บทที่ 8 ยอดรักของข้า

2168 Words
ในเช้าวันที่อากาศแจ่มใส เสียงนกร้องบินผ่านหน้าต่าง ลมอุ่นพัดผ่านม่านโชยกลิ่นอายสดชื่น ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่กลับมีชายหนุ่มดวงหน้างดงามนั่งอยู่ข้างเตียงนางด้วยท่าทีสบาย ๆ พลางจิบน้ำชาด้วยท่าทางจริตผู้ดีในวัง ท่ามกลางสายตางงงวยจากจิงมี่และนางกำนัลคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในห้อง องค์หญิงไม่ชอบให้ผู้ใดเห็นตนในชุดที่ไม่สำรวมเช่นนี้ แต่นางกลับไม่ไล่บุรุษผู้นี้ออกไปเสียอย่างนั้น เจ้าของห้องเช่นนางทำได้เพียงยิ้มแห้ง หมดเรี่ยวแรงที่จะค้านหรือไล่คนเอาแต่ใจผู้นี้ นางอุตส่าห์ตั้งมั่นว่าวันนี้นางจะต้องออกกำลังกายให้ตนเองแข็งแรงยิ่งขึ้น แต่กลับต้องพะวงไอ้คนบ้านี้อยู่ตลอดเวลา “ข้าเดินไปได้กี่รอบแล้วงั้นรึ” นางพยายามทำเป็นไม่สนใจกู่ฉางเฟิงที่คอยจับตาดูนางอยู่ทุกฝีก้าว ก่อนจะหันไปถามจิงมี่ที่เป็นคนคอยประคองนางเดินอยู่ไม่ห่าง “ประมาณห้ารอบได้แล้วเพคะ ร่างกายพระองค์ทรงแข็งแรงขึ้นมากหม่อมฉันดีใจมากเลยเพคะ” เสียงใส ๆ และรอยยิ้มแย้มของนางเป็นหนึ่งสิ่งที่พอจะปลอบประโลมจ้าวลู่ชิงไม่ให้สนใจสายตาเยือกเย็นจากคนด้านหลังได้ บนใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้จิงมี่ตาแสบพร่าไปชั่วขณะ ‘ขอบคุณจริง ๆ ที่มีเจ้าอยู่จิงมี่ ฮึก!’ กู่ฉางเฟิงลอบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของนาง ‘นางยิ้มเช่นนี้เป็นด้วยงั้นหรือ’ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด หากมองย้อนกลับไปจ้าวลู่ชิงสตรีนางนี้มักจะมีสีหน้าที่ราวกับเกลียดทุกสิ่งบนโลก และร้ายกาจเสียยิ่งกว่าสตรีวังหลังที่เขาเคยพบเจอ ไม่มีทางที่นางจะสามารถลดตัวมาพูดจาดี ๆ กับคนต่ำต้อยกว่านาง “เหอะ” “…” เสียงสบถดังขึ้นจากเบื้องหลังฉีกทึ้งบรรยากาศที่กำลังดีอยู่ตอนนี้เสียหมดสิ้น ดวงตาสีดำขลับตวัดมองคนที่ส่งเสียงสบถอย่างไร้มารยาทด้วยความสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกกัน! “องค์หญิงคนผู้นี้ไร้มารยาทยิ่ง ควรไล่เขาออกไปให้พ้นนะเพคะหรือเรียกตัวท่านรองแม่ทัพมากำราบเสียให้เข็ด” ในสายตาของจิงมี่ กู่ฉางเฟิงผู้นี้ไม่เคยเคารพยำเกรงต่อองค์หญิงของนางเลยแม้แต่น้อย ทั้งหยาบกระด้างและเย็นชาต่อองค์หญิงอย่างที่สุด หลายครั้งที่องค์หญิงทรงลงโทษด้วยตัวนางเอง แต่หลายวันมานี้องค์หญิงกลับแปลกไป นอกจากจะไม่สั่งโบยเขาแล้วกลับปล่อยให้เขาแสดงท่าทีหยิ่งยโสถึงเพียงนี้โดยไม่กล่าวว่าอะไรสักคำ จ้าวลู่ชิงรู้ได้ทันทีจากสายตาของจิงมี่ที่มองไปยังกู่ฉางเฟิง แต่ไม่ด้ายยย กรี๊ดดด อีกแล้วจิงมี่เจ้าจะหัวหลุดออกจากบ่านะ นั่นเขาเป็นตัวร้ายที่สุดของเรื่องเชียวนะ! “อะ เอ่อ กู่ฉางเฟิง…เจ้าออกไปก่อนได้หรือไม่ มันค่อนข้างรบกวนข้า… เล็กน้อย” นางรีบเติมคำว่าเล็กน้อยในทันทีเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงที่มองมายังนาง เฮือก! แค่สายตานั่นก็ทำให้ข้าตัวสั่นเลยรึ “ข้าให้เจ้าพูดอีกครั้ง รบกวนงั้นรึ” กู่ฉางเฟิงกดเสียงต่ำคล้ายกำลังข่มขู่จ้าวลู่ชิงอยู่ในที “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น…” จ้าวลู่ชิงกล่าวเสียงอึกอัก เจ้าตัวเป็นคนบอกเองว่าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ แต่หากนางยินยอมเขาไปเสียทุกอย่างมันจะไม่ดูน่าสงสัยกระนั้นหรือ “องค์หญิง…” ในแววตาของจิงมี่มีแต่ความสงสัยและสับสน “ทะ ทะ ที่รัก!” สิ่งที่นางไม่คิดอยากจะพูดมากที่สุดดันหลุดออกมาจากปากนางเสียแล้ว เมื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ สิ้นคำพูดนั้นทุกคู่สายตาโดยเฉพาะกู่ฉางเฟิงเบิกกว้างจนแทบถลนอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง! ส่วนจิงมี่นั้นปิดปากตัวเองแน่นด้วยความตกใจ! เออ! ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าข้าจะพูดคำนี้ออกมา กรีดร้อง! “ทะ ที่รัก! เจ้าน้อยใจข้าหรือ อย่าน้อยใจข้าไปเลยเจ้าไม่ได้รบกวนข้าสักนิด” นางปรี่กายตรงไปหากู่ฉางเฟิงที่ยังคงนั่งอึ้งมองนาง นางเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของเขาเอาไว้พลางเขย่าไปมาเบา ๆ แบบกล้า ๆ กลัว ๆ ใบหน้าสวยเปื้อนรอยยิ้มกว้างแต่ใจจริงของนางนั้นกระวนกระวายจนเหงื่อแตกพลั่ก กูจะโดนหักคอมั้ยวะ! ดูสายตาที่เขามองมาเซ่! “ที่รัก…” กู่ฉางเฟิงทวนคำนั้นช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อม ๆ กับที่สายตาเริ่มวาวโรจน์ จ้าวลู่ชิงตัวแข็งทื่อเหงื่อไหลเต็มกรอบหน้า ภาวนาอย่าให้เขาทำแผนของนางพังนางอุตส่าห์ทำเรื่องน่าอายขนาดนี้! นางปาดเหงื่อพร้อมกับเหล่ตามองไปยังจิงมี่เป็นสัญญาณบอกให้เขาคล้อยตามนาง “ไม่ต้องปิดบัง ‘เรื่องของเรา’ อีกต่อไปแล้วกระมัง…ที่รัก หะ ให้พวกเขารู้ไปเสียเลยว่าเจ้าสำคัญต่อข้าเพียงใด หากพวกเขารู้พวกเขาจะได้ไม่กล้าต่อว่าเจ้าอีกดีหรือไม่” นางกล่าวน้ำเสียงออดอ้อนแต่แฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนกเมื่อกู่ฉางเฟิงนั่งนิ่งไม่ไหวติง แม้จะเพียงไม่กี่อึดใจแต่มันกลับเป็นช่วงเวลาที่นางทรมานราวกับเป็นปี ในที่สุดกู่ฉางเฟิงก็ยอมยกยิ้มขึ้นมา …แต่นั่นกลับเป็นยิ้มที่ดูชั่วร้ายอย่างมากสำหรับจ้าวลู่ชิง! ชึบ ร่างนางปลิวติดไปกับแขนของเขาอย่างง่ายดายเมื่อจู่ ๆ คนที่นั่งอยู่ดันนึกพิเรนทร์ดึงนางลงไปนั่งที่ตัก เกิดเป็นความคับแค้นใจเมื่อนางไม่สามารถต่อต้านแรงของเขาได้เลย นางถูกเขาจับหิ้วไปมาอย่างง่ายดายตามที่เขาต้องการ “โอ้ข้าเพิ่งรู้ว่าที่รักของข้าต้องการเช่นนี้” มือใหญ่โอบกอดรอบเอวคอดไว้แนบแน่น เนื้อกายสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดจนได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อน ๆ จากคนตัวเล็กบนตัก กู่ฉางเฟิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนดึงศีรษะของนางซบลงกับแผงอก ตัวของนางนั้นเล็กเสียจนเขาไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่นั่งกดทับอยู่บนตัว เหมือนกับว่ากำลังอุ้มเด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังอยู่อย่างไรอย่างนั้น “ฮะ ฮะฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ้าพร่ำบอกกับข้าให้เปิดเผยเรื่องของเราอยู่ทุกชั่ววัน …จำมิได้รึ” ร่างเล็กพยายามตั้งสติก่อนจะซบลงบนอกกู่ฉางเฟิงโดยไม่ขัดขืน สายตาไม่รักดีจับจ้องที่แผงอกแกร่งเขม็ง ไวเท่าความคิดมือเอื้อมสัมผัสแผงอกหนาพลางลูบไปมาอย่างยั่วยวน ‘อู้วว แน่นปึ้ก!’ “ข้ากล่าวเช่นนั้นรึ” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดสตรีที่กำลังลวนลามร่างกายของเขาอยู่อย่างโจ่งแจ้ง จ้าวลู่ชิงรีบหยุดมือตัวเองใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ นางอยากจะตีมือตัวเองที่ไม่รักดี! “…จะ เจ้าล้อข้าเล่นอีกแล้วที่รัก เมื่อวานก่อนเจ้าเพิ่งบอกกับข้าไปเอง” “หึ ข้าผิดเองที่จำไม่ได้ต้องขออภัยเจ้าแล้วองค์หญิง” เสียงลากต่ำในลำคอคล้ายสัญญาณความฉิบหายที่จะมาเยือนนาง ใบหน้าคมคายก้มลงมา ลมหายใจร้อนที่รดบนใบหูนางทำให้รู้สึกวูบวาบไปทั่วท้อง ตึกตัก “ไม่เบาเลยองค์หญิง ถือว่าเจ้ามีความกล้าข้าจึงจะเล่นด้วยสักหน่อยแล้วกัน” ในขณะที่เขากำลังกระซิบริมฝีปากนุ่มสัมผัสโดนหูของนางราวกับจงใจ จ้าวลู่ชิงตกใจสุดขีดภาพเมื่อครั้งที่ทั้งสองประกบจูบกันภายในห้องฉายชัดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ นางรีบเอื้อมมือปิดหูของตนเองโดยอัตโนมัติขยับหน้าออกจากเขาโดยทันที การกระทำนี้ของนางเรียกเสียงหัวเราะต่ำ ๆ จากกู่ฉางเฟิง “หึ” “ท่าน!” นางกล่าวเสียงกระซิบลอดไรฟัน สายตาคาดโทษของนางที่มองมาไม่ได้ทำให้กู่ฉางเฟิงกลัวเลยแม้แต่น้อยเขากลับยกยิ้มชอบใจเสียอย่างนั้น จิงมี่และนางกำนัลคนอื่น ๆ ได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยความที่แสนจะตกตะลึง ในสายตาพวกเขาทั้งสองคนตรงหน้านี้ช่างดูรักใคร่ราวกับคู่ชายหญิงที่เพิ่งสารภาพรักกันหมาด ๆ แต่หารู้ไม่จ้าวลู่ชิงแทบอยากจะกระโดดหนีหายออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด! ตัวนางเคยพบเจอผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยเจอผู้ใดหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อนเลย! “อะ เอ่อองค์หญิงเพคะ” เสียงเรียกของจิงมี่ทำให้นางต้องรีบปัดความคิดนั้นออกไปก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวาน นางเห็นจิงมี่มีสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังสับสน มันไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ในเมื่อที่ผ่านมาจ้าวลู่ชิงคนเก่ากับกู่ฉางเฟิงแทบจะเรียกว่าเกลียดขี้หน้ากันเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่นางสิ…ต้องเป็นกู่ฉางเฟิงเสียมากกว่าที่เกลียดจ้าวลู่ชิงเข้าไส้ “…ที่รักของข้าคงเป็นห่วงข้ามาก เลยมาเฝ้าข้าทุกวันจับตามองข้าทุกฝีก้าวอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ต้องขอบคุณจริง ๆ ถ้าหากพวกเจ้าเห็นเขาอีกก็อย่าได้กล่าวว่าหรือไล่เขาเลย” นางลากเสียงยาวตรงคำว่าขอบคุณพลางเหล่ตามองคนข้าง ๆ อย่างนึกหมั่นไส้ กู่ฉางเฟิงยกยิ้มมุมปากเขานั้นรับรู้ได้เช่นกันว่าที่นางพูดไปนั้นคือการประชดประชัน แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจเท่าใดนัก “เพคะองค์หญิง” จิงมี่ยอมตอบรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำตอบรับนั้นทำให้จ้าวลู่ชิงเบาใจไปหลายส่วน ต่อจากนี้นางไม่ต้องคอยกังวลว่าคนของนางจะทำให้ตัวร้ายผู้นี้ต้องขุ่นเคือง เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะจบลงด้วยดี ร่างบางจึงดีดตัวขึ้นในทันทีทันใดโดยไม่สนใจว่าร่างกายตนเองจะเหมือนปลาแสงอาทิตย์เพียงใด แต่อยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว น่ากลัวรับมือยากสุด ๆ เว้ย! ฟึบ กู่ฉางเฟิงที่เห็นนางพยายามหนีจากตนก็เอื้อมมือไปรั้งข้อมือของนางไว้อย่างแรง กรี๊ดดด เจ็บนะเว้ย!! จ้าวลู่ชิงแทบอยากจะร้องตะโกนจนสุดเสียงพร้อมก้มมองข้อมืออันแสนจะบอบบางของตนเองเริ่มขึ้นสีแดงช้ำเลือด! นางอยากจะด่าไอ้คนเส็งเคร็งที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตอนนี้มาก ถ้าไม่ติดว่านางอาจจะโดนเขาตบทีเดียวตายอะนะ ฮึ่ย! “ว่าอย่างไร!” “พูดจาโหดร้ายกับกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมเจ็บที่ใจนะพ่ะย่ะค่ะ” แม้คำพูดจะดูเหมือนเสียใจเสียเต็มประดา แต่หน้าตาของเจ้าตัวนั้นไม่ได้ดูเสียใจสักนิดดูเหมือนจะสะใจด้วยซ้ำไป! “เจ้าจะดึงรั้งข้าไว้ทำไม มีเรื่องอันใดอีกรึ” นางกล่าวและพยายามแกะมือของเขาออก แต่มันรัดแน่นเสียจนนางเจ็บจนน้ำตาจะไหล เขากะแรงไม่ถูกหรือจงใจทำให้ข้าเจ็บกันแน่! “ข้าเห็นว่าที่รักร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ท่านควรออกไปวิ่งสักสองสามรอบนะพ่ะย่ะค่ะ” “!!!” กู่ฉางเฟิงยิ้มเยาะภายในใจเมื่อเห็นท่าทางอึ้งจนค้างของนาง จ้าวลู่ชิงกะพริบตาปริบ ๆ อยากจะถามอีกครั้งว่าเขาพูดว่าให้นางไปวิ่งจริงหรือ “อากาศอบอุ่นกำลังดีนักเหมาะแก่การออกไปเดินเล่นกับ...ที่รัก” โป๊ะเช้ะไม่ต้องถามซ้ำแม่งพูดงั้นจริง ๆ ! “อะ เอ่อ-” “อ้อ เจ้าต้องสวมเสื้อคลุมไว้ด้วยกันเจ้าป่วยตาย” ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร คนตรงหน้าก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ให้นางเสร็จสรรพพร้อมกับอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขน จ้าวลู่ชิงนั่งตาปริบ ๆ อยู่บนแขนแกร่งอย่างงง ๆ เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนรู้สึกตัวอีกทีกู่ฉางเฟิงก็เดินออกมาจากห้องแล้ว นางรีบหันไปมองจิงมี่และทุกคนอย่างต้องการความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือใบหน้าแดงซ่านกับผ้าสีขาวที่ยกขึ้นมาปิดใบหน้าและพร้อมใจกันมองไปทางอื่น นี่มัน…!! บัดซบบบบบบบ!!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD