บบ้านสามไว้ทำสิ่งใดเจ้าคะ หากไม่ใช่ต้องการขายน้องชายของข้า !”
“เจ้าเด็กเนรคุณนี่ ข้าขายพวกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า”
“จิ่วเม่ยเจ้าหยุดเสียที ! เจ้ายังเห็นหัวข้าเซี่ยคุนคนนี้อยู่หรือไม่ เอะอะก็จะขายลูกหลานกิน วันนี้ข้าขอประกาศต่อหน้าทุกคนไว้ หากข้ายังไม่ตายข้าไม่มีวันให้เจ้าขายคนบ้านสามเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้านี่แหละจะขับเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยไปเอง”
“พี่ใหญ่ท่านทำเช่นนั้นกับข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ขายลูกหลานกินบ้านไหนก็ทำกันทั้งนั้น”
“คนที่เขาขายลูกขายหลานกิน ย่อมมีเหตุมาจากอดอยากใกล้ตาย ส่วนเจ้าจิ่วเม่ยเจ้ายังอยู่ดีกินดี ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะใกล้ตายตรงไหนกัน”
“ท่านแม่เจ้าคะ หากอาซืออยากแยกบ้านก็ให้นางแยกไปเถอะเจ้าค่ะ ถึงแยกไปแล้วนางจะไปทำอันใดได้ นางต้องไปเป็นเมียคนพิการอยู่ดี” นางจงสะกิดเตือนแม่สามี
“นั่นสิอาซือ หากเจ้าแยกบ้านไปแล้ว เจ้าจะดูแลน้อง ๆ ได้อย่างไร” เซี่ยคุนเห็นด้วยกับปัญหาเรื่องนี้ จึงหยุดการวิวาทกับแม่เฒ่าเซี่ยไว้ก่อน
“ท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ เหตุที่ข้าแยกบ้านคือข้าไม่ต้องการให้ท่านย่าขายน้อง ๆ ของข้าเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องดูแลนั้นข้าย่อมดูแลพวกเขาได้ แม้ว่าข้าจะถูกท่านป้าถานซื้อไปแล้ว ก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนี่เจ้าคะ ข้าสามารถกลับมาดูแลพวกเขาได้เหมือนเดิม ข้าเชื่อว่าท่านป้าถานไม่ใช่คนจิตใจคับแคบเจ้าค่ะ”
อนาคตนั้นไม่รู้เซี่ยซือซือต้องเอ่ยให้ดูสวยงามไว้ก่อน
เซี่ยคุนพอรู้จักคนบ้านถานอยู่บ้าง พวกเขาเป็นบ้านมีบัณฑิตเปี่ยมความรู้ เรื่องคุณธรรมจึงไว้วางใจได้
“จิ่วเม่ยเจ้าล่ะยินยอมหรือไม่เรื่องแยกบ้าน”
ผู้นำตระกูลได้ยินเหตุผลของเซี่ยซือซือก็เข้าใจในทันที แม้ตนจะรับปากห้ามขายลูกหลาน แต่คนอย่างเซี่ยจิ่วเม่ยนั้นไร้สัจจะโดยสิ้นเชิง
“ท่านแม่ท่านอยากดูแลคนป่วยติดเตียงหรือเจ้าคะ” นางหลินเห็นแม่สามีลังเล จึงรีบเอ่ยปัญหาใหญ่ของบ้านสามออกมา
“นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ ไม่มีใครอยากดูแลนังเด็กง่อยนั่นหรอก ข้าคนหนึ่งแหละที่ไม่ยอม” นางจงทำท่าขยะแขยงในทันที
“หากท่านย่าเต็มใจดูแลอาซาน ยอมจ่ายค่าหมอค่ายา ข้าจะถือว่าเรื่องแยกบ้านนั้น ข้าไม่เคยเอ่ยถึงมันก็แล้วกันเจ้าค่ะ” มีหรือเซี่ยซือซือจะปล่อยให้หญิงชราได้คิดนาน
“เหลวไหล ! ในเมื่อนางอยากแยกบ้านนัก พี่ใหญ่ท่านก็ทำตามที่นางต้องการเถอะ”
เรื่องอันใดนางต้องไปดูแลเด็กป่วยนอนติดเตียง มีแต่จะเลี้ยงเสียข้าวสุก เซี่ยซือหยางยังเด็กเล็กนัก ใช้แรงงานยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ขายทิ้งตอนนี้ยิ่งทำไม่ได้ เซี่ยคุนไม่มีทางยินยอมแน่นอน เลี้ยงดูต่อก็มีแต่จะสิ้นเปลืองเสียเปล่า
“ตกลงเจ้ายินยอมให้แยกบ้านสามออกไปแล้วใช่ไหมจิ่วเม่ย” เซี่ยคุนถามย้ำอีกหน
“เป็นเช่นนั้น”
“ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ด้วย ข้าต้องขอให้ท่านเป็นพยานในการแยกบ้านสามครั้งนี้ด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับรู้ เรื่องนี้มีบทสรุปกันเสียที ยังมีชาวบ้านด้านนอกรอฟังความคืบหน้าอยู่อีกหลายคน
แววตาของเซี่ยซือซือประกายวาวขึ้นอย่างดีใจ ขอเพียงมีหนังสือรับรองการแยกบ้าน ท่านย่าของนางไม่มีสิทธิ์มาขายน้อง ๆ ของนางได้อีก ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาทำงานหนักเพื่อรับใช้คนในบ้าน นี่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องแรก นับจากที่นางทะลุมิติมา