นางสลบไปอีกเป็นครั้งที่สองของวัน หลังจากสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพเจ้าและท่านยมสุดหล่อภายในใจทุกครั้งที่ตื่นแต่กลับไม่เป็นผล ทำให้นางจำใจยอมรับแล้วว่าต้องอยู่ในร่างปลาแสงอาทิตย์นี่ และต้องอยู่ให้รอดทุกซีซั่นจนกว่าจะพ้นการปักธงตายตามเนื้อเรื่องในนิยาย
“เสวยอะไรเสียหน่อยนะเพคะองค์หญิง”
เป็นเวลากว่าสัปดาห์ที่นางถูกขังอยู่ในห้อง กินยาเสร็จแล้วกินข้าวแล้วก็นอนสลับกันอยู่แบบนี้ตลอดหนึ่งอาทิตย์ ถ้วยซุปสีเหลืองทองถูกวางไว้ตรงหน้า หน้าตาน่าทานจัง นั่นคือสิ่งที่นางคิด แต่กลิ่นแปลก ๆ จากถ้วยซุปนั่นทำให้นางไม่อยากจะทานมันลงไป นางเอื้อมมือที่สั่นเทาตักซุปนั่นขึ้นมา ยิ่งได้กลิ่นยิ่งรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง
อึก ฮึก จ้าวลู่ชิงร่ำร้องภายในใจ อาหารน่าทานมาก แต่ทานไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร
“ทานสักคำเถิดเพคะ องค์หญิงทรงไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากกว่าสามวันแล้ว หม่อมฉันเคี่ยวน้ำกับไก่และเก้าสมุนไพรบำรุงร่างกาย เคี่ยวจนข้นกลั่นทุกหยดจนได้ถ้วยที่ดีที่สุดให้แก่ท่าน”
จะบอกว่าเจ้าโยนเครื่องสมุนไพรทุกอย่างที่รักษาร่างกายข้าลงไปเลยสินะ แล้วรสชาติมันจะไหวเหรอ... น้ำซุปสีเหลืองทองเป็นประกายวาวตรงหน้าจะดูน่าทานมากเพียงใด แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นางยัดใส่ลงไปแล้วทำให้จ้าวลู่ชิงแทบไม่อยากอาหารเข้าไปอีก
แต่เมื่อได้ยินว่านางพยายามทำออกมาเพียงใด จ้าวลู่ชิงจึงพยายามฝืนตัวเองค่อย ๆ ตักซุปขึ้นมา แต่ว่า...
เคล้ง
ช้อนหล่นลงคล้ายคนหมดใจ พอ ๆ กับที่นางนั่งช็อกจนตาตั้ง แค่รวมสารพัดโรคในร่างกายก็หนักแล้วนี่กล้ามเนื้อแกยังอ่อนแรงง่ายอีกเรอะ!
จิตวิญญาณที่มอดไหม้ลุกโชนด้วยเพลิงแค้น นางหยิบช้อนขึ้นมาใหม่ด้วยสายตามุ่งมั่นพอ ๆ กับที่เหล่านางกำนัลที่รับหน้าที่ดูแลองค์หญิงนั้นมองมายังนางด้วยสายตาชื่นชมระคนลุ้นพร้อมกับเชียร์องค์หญิงของนางภายในใจ
‘นังช้อนตัวดีคิดว่าแกจะแข็งแรงกว่าข้ารึไง’ // ในที่สุดลู่ชิงก็ได้ทะเลาะกับช้อนเป็นที่เรียบร้อย
แขนเล็ก ๆ ของนางสั่นเทา นางเอื้อมมืออีกข้างมาช่วยประคอง ในที่สุดน้ำซุปใสสีเหลืองทองนั่นก็ได้ถูกช้อนตักขึ้นมาได้สำเร็จ เส้นทางต่อไปคือปากของนาง นางพยายามอย่างยิ่งในการประคองน้ำซุปไม่ให้กระฉอกออก พร้อมกับสายตาที่ลุ้นจนตัวโก่งของพวกพี่ ๆ นางกำนัล
“อีกนิดเพคะองค์หญิง”
“สู้ ๆ เพคะองค์หญิง!”
“องค์หญิงทำได้แน่ ๆ เพคะ”
ทุกคนเชียร์ข้าจนสุดแรงขนาดนี้ข้าจะทำให้ทุกคนผิดหวังได้อย่างไรล่ะ! นางกลั้นใจมองภาพช้อนตรงหน้าที่เริ่มเคลื่อนเข้ามาเรื่อย ๆ
“ท่าทางขององค์หญิงที่ทรงตั้งใจตักซุปนี่มัน น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด!”
ง่ำ!
ในที่สุดจ้าวลู่ชิงก็สามารถพิชิตด่านกินข้าวนี้ได้อย่างราบรื่น จะว่าไปข้าก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย กับผีน่ะสิ!! เกือบหลงไปดีใจกับเรื่องเด็กน้อยแค่นี้ไปแล้วไหมล่ะ นางหันไปมองยังเหล่าพี่ ๆ ที่จ้องมองมายังนางด้วยสายตาปลื้มปริ่ม
เพราะพวกนางสินะที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าสุดยอดมาก... กับเรื่องแบบนี้ กรี๊ดดดดดดด!
“ข้าจะจดวันที่คุณหนูสามารถใช้ช้อนตักซุปด้วยตัวเองได้ไว้” นางกำนัลคนหนึ่งหยิบกระดาษที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากตอนไหนขึ้นมา พร้อมทำสีหน้าจริงจัง
ไม่ต้องค้าาาาาาาา!!!
หลังจากความพยายามในตอนแรกต้องเปลี่ยนเป็นถูกป้อนในตอนหลังแทน เพราะการพยายามครั้งต่อไปนางทำช้อนหลุดมือไปมากกว่าสิบอันแล้ว! สุดท้ายนางจึงถูกป้อนน้ำซุปนั่นเข้าปากแทน น่าอายมาก!
เมื่อนางทานจนหมดแล้วมีคนยกออกไป นางค่อย ๆ โน้มตัวลงบนเตียง นางกำนัลสองคนยังคงทำหน้าที่เฝ้าดูนางอยู่ภายในห้อง
“ปีนี้ข้าอายุเท่าใด” นางกลั้นใจกล่าวเสียงเรียบ นางทำหน้านิ่งราวกับคำถามของนางนั้นไม่ได้แปลกแต่อย่างใด ทั้งที่ในใจนั้นระทึกจนตัวโก่งเหงื่อแตกพลั่กเพราะรู้ตัวว่าเป็นคำถามที่โง่เง่าสิ้นดี ให้ตายสิ! นางกำนัลทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามนางกลับมา
“หลังจากไว้ทุกข์ให้อดีตจักรพรรดิกว่าสองปี ปีนี้เข้าสู่ปีที่สาม พระองค์ทรงครบสิบเจ็ดพรรษาพอดีเพคะ”
“อย่างน้อยก็มีเวลาอยู่สามปี” สามปีก่อนที่นางจะต้องตาย... นึกแล้วมันก็แค้นใจ! ตายตั้งแต่ต้นเรื่องตั้งแต่บรรทัดแรกที่ขึ้นต้นเรื่องเลยล่ะมั้ง! จ้าวลู่ชิงทำเสียงฟึดฟัดด้วยความขัดใจปนความโกรธจนหน้าแดงก่ำ นางกำนัลคนหนึ่งที่นางจำได้คร่าว ๆ ว่าชื่อ ‘จิงมี่’ เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบกับนาง
“วันนี้พระองค์จะทรงออกกำลังกายอีกหรือไม่เพคะ”
คำพูดนั้นทำให้จ้าวลู่ชิงชะงักลง บทบรรยายหนึ่งในนิยายเรื่อง ‘ลำนำรักหิมะโปรย’ กล่าวไว้เพียงไม่กี่บรรทัดว่า จ้าวลู่ชิงนางร้ายผู้จิตใจไม่ปกติ นางมักชื่นชอบการทรมานผู้อื่นเป็นนิจ และนางเรียกสิ่งนั้นว่าการออกกำลังกาย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่นางยอมขยับร่างกายที่อ่อนแอนี่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
แต่นี่มันน่าตกใจมากที่พวกนางกลับทำเหมือนสิ่งที่จ้าวลู่ชิงทำเป็นเรื่องปกติและยอมรับได้ หรือจริง ๆ แล้วพวกนางเพียงนึกสงสารที่นางเกิดมาเช่นนี้ จ้าวลู่ชิงไม่สามารถทำอะไรได้มากนางจึงเลือกที่จะโวยวายและอารมณ์ร้ายใส่คนอื่น เพื่อที่เป็นเครื่องยืนยันว่าตัวของจ้าวลู่ชิงยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ
เหมือนดั่งตอนนี้ที่ตัวของนางเองลู่ชิงรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้จนเผลอทำท่าทางหงุดหงิดใส่
“ไม่ล่ะ! ข้าจะออกไปเดินเล่นเท่านั้น”
นางกำนัลผู้นั้นเร้นกายหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่นานมากนักนางก็กลับมาพร้อมกับเกี้ยวที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มาก แต่บนนั้นถูกรองด้วยเบาะหลายชั้นพร้อมกับม่านที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อบังลมและแสงอาทิตย์
นี่มันจะอลังการไปไหมคะ จ้าวลู่ชิงเผยสีหน้าเหยเกนางฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยอมเดินขึ้นไปนั่งข้างบนเกี้ยวพร้อมสายตาที่เป็นประกายจากเหล่านางกำนัลที่คอยดูแลนาง
...ข้าไม่รู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วข้าเป็นองค์หญิงหรือเป็นคนง่อยกันแน่
ตำหนักที่นางอยู่นั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นตำหนักที่โดดเดี่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นตำหนักเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตใต้ของวังหลวง ตำหนักของนางกินเนื้อที่กว่ายี่สิบไร่ นอกจากตำหนักหลักแล้วยังมีปลีกย่อยไปอีกมากมาย เหมือนสถานที่นี้เป็นวังของนางแต่เพียงผู้เดียว ใช่...ไม่มีใครเลยที่อยู่ที่นี่กับนาง มีเพียงนางกำนัลจากครั้งที่เสด็จพ่อของจ้าวลู่ชิงมีชีวิตอยู่ประทานให้
บริเวณโดยรอบของตำหนักเต็มไปด้วยสวนดอกไม้ขนาดหย่อมมากมาย ทุกพื้นที่ถูกดูแลอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ถูกละเลยเสียทีเดียวหรืออาจจะเป็นเพราะสายเลือดของอดีตจักรพรรดิที่ไหลเวียนในตัวนาง เป็นดั่งเครื่องหมายของราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้คนยำเกรง
“อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว โปรดสวมเสื้อคลุมขนสัตว์นี้เพิ่มนะเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งยื่นผ้าคลุมขนสัตว์ให้กับนางพร้อมรอยยิ้ม
“อืม”
แม้จะอยู่มาเป็นอาทิตย์แต่นางยังคงไม่ชินกับการได้รับการดูแลจากคนอื่นเสียเท่าไหร่ เพราะนางอยู่ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด 25 ปีในอีกโลกหนึ่ง นางจึงระมัดระวังคำพูดอยู่เสมอ แต่ช่วงนี้พวกนางมีสีหน้าที่ดีขึ้นมากคงเป็นเพราะนางไม่ได้ทำตัวร้ายกาจใส่พวกนางเหมือนแต่ก่อน
เกี้ยวถูกแบกและเดินอย่างระมัดระวัง จนนางไม่รู้สึกถึงความสั่นคลอนตลอดการย่างก้าว เป็นตัวกล่อมชั้นดีให้นางหลับลง
“องค์หญิงถึงแล้วเพคะ”
จ้าวลู่ชิงสะดุ้งเฮือก รีบหันซ้ายหันขวาว่ามีใครเห็นนางทำท่าทางเหลอหลาเมื่อสักครู่รึเปล่า นางรู้สึกได้ว่าเมื่อกี้นางนอนหลับอ้าปากซะด้วยสิ! ใบหน้าหญิงสาวขึ้นสีแดงระเรื่อน่ารักน่าชัง ปากเล็ก ๆ กลั้นหาวจนแก้มป่อง
‘วันนี้องค์หญิงก็ยังทรงงดงามเช่นเคย’
‘เมื่อสักครู่องค์หญิงทรงงีบหลับได้งดงามนัก!!’
เหล่านางกำนัลมองภาพนั้นด้วยสายตาเป็นปลื้ม สายตาพวกนางเหมือนกับเหล่าซาแซงที่มองศิลปินที่ชอบก็ไม่ปาน ก็อย่างว่าแหละนะ หน้าตาของจ้าวลู่ชิงเองได้ถูกพรรณนาไว้ว่าเป็นสตรีที่งดงามจนหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ ทั้งดวงตาคมโต ขนตายาวเป็นแพ เส้นผมสีดำขลับราวกับน้ำหมึก ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มเหมาะกับใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวซีดราวกับหิมะ นางยังตกหลุมรักตัวเองไปแล้วกว่าสิบรอบทุกครั้งที่ส่องกระจก!
เสียดายความสวยมากกก ที่ต้องตายตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วจะบรรยายว่าสวยงามขนาดนี้เพื่ออะไรคะ
“เห้อ”
ใบหน้างดงามราวภาพวาดถอนลมหายใจ นัยน์ตาหรี่ลงต่ำเล็กน้อย แพขนตางอนสวยลู่ลง ลมหายใจเกิดเป็นไอเนื่องจากอากาศหนาว พวงแก้มขึ้นสีแดงอมชมพู เป็นภาพที่สะกดให้เหล่าชายหญิงที่เห็นตกตะลึงราวกับต้องมนตร์
“นะ นักวาดภาพหลวงอยู่ไหนมาบันทึกภาพนี้ไว้บัดเดี๋ยวนี้!!”
“ถูกต้องเราไม่สามารถพลาดท่วงท่าหายใจอันสง่างามขององค์หญิงเมื่อสักครู่ได้!!”
อ๊ากกก... พวกเจ้าช่วยอย่าทำให้ข้าอายตัวเองไปมากกว่านี้ได้หรือไม่! จ้าวลู่ชิงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คิ้วคันศรขมวดมุ่นด้วยความอับอาย นางรีบก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่พวกนางจะเรียกคนวาดภาพมาจริง ๆ
ร่างกายของจ้าวลู่ชิงนั้นเล็กกว่าสตรีปกติทั่วไปค่อนข้างเห็นได้ชัด ด้วยส่วนสูงที่น่าจะอยู่ราว ๆ หกฉื่อ (155 เซนติเมตร) ร่างของนางบอบบางเสียจนตอนนี้นางรับรู้ได้ถึงอุณภูมิที่เย็นจัดจากภายนอกเนื้อผ้า นางกอดตัวเองไว้แน่นก่อนจะมองรอบกายของนาง ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นบดบังทางที่นางเดินมา ผ่านมาได้ไม่ไกลมากนักปรากฏเป็นทุ่งราบเรียบที่มีกำแพงล้อมรอบ
“อ้าว ทางตันงั้นหรอกหรือ อีกเดี๋ยวพวกนางคงตามมาทันแน่ ๆ ข้าควรใช้เวลานี้ในการพักผ่อนอยู่คนเดียวบ้าง”
นางค่อย ๆ เดินไปตรงกำแพง กำแพงสีแดงอิฐให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติยิ่งนัก แม้จะเป็นลมหนาวแต่แสงแดดที่ส่องลงมากลับทำให้รู้สึกอบอุ่น จ้าวลู่ชิงนั่งลงพิงกับกำแพงก่อนจะหลับตาลงเงยหน้ารับแสงอาทิตย์ที่สาดลงมา
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนนางยังเป็นลู่ชิงที่ต้องทำงานหนักในทุก ๆ วันเพื่อให้ได้เศษเงินเพียงน้อยนิด และเงินที่ทำมาทั้งหมดที่ได้มาไม่เคยได้ใช้ แต่บัดนี้นางกลับสามารถที่จะนั่งโดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกินในเย็นนี้หรือไม่ หรือนางจะต้องหางานเพิ่มอีกไหม อย่างน้อยช่วงเวลาที่สงบสุขเช่นนี้นางขอรับไว้อีกสักหน่อยแล้วกัน
แกร็ง แกร็ง!
เสียงคล้ายโซ่กระทบกันดังเข้าสู่โสตประสาท จ้าวลู่ชิงลืมตาขึ้นมองรอบตัวด้วยความสงสัย ก่อนจะเจอกับที่มาของเสียงที่ลอดผ่านมาจากประตูเหล็กไม่ไกลจากนาง นางลุกขึ้นก่อนจะเดินตามเสียงนั้นไป ยิ่งใกล้หน้าประตูเท่าไหร่เสียงนั้นยิ่งชัดเจนพร้อมกับเสียงร้องเบา ๆ จากภายใน
จ้าวลู่ชิงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะพบว่าประตูนั้นไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ นางเปิดเข้าไปกลิ่นอับชื้นกระแทกเข้ามาเป็นอย่างแรก นางยกมือขึ้นปิดจมูกเอาไว้พร้อมกับปัดมือเพื่อไล่อากาศอับเหม็นนั้นออก
“ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย อย่างกับห้องขังนักโทษอย่างไรอย่างนั้น”
นางกล่าวกับตัวเองพลางใช้สายตาสอดส่องไปโดยรอบ ข้างในเป็นห้องทึบขนาดใหญ่ รอบ ๆ ปักเชิงเทียนเอาไว้สำหรับจุดไฟ ตรงกลางเป็นเส้นทางทอดลงไปยังด้านล่าง ด้วยความอยากรู้ของตัวเองที่ไม่สามารถเอาชนะได้ นางจึงตัดสินใจหันไปหยิบคบเพลิงใกล้ ๆ นั้น แต่ด้วยความที่นางยังไม่หายดีทำให้นางต้องใช้สองมือในการประคองคบเพลิงอันนี้
ให้ตายเถอะ อยากเผือกแต่กลับต้องใช้แรงขั้นสุดเพื่อเผือกถึงเพียงนี้! นางก้าวเดินลงจนถึงข้างล่าง มันคล้ายกับห้องปิดทึบใต้ดินโล่ง ๆ กลิ่นอับเหม็นข้างล่างนี้ชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่นางอยู่ด้านบนเสียอีก นางใช้คบเพลิงหันไปรอบ ๆ ห้อง
“เจ้า”
“กรี๊ด แม่ร่วงห่ามึx!!”
หัวใจนางร่วงออกไปจากอกเมื่อจู่ ๆ ดันมีเสียงเรียกหนึ่งดังมาจากข้างหลังของนาง จ้าวลู่ชิงกำคบเพลิงไว้จนแน่น ดีแค่ไหนที่นางไม่โยนคบเพลิงทิ้ง ไม่เช่นนั้นนางคงยิ่งหัวใจวายกว่าเดิมถ้าหากไฟดับไป แง!
นางยื่นมือที่สั่นงก ๆ จนเปลวไฟไหวสั่นไปทางเสียงเรียก นางค่อย ๆ ยกมือขึ้นพนมมือท่วมหัว “ยะ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย จะทำบุญกรวดน้ำเผากงเต็กไปให้ ไปที่ชอบ ๆ เถิด ขะ ข้าผิดไปแล้วที่เข้ามาในที่ที่ท่านตาย”
ณ จุด ๆ นี้จะผีไทยผีจีนก็ช่างมันเถอะพนมมือไว้ก่อนแล้วกัน อย่ามาหลอกกันเลยข้ากลัวผี!
“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน... เจ้าคิดจะตรวจสอบดูงั้นหรือว่าข้าตายสมใจเจ้ารึยัง” เสียงที่ตอบนางกลับมานั้นแหบแห้งคล้ายผีหมดแรง ผะ ผีหมดแรงได้ด้วยเหรอวะ! ไม่ด้ายยยยยเว้ย หรือว่าเขาจะไม่ใช่ผี
“จะ เจ้าเป็นผีรึเป็นคน” คนบ้าอะไรถามว่าผีเป็นผีรึเปล่า ฮื้ออ
จ้าวลู่ชิงที่กำลังสับสนกับคำคิดตัวเองอยู่นั้น ชายหนุ่มที่ถูกโซ่ตรวนตรึงเอาไว้ได้แต่นึกฉงนอยู่ภายในใจ เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเสียงนี้ต้องเป็นนางเป็นแน่ ระยะเวลาสองปีที่เขาต้องทนทุกข์เพราะสตรีตรงหน้าเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่มีทางลืม