บทที่ 2 : ถึงเวลาลุย (3)

1718 Words
“ที่หน่วยว่ายังไงบ้าง จ่า” เสียงทุ้มหนักของอิทธิฤทธิ์เอ่ยถามเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาเกือบสองชั่วโมงเต็ม และที่นี่ก็มืดแล้ว คืนนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่กลับไปที่หน่วย เพราะจะกางเต็นท์นอนบนเขานี้ เพื่อช่วยเฝ้าระวังไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงกลางดึกตามที่หัวหน้าหน่วยเสือไฟเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งเป็นเพื่อนสนิทได้วานไว้ก่อนหน้านี้ “เกิดความผิดพลาดนิดหน่อยครับผู้กอง” “ผิดพลาดยังไง!” ผู้กองหนุ่มเลิกคิ้วถาม ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะหันมามองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาช้าๆ เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของอีกฝ่าย “เอ่อ…”จ่าปี๊บก้มหน้าหลบแววตาคมกริบไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี “จ่า! ผมรอฟังอยู่” คนถูกจี้ถามลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง เมื่อได้ยินเสียงเย็นเยียบสุดห้วนนั้น จ่าปี๊บไม่กล้าคิดเลยว่าหากผู้กองหนุ่มทราบว่าทหารทั้งหน่วยไม่สามารถพาน้องสาวไปส่งได้จริง ผู้กองจะว่ายังไง “เอ่อ…พอดีว่า รถที่ฐานถูกปล่อยลมยางแบนหมดทุกคันเลยครับ ตอนนี้ทุกคนกำลังช่วยกันสูบลมยาง คืนนี้จึงไม่สามารถพาน้องสาวของผู้กองไปส่งในเมืองได้ครับ” “บ้าชะมัด! ต้องเป็นฝีมือเธอแน่ๆ! มาได้ไม่ทันไรก็ป่วนซะแล้ว ยายเด็กแสบ!” ผู้กองหนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อคิดถึงสาวน้อยจอมป่วนประจำคฤหาสน์ ไม่คิดเลยว่าทหารทั้งหน่วยที่ถูกฝึกมาอย่างหนักจะเสียรู้ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียว “ผู้กองก็ใส่ความน้องสาวเกินไป ผู้หญิงตัวเล็กๆจะปล่อยลมยางรถคันใหญ่หมดทั้งหน่วยได้ยังไง อีกอย่างน้องสาวผู้กองก็เป็นลมอยู่เธอจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงละครับ” จ่าปี๊บไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายใส่ความน้องสาวของตัวเองเกินไป ถึงเขาจะยังไม่เคยเห็นตัวจริงของสาวน้อย แต่ก็เชื่อว่าเธอไม่ได้ร้ายอย่างที่ผู้กองกล่าวหาไว้แน่ๆ “นายยังไม่รู้จักเธอดีพอ เก็บเต็นท์ฉันจะกลับหน่วยเดี๋ยวนี้!” เสียงทรงอำนาจออกคำสั่ง ขณะที่นัยน์ตาคมกริบแทบจะลุกเป็นไฟ เขาไม่ได้รู้สึกตกใจที่ได้ยินคำว่าเป็นลมจากปากของลูกน้อง เพราะอิทธิฤทธิ์เชื่อว่านั่นแหละเป็นแผนการของเธอ “ครับผู้กอง” จ่าปี๊บรับคำ ก่อนจะรีบไปทำตามด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เกิดรู้สึกเป็นห่วงสาวน้อยขึ้นมาไม่รู้ว่าถ้าผู้กองถึงหน่วยอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอบ้าง ได้แต่ภาวนาให้ผู้กองหนุ่มใจเย็นๆ และไม่ขับไล่เธอออกไปจากหน่วยกลางดึกก็เท่านั้น …………………………………………..……….. อิทธิฤทธิ์ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหน่วย เพราะระยะทางที่เขากับจ่าปี๊บไปเฝ้าระวังไฟอยู่ห่างจากหน่วยไปไม่ถึงสามสิบกิโลเมตร ระหว่างนั่งรถกลับมาเขาก็เอาแต่หงุดหงิดเมื่อนึกถึงหนุ่มฝรั่งผิวขาวที่มากับสาวน้อย แต่ทว่าพอมาถึงกลับพบว่าคนที่ตัวเองจินตนาการไปไกลถึงคนรักของเธอกลับเป็นคู่หูตัวป่วนประจำคฤหาสน์ของเธอเพียงเท่านั้น และนั่นก็ทำให้อารมณ์หงุดหงิดของตัวเองเลือนหายแทบจะทันที “สวัสดีครับผู้กอง” “สวัสดีค่ะพี่อิท” ทั้งสองเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งรอบได้ เขาเพียงพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางนิ่งขรึมตามแบบฉบับมนุษย์หินฉายาที่สาวน้อยตั้งให้ “พี่ว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว” อิทธิฤทธิ์เปิดประเด็นทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม ซึ่งดูเหมือนตัวป่วนทั้งสองรู้ตัวว่ากำลังจะถูกดุโทษฐานที่มาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าแถมยังก่อเรื่องให้ป่วนไปทั้งหน่วย เลยต้องก้มหน้าหลบดวงตาคมกริบไม่กล้าสบตา แต่แล้วกลิ่นอาหารก็โชยเข้ามาแตะจมูกพร้อมด้วยการปรากฏตัวของนายทหารที่เธอได้ไหว้วานให้ไปต้มบะหมี่กึงสำเร็จรูปให้ทานก่อนหน้า เข้ามาได้จังหวะพอดี “ขอทานข้าวก่อนได้ไหมคะพี่อิท ตั้งแต่มาถึงพวกเรายังไม่ได้ทานอะไรเลย ตอนนี้หิวจนไส้แทบขาดแล้ว” ชนิกานต์ช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าชายหนุ่มพร้องกับระบายยิ้มอ่อนหวานเพื่อออดอ้อนไปในตัว ส่งผลให้ผู้กองหนุ่มถึงกับชะงักชั่วขณะเพราะตกตะลึงกับรอยยิ้มสว่างไสวของสาวน้อยที่เขายอมรับกับตัวเองว่าเป็นร้อยยิ้มที่สวยและน่ามองที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเคยเห็นมา ‘บ้าไปแล้ว! นี่เรากำลังคิดบ้าอะไรอยู่วะ!’ ชายหนุ่มสบถว่าตัวเองในใจ ขณะที่เรียกสติให้กลับมาโดยเร็ว “อืม รีบทาน เสร็จแล้วจะได้คุยกันอย่างจริงจัง” เป็นครั้งแรกที่อิทธิฤทธิ์รู้สึกใจสั่น และไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้นในระหว่างที่รอทั้งสองทานอาหาร เขาจึงขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอก กระทั่งสามสิบนาทีผ่านไปจึงกลับเข้ามาในเต็นท์ แล้วก็พบว่าอาหารในชามถูกจัดการจนหมดเกลี้ยงแล้ว “ตอนนี้แพทรู้สึกเพลียมากเลยค่ะพี่อิท ขอเข้าที่พักเลยได้ไหมคะ” ชนิกานต์รีบบอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะทรุดนั่งลงเพื่อพูดคุยอย่างจริงจังตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเธอรู้ดีว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องส่งตัวเธอกลับกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน “พี่จะให้ไปพักก็ต่อเมื่อเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเท่านั้น!” น้ำเสียงเข้มจริงจังของอีกฝ่าย ทำให้สาวน้อยไม่อาจหลบหลีกได้อีกต่อไป “ก็ได้ค่ะ งั้นพี่อิทรีบพูดมาเลยค่ะ” ชนิกานต์บอกอย่างใจเย็นทั้งที่ข้างในใจเต้นตุ้มๆต่อมๆกลัวอีกฝ่ายจะไล่เธอกลับไป แต่กระนั้นก็ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าตอนนี้เธอกลัวเขามากแค่ไหน “พรุ่งนี้พี่จะให้คนพาไปส่งที่สนามบิน ส่วนรถถ้าซ่อมเสร็จเมื่อไหร่พี่จะให้คนเอาตามไปให้ทีหลัง” อิทธิฤทธิ์บอกอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แม้จะรู้สึกดีที่สาวน้อยมาเที่ยวหาถึงที่ แต่ที่นี่มันอันตรายเกินไปสำหรับเธอ และอีกอย่างพ่อแม่ของเธอคงรู้สึกเป็นห่วงมากหากรู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่กับเขา ส่วนชนิกานต์นั้น แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อชายหนุ่มเอ่ยถึงเรื่องส่งตัวกลับไปจริงๆ ก็รู้สึกใจหายวาบจนได้ “แพทไม่กลับค่ะ! แพทจะอยู่ที่นี่ ถ้าพี่อิทอยากจะส่งเรากลับไปจริงๆก็ส่งไชยากลับไปคนเดียวก็พอ” ชนิกานต์ยืนยันเสียงหนัก ขณะเดียวกันใบหน้างามก็จริงจังเสียจนผู้กองหนุ่มต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “แต่ที่นี่มันลำบาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนที่บ้าน แพทจะอยู่ได้เหรอ” “สบายมากค่ะ แพทอยู่ได้แน่นอน”คนตัวเล็กตอบกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “แน่ใจนะ” ท่าทางมั่นอกมั่นใจของสาวน้อยทำให้อิทธิฤทธิ์ย้อนถามอีกครั้ง “พี่ถามอย่างกับไม่เชื่อในตัวแพทอย่างงั้นแหละ” “ที่พี่ถาม ก็เพราะพี่คิดว่าแพทจะเปลี่ยนใจแน่ๆหากได้เห็นที่พัก” อิทธิฤทธิ์มั่นใจแบบนั้น เพราะยังไงเสียชนิกานต์จะต้องถอดใจแน่หากเห็นที่พักเป็นบ้านไม้โทรมๆเก่าๆหลังเล็กที่ต้องพักในค่ำคืนนี้ และเขาก็ไม่รอช้าที่จะพาเธอมาดู “เห็นที่พักแล้วตัดสินใจได้หรือยัง ถ้าตัดสินใจได้แล้วมานั่งคุยกันหน่อย พรุ่งนี้พี่จะได้ส่งเรากลับไปพร้อมไชยา” ผู้กองหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม เดาไว้ในใจว่ายังไงเสียชนิกานต์ต้องเลือกกลับบ้านอย่างแน่นอน เพราะที่นี่นอกจากจะไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดใดอีกด้วย เห็นแบบนี้เจ้าหล่อนไม่มีวันทนอยู่กับความลำบากนี้ได้อย่างแน่นอน ชนิกานต์หยุดเดินสำรวจบ้านไม้หลังเล็กก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม และมันก็หวานมากเกินไปจนคนมองหัวใจกระตูกวูบไปอย่างไม่ตั้งใจ เพราะท่าทางของเจ้าหล่อนตอนนี้แตกต่างจากที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง นอกจากเธอจะไม่โวยวายเรียกร้องโน้นนี่แล้ว ยังตอบกลับมาหน้าตาเฉยอีกด้วย “ไม่เปลี่ยนใจค่ะ แพทขอยืนยันคำเดิมว่าจะอยู่กับพี่อิทที่นี่ ต่อให้ลำบากกว่านี้แพทก็อยู่ได้ ขอแค่มีพี่อิทแพทก็ไม่กลัวอะไรแล้วละค่ะ” สาวน้อยตอบเสียงใส ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับที่พักใหม่เลยสักนิด ทว่าประโยคทุ้มห้วนที่ตามมาในตอนท้ายทำให้ใบหน้างามมุ่ยลงเล็กน้อย เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้านี้ “แล้วรู้หรือเปล่าว่าอยู่ในหน่วยทุกคนต้องมีหน้าที่ เพราะที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ที่จะเอาแต่มานั่งๆนอนๆตามใจได้ แต่ที่นี่เป็นสถานที่ราชการ เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้ามาอยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่นายอื่นๆก็ต้องทำตัวให้เกิดประโยชน์” “แล้วถ้าแพทใช้สิทธิ์น้องสาวของพี่อิทละคะ แพทจะสามารถอยู่ที่นี่แบบไม่ต้องทำอะไรได้หรือเปล่า” สาวน้อยต่อรอง เพราะค่ายนี้มีพี่ชายบุญธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด “แค่น้องสาวไม่พอหรอกแพท อย่างน้อยเราต้องทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” “ตกลงค่ะ แพทจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ พี่อิทจะให้แพททำอะไรแพทก็ยอมทั้งนั้น แต่ขออย่างเดียวอย่าส่งแพทกลับไปนะคะ” สาวน้อยบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะต่อท้ายด้วยการออดอ้อนตามนิสัย ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “เด็กดื้อ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD