ตอนที่ 7 ปากอย่างใจอย่าง

1987 Words
ตอนที่ 7 ปากอย่างใจอย่าง เสียงกรีดร้องของคุณหนูเหลียว ทำให้สตรีสูงวัยต่างก็พากันกึ่งวิ่ง กึ่งเดินมายังจุดเกิดเหตุ แล้วพบว่าคุณชายน้อยนั้นกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้จนตัวโยน โดยมีถังเหมยหลินคอยปลอบโยนอยู่ไม่ห่าง “หลานย่าเป็นอันใดกัน บอกย่ามาสิ” โม่ซื่อไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นางไม่เคยเห็นหลานชายร้องไห้สะอึกสะอื้นเยี่ยงนี้มาก่อน ได้ยินเสียงร้องไห้ราวกับจะขาดใจลงเสียให้ได้ ใจของหญิงชรารู้สึกวูบหวิวเสียเหลือเกิน “ท่านย่า ฮือ ๆ ๆ” เสี่ยวเปายังคงร้องไห้ แต่ไร้ซึ่งน้ำตา เขาแค่กลั่นแกล้งคิดสั่งสอนสตรีนางนี้ที่อาจหาญว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า อีกทั้งยังเสนอหน้าเรียกท่านป้าสะใภ้ว่าพี่สาว เขาจึงคิดสั่งสอนนางให้รู้เสียบ้าง อย่าได้ริอ่านเสนอตัวยัดเยียดตนเองมาเป็นท่านป้าสะใภ้เขาอีกคน “เสี่ยวเปาหยุดร้องไห้เถิด ทุกคนตกใจกันหมดแล้ว” แม้แต่นางเองก็ไม่ทันแผนของหลานชาย เมื่อครู่นี้ยังไม่ได้ร้องไห้มีน้ำตา แต่เหตุใดจึงนั่งลงแล้วกอดเข่าซุกหน้าลงร้องไห้โฮเยี่ยงนี้ ปลอบใจอยู่ตั้งนานจนคอแห้ง เจ้าหลานตัวดีก็ยังไม่หยุดร้องอีก ส่วนเหลียวอิ่นเหอที่กรีดร้องเมื่อครู่ ก็เพราะทนคำพูดเหยียดหยามของถังเหมยหลินไม่ได้ ไม่คิดว่าท่านแม่กับสหายของท่านแม่จะพากันมายืนจ้องนางอยู่เยี่ยงนี้ อีกทั้งยังถูกสายตากรุ่นโกรธของโม่ซื่อที่มองมาอีกด้วย นางร้อนตัวร้อนใจจึงรีบเอ่ยขึ้น “ท่านป้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเสี่ยวเปานะเจ้าคะ” “แล้วหลานข้าถูกใครรังแกกัน หรือจะเป็นนางอย่างนั้นรึ” โม่ซื่อถามเสียงห้วน ๆ จ้องมองสตรีนางนี้อย่างไม่พอใจนัก “ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ว่าคุณหนูเหลียวจะมีจิตใจหยาบช้าเยี่ยงนี้ กล่าวอ้างว่าจะเข้ามาเป็นฮูหยินรองของท่านลุง ท่านป้าสะใภ้พูดกับนางดี ๆ นางก็ยังขึ้นเสียงใส่ไม่หยุดอีก ทั้งยังต่อว่าหลานเป็นลูกกำพร้า ไร้บิดามารดาอบรมสั่งสอน” เสี่ยวเปาได้ทีจึงเล่นใหญ่เอาไว้ก่อน พร้อมกับกระตุกแขนเสื้อของท่านป้าสะใภ้ให้ความร่วมมือกับเขาอีกด้วย ถังเหมยหลินกลอกตาไปมา เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ช่างแสบเสียเหลือเกิน ร้ายกาจยิ่งนักไม่รู้ว่าเหมือนผู้ใดกันแน่ ระหว่างท่านราชครูกับท่านหัวหน้าองครักษ์ บุรุษจวนนี้ร้ายกาจทุกคนใช่หรือไม่ “ท่านป้า หลานเสียใจมากขอรับ ช่วยอุ้มข้าหน่อยได้หรือไม่ ขาของข้าหมดแรงแล้ว” ถ้อยคำนี้ยิ่งทำให้ท่านย่าจ้องมองไปยังคุณหนูเหลียวที่ส่ายหน้าพร้อมกับยกมือปัดไปมาไม่หยุดหย่อน ขณะที่ถังเหมยหลินกำลังจะช้อนร่างของเจ้าตัวเล็กขึ้นแนบอก ก็ถูกชายผู้หนึ่งแทรกเข้ามาแล้วอุ้มขึ้นแทนนาง หญิงสาวงงงวยยิ่งนัก เขาเดินมาจากตรงไหนกัน หรือว่าเขาทะยานกายเข้ามาด้วยวิชาตัวเบาอย่างนั้นหรือ นางไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาด้วยซ้ำ ก็นั่นแหละเพราะวรยุทธ์ของนางรวดเร็วแค่ใช้ปลายเท้า อย่างอื่นก็แค่พอเอาไว้ปกป้องตนเอง มิได้เก่งกาจมากมายดั่งคำที่นางโอ้อวดเขาไปก่อนหน้านั้น “ท่านลุงขอรับ นางทำร้ายจิตใจข้า” เสี่ยวเปาได้ทีรีบฟ้องโจวหย่งเล่อเข้าให้ “นางบอกว่าข้าเป็นเด็กกำพร้า บอกว่าไม่มีใครสั่งใครสอน” ชาตินี้เหลียวอิ่นเหอจะไม่มีชายใดกล้าสู่ขอก็เพราะเขานี่แหละ เขาจะทำให้นางอับอายผู้คนจนต้องแทรกแผ่นดินหนี “เหตุใดคุณหนูเหลียวจึงพูดจาเยี่ยงนี้ มิรู้หรือว่าสิ่งใดสมควรไม่สมควรพูด อ้อ...อีกอย่างรบกวนฮูหยินเหลียวช่วยจัดการอบรมบุตรสาวของท่านด้วย อย่าได้พูดจาพล่อยๆ เยี่ยงนี้ที่ไหนอีก เกรงว่าจะอับอายถึงท่านอาจารย์ที่มีบุตรสาวมิได้ความเยี่ยงนี้” ถ้อยคำต่อว่าทั้งยังตำหนิอย่างรุนแรงออกจากปากของท่านราชครู ที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามา แล้วอุ้มหลานชายขึ้นพาดไหล่กว้าง เจ้าตัวดีไร้น้ำตาถูกอุ้มขึ้นรีบร้อนซุกใบหน้าลงแผงอกของท่านลุงอย่างออดอ้อนออเซาะทันใด ผู้ถูกต่อว่าหน้าแดงหน้าดำทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว เหลือบมองบุตรสาวก็ไร้ถ้อยคำจะตำหนินาง ดังนั้นจึงระบายยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่จริงใจนัก “ขออภัยโม่ฮูหยินด้วยนะเจ้าคะ เป็นข้าอบรมบุตรสาวไม่ดีเอง” “พานางกลับไปเสียเถิด” โม่ซื่อเองก็ไร้ถ้อยคำจะต่อว่า นั่นเพราะมิใช่กงการอันใดของนาง แต่ภายในใจล้วนอยากก่นด่าเสียให้อับอาย ยังนับว่าโชคดีนักที่บุตรชายเอ่ยปากสอนสั่งแทนนาง หาไม่แล้วภายในอกคงจะร้อนเป็นไฟเป็นแน่ “ท่านแม่ ขะ...ข้า” หญิงสาวพยายามแก้ต่างให้ตนเอง แต่ดูเหมือนไม่มีใครให้ความเป็นธรรมแก่นางเลย รู้สึกแค้นใจยิ่งนัก ที่ถูกเจ้าเด็กน้อยเล่นงานให้เยี่ยงนี้ ทุกคนต่างก็มองนางด้วยสายตาถากถาง บ้างก็กระซิบกระซาบนินทาระยะเผาขน นางรู้สึกอับอายยิ่ง จึงเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับข่มความกรุ่นโกรธเอาไว้ ช้อนสายตามองไปยังชายหนุ่มที่หลงรัก ด้วยความอาวรณ์ เห็นเขาเดินเคียงข้าถังเหมยหลินก็ยิ่งเจ็บใจเข้าไปอีก “หุบปาก กลับไปคุยที่บ้าน” มารดาของเหลียวอิ่นเหอตะคอกบุตรสาว เพราะเสียหน้ายังไม่พอใจ ยังเสียรู้ให้กับจวนตระกูลโจวอีก แล้วครานี้บุตรสาวของนางจะมีชายใดส่งแม่สื่อมาทาบทามกัน ชื่อเสียงป่นปี้ย่อยยับก็เพราะคำพูดอันสิ้นคิดเพียงแค่ไม่กี่คำ ก็ถูกตราหน้าว่าเสนอตัวอยากเข้ามาจวนนี้จนตัวสั่น “ช้าก่อน ฮูหยินโปรดฟังข้าเสียหน่อย” ถังเหมยหลินนึกได้รีบวิ่งกลับมา ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างกายแม่สามี ทว่าโม่อวี้หรานกับกุมมือนุ่มนิ่มของลูกสะใภ้เอาไว้ เช่นนี้แล้วหัวใจของหญิงสาวจึงฟูฟ่องยิ่งนัก “ถังฮูหยินมีอันใดอีกรึ มิใช่จะต่อว่าทำให้ลูกสาวข้าอับอายอีกกระมัง เช่นนี้ไม่เหมาะสมนัก” ด้วยความเดือดดาล ยากจะควบคุมไม่ให้โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร จึงเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงแดกดันถังเหมยหลิน “ผู้น้อยมิได้ตำหนิคุณหนูเหลียว เพียงอยากบอกว่าจวนนี้มิต้อนรับนางเข้ามาเป็นฮูหยินรอง กระทั่ง...คุณหนูหวังยังต้องแต่งเข้ามาเป็นได้แค่อนุต่ำต้อย หากคุณหนูเหลียวยินดีรับตำแหน่งอนุอีกคน ข้าก็ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ” ในเมื่อนางประกาศเยี่ยงนี้แล้ว เรื่องนี้ก็คงลอยเข้าหูหวังเพ่ยอิงในไม่ช้า อยากรู้นักจะมีสิทธิ์อันใดเรียกร้องตำแหน่งฮูหยินรองกัน ในเมื่อนางประกาศแล้วแม่สามีก็ยินดีสนับสนุน หวังเพ่ยอิงเอ๋ย เจ้าเจองานยากเข้าให้แล้ว “ลูกสาวของข้าไม่ยอมตกเป็นอนุของใคร โดยเฉพาะอนุของท่านราชครู” นางเอ่ยเสียงห้วน พร้อมกับกระชากแขนบุตรสาว กึ่งลากกึ่งจูงก็ว่าได้ รีบเร่งฝีเท้าออกไปจากจวนนี้โดยเร็ว ทางด้านสหายของโม่อวี้หรานยังคงยืนมองใบหน้าสะสวยของฮูหยินน้อย สตรีสูงวัยนางหนึ่งจึงเอ่ยปากชื่นชมว่า “คาดไม่ถึงว่าจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส สตรีใดอยากเข้าจวนนี้คงยากแล้วละนะ” กล่าวจบนางก็อดหัวเราะไม่ได้ “นั่นนะสิ โม่ฮูหยินท่านนี่ช่างตาแหลมนัก เลือกฮูหยินน้อยไม่ผิดเสียจริง เก่งกาจทั้งยังปากคอเราะรายอีกด้วย ช่างน่านับถือ” สตรีสูงวัยก็ชื่นชมด้วยอีกคน กล่าวเสริมสหายที่มาด้วยกัน อันที่จริงที่นางมาวันนี้ก็เพื่อดูลาดเลาว่าอยากให้บุตรสาวเข้ามาจวนนี้เช่นเดียวกัน ผู้ใดเล่ามิอยากดองกับเชื้อพระวงศ์ ในเมื่อโม่อวี้หรานเป็นถึงพี่สาวของโม่ฮองเฮา ดังนั้นจวนโจวนี้ย่อมมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ดีไม่ดีอาจช่วยเกื้อหนุนวงศ์ตระกูลให้มีชื่อเสียงจนโด่งดังได้อีกด้วย จึงไม่แปลกใจนักที่คุณหนูเหลียวติดตามมารดาก็เพราะอยากพบหน้าของท่านราชครูนี่เอง “ท่านป้าทั้งหลาย กล่าวชื่นชมผู้น้อยมากไปแล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยเพียงแค่กำลังปกป้องตนเอง มิให้ผู้อื่นเหยียบย่ำศักดิ์จวนถังเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวนะเจ้าคะ” ถ้อยคำแสนไพเราะได้ออกจากปากของฮูหยินน้อย ใบหน้าสะสวยประดับด้วยรอยยิ้มยามที่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา มิมีคำใดต่อว่าหรือกระแนะกระแหนเหล่าหญิงชรา “หลินเอ๋อร์ไปพักเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” แม่สามีตบหลังมือลูกสะใภ้ วันนี้ภูมิใจนัก ได้ตอกหน้าตระกูลเหลียวนับว่าได้ผลดียิ่งนัก โดยไม่ต้องเปลืองน้ำลายหว่านล้อมให้อีกฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจ โชคดีนักที่สะใภ้ผู้นี้ได้ดั่งใจนางเสียเหลือเกิน หมากกระดานนี้ถังเหมยหลินล้มมันแล้ว ช่างสะใจเหลือเกิน “ปล่อยข้านะ ข้าบอกให้ปล่อยอย่างไรเล่า” ถังเหมยหลินเดินกลับมายังเรือนนอน แต่ถูกโจวหย่งเล่อกักขังร่างบอบบางเอาไว้ในอ้อมกอด นางจึงขึ้นเสียงใส่เขา พร้อมกับพยายามดิ้นรนให้พ้นเงื้อมมือปีศาจ “ปล่อยรึ จะให้ข้าปล่อยเจ้าจริง ๆ ใช่หรือไม่ บอกมาเมื่อครู่เจ้าคิดอะไร” เขาได้ยินเต็มสองรูหูว่านางให้คนรักของเขาเข้ามาเป็นมีตำแหน่งแค่อนุเท่านั้น “ก็ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่รึ ว่านางเป็นได้แค่อนุ อย่าได้ลำพองว่าเป็นคนรักของท่าน ข้าจะตามใจไปเสียทุกอย่าง ในเมื่อข้า...คือฮูหยินของจวนนี้” นางแผดเสียงขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะถูกเขากักขังเอาไว้ จมูกของนางอยู่ใกล้ ๆ กับริมฝีปากเขา “ข้าจะปลดเจ้าจากตำแหน่งฮูหยิน” เขาแสร้งพูดประชดนางเข้าให้ เพราะยามนี้หัวใจเต้นระรัวยิ่งนัก ก็เพราะว่านางอยู่ในอ้อมกอดได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายปะทะเข้าจมูกอย่างจัง ซ้ำริมฝีปากนุ่มนิ่มสีชมพูระเรื่อนี้ทำให้โจวหย่งเล่อรู้สึกอยากครอบครองเข้าให้ เหตุใดชายหนุ่มจึงดูเหม่อลอยเมื่อเห็นริมฝีปากที่กำลังเผยอปากต่อว่ามิหยุดหย่อน ท่าทีของนาง การกระทำของนาง รวมถึงถ้อยคำของนางล้วนมีอิทธิพลต่อใจเขายิ่งนัก นี่เขาเป็นอะไรกันแน่ มิกรุ่นโกรธนางเหมือนเดิมแล้ว แต่รู้สึกว่าพึงพอใจนักที่เห็นนางบึ้งตึงเยี่ยงนี้ หรือว่าเขากำลัง...หลงรักนางเช่นนั้นหรือ....ใช่หรือไม่? “หากเจ้ายังดื้อดึงกับข้า...หลินเอ๋อร์ช่วยน่ารักกว่านี้แล้วพูดจาดี ๆ กับสามีได้หรือไม่” เขาเปลี่ยนมากอดนางเข้าให้อย่างหลงลืมตนเอง รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจยิ่งนัก “หากข้าร้าย ท่านพี่ชอบหรือไม่เล่าเจ้าคะ ในเมื่อแสนดีอ่อนโยนท่านมิเหลียวแล เช่นนั้น ข้าก็จะขอร้ายให้ท่านประจักษ์สายตาเป็นเช่นไรเจ้าคะ” นางตอบโต้ กลอกกลิ้งตาไปมา ชายหนุ่มถูกนางยอกย้อน ก็ขึ้นเสียงใส่อย่างไม่จริงจังนัก ยังโอบกอดหญิงสาวเอาไว้อีกด้วย “ร้ายหรือ วรยุทธ์แมวสามขาเยี่ยงเจ้าเนี่ยนะ หากไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตนอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD