ช่วงเย็นวันเดียวกัน…
ฉันแยกกับเมย์และเจ๊ตาลเมื่อคลาสสุดท้ายสิ้นสุดลง พี่นัทเองก็ไม่ได้บิดพลิ้วอะไร เขามารับฉันที่หน้าตึกคณะตามคำสัญญาเมื่อช่วงบ่าย วันนี้แปลกหน่อยก็ตรงที่พี่เกมส์ไม่ได้มากับเขาด้วยทั้งที่ปกติตัวติดกัน สำหรับฉันการที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องหงุดหงิดกับท่าทางกวนประสาทของพี่เกมส์จนไม่เป็นอันทำอะไร
อีกอย่างนี่คงเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ฉันจะได้ใช้ร่วมกับพี่นัทสองต่อสองอย่างเต็มที่ตามประสาคู่รักสักที
พี่นัทพาฉันนั่งซ้อนรถไปที่ร้านข้าวแกงประจำของเรา ร้านแห่งนี้อยู่ตรงหน้าหอพักของฉันนี่แหละ เห็นแบบนี้ฉันก็ไม่ได้พักอยู่บ้านหรอกนะ ฉันเองก็อยากลองใช้ชีวิตแบบนักศึกษาทั่วไปบ้าง เลยขอคุณพ่อกับคุณแม่มาอยู่หอ แชร์ห้องร่วมกับเจ๊ตาลสองคน ส่วนเมย์พักอยู่ที่บ้าน บางครั้งเธอก็ขนเสื้อผ้ามานอนเล่นค้างคืนที่หอบ้างเหมือนกัน
เพราะฉันเองก็ติดเพื่อนไม่ต่างกันพี่นัทนัก ฉันจึงไม่รู้สึกแคลงใจอะไรหากเขาจะตัวติดกับพี่เกมส์มากอย่างที่เห็น แต่สิ่งหนึ่งที่พี่นัทกับฉันไม่เหมือนกันก็คือ ฉันสามารถแยกแยะเวลาจากเพื่อนแบ่งมาให้คนรักได้ก็เท่านั้นเอง
พอคิดแบบนี้แล้ว มันก็อดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้…
“เป็นไรอ่ะกานต์ ไม่หิวเหรอ?” ฉันสะดุ้งจากภวังค์ความคิด รีบก้มมองข้าวผัดในจานตัวเองสลับกับหน้าพี่นัทไปมา จนคนตัวสูงตรงหน้าเอ่ยปากถาม “วันนี้เรียนหนักเหรอ เราถึงได้นั่งเหม่อแบบนี้?”
“เปล่าค่ะ กานต์แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันยิ้มเพื่อให้พี่นัทสบายใจ เห็นแบบนี้พี่นัทมักจะชอบเป็นห่วงฉันในเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ อย่างเช่นเรื่องปากท้องกับเรื่องเรียน
“ถ้าเรียนตรงไหนไม่เข้าใจ มีอะไรก็ถามพี่นะ” ที่เพอร์เฟกต์สุดๆ ก็คือพี่นัทเป็นคนที่เรียนเก่งมาก แม้ว่าเขาจะติดเกมงอมแงมแต่ผลการเรียนก็ไม่เคยตก
“ค่า! หนูรู้แล้ว” ฉันตอบส่งๆ พลางรีบตักข้าวเข้าปากเพื่อจบบทสนทนา เพราะรู้ดีว่าขืนยังพูดเรื่องเรียนต่อ มีหวังโดนพี่นัทบ่นไม่หยุดแน่ๆ ส่วนใหญ่ก็บ่นเรื่องเรียนนี่แหละ
“นี่กานต์” ทั้งที่เงียบแล้วแต่ดูเหมือนพี่นัทจะไม่ยอมเงียบตาม
“คะ?”
“วันนี้วันอะไร?” คำถามของพี่นัท ทำฉันย่นคิ้วอย่างนึกแปลกใจ คราวนี้ผิดคาดที่เขาไม่ได้บ่นเรื่องเรียนของฉันเหมือนทุกที
“วันพฤหัสบดีค่ะ” ส่วนฉันก็ตอบเขากลับไปแบบงงๆ และหวังว่าในคำพูดของเขาหลังจากนี้อาจจะให้คำตอบฉันได้บ้าง
“ถ้างั้นก็เหลือเวลาอีกเจ็ดวันเนอะ” พี่นัทพูดยิ้มๆ พลางตักข้าวเข้าปากโดยไม่ได้มองหน้า แต่รู้ไหมว่าคำพูดของเขาเพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร
เพราะอีกเจ็ดวันที่เขาพูดถึงก็คือระยะเวลาของการคบกัน เจ็ดปีที่ใกล้มาถึงยังไงล่ะ พอคิดแล้วไอ้ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจที่มีในตอนแรกก็มลายไป ฉันอมยิ้มอย่างคนมีความสุข
นี่คงเป็นอีกเรื่องที่ฉันยอมให้พี่นัทเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยแบ่งเวลาอยู่กับเพื่อนหรือเวลาเล่นเกมมาให้ฉันเลยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พี่นัทไม่เคยลืมก็คือวันสำคัญของเรา ไม่ว่าจะวันเกิดหรือวันครบรอบ และคนที่เซอร์ไพรซ์ก่อนก็มักจะเป็นเขานี่แหละ
“ยิ้มอะไร” พอถูกพี่นัทถามตรงๆ ฉันก็ยิ่งเขิน ทั้งที่ตลอดหกปีที่ผ่านมาเขาก็มักจะพูดจาทำเซอร์ไพรซ์อย่างนี้ตลอด
ยังไม่ทันตอบอะไรออกไปก็เป็นพี่นัทนั่นแหละที่ชิงพูดออกมาก่อน
“วันครบรอบ กานต์อยากไปไหนหรือเปล่า?”
“พี่นัทจะพาหนูไปเหรอคะ?” ฉันแกล้งย้อนถามอย่างสนอกสนใจ
“อือ วันนั้นพี่สัญญาจะงดเล่นเกมหนึ่งวัน” เขายิ้มขำ ปากเคี้ยวข้าวอย่างมีความสุข
“หนูอยากไปทะเลค่ะ” เมื่อพี่นัทเปิดโอกาส มีเหรอที่ฉันจะปฏิเสธ สถานที่ที่ฉันเลือกนั้นฟังแล้วอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป แต่ฉันเชื่อว่าถ้าที่ตรงนั้นมีพี่นัทอยู่ด้วย ยังไงมันก็เป็นสถานที่ที่แสนวิเศษได้เสมอ
“โอเค Deal! งั้นวันพฤหัสบดีหน้า เราไปทะเลกัน” พี่นัทเหลือบมองหน้าฉัน มือข้างหนึ่งวางช้อนในมือลง และชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วพลางขยิบตาให้ “ไปแค่เราสองคนนะ”
“ค่า!” ดูเหมือนว่าความสุขของฉันในวันนี้มันจะไม่จบลงง่ายๆ เมื่อแฟนสุดที่รักงัดของเซอร์ไพรซ์ออกมาไม่หยุด
“ยื่นมือมาค่ะ” พี่นัทหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อช็อปพลางกระดิกมือเร่ง
ฉันที่ไม่ได้คิดอะไรจึงรีบวางช้อนส้อมแล้วส่งมือไปให้ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่พี่นัทหยิบออกมานั้นไม่ใช่อะไร แต่มันคือแหวนเงินวงเล็กดูไม่มีราคา แต่สำหรับฉันแหวนวงนั้นมันมีค่าต่อความรู้สึกมากจนบอกไม่ถูก
“พี่ให้ มัดจำไว้ก่อนนะคะ ไว้รอแหวนจริงตอนวันครบรอบปีที่เจ็ด” พี่นัทพูด มือพลางบรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายฉันช้าๆ
ใบหน้าของเขาดูมีความสุข เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากฉันนัก แต่ว่าช่วงเวลาโรแมนติกในร้านข้าวแกงก็สิ้นสุดลง เมื่อเสียงสมาร์ทโฟนของเขาดังขึ้น
Rrrrrr
“แป๊บนะกานต์” พี่นัทลดมือหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง ลุกเดินออกจากโต๊ะไป
อีกแล้ว… เขาลุกออกจากโต๊ะไปอีกแล้ว
“ฮัลโหลว่าไง… ตอนนี้พี่อยู่กับกานต์…” แต่คราวนี้พี่นัทไม่ได้เดินไปไกลจากโต๊ะมากนัก ฉันก็เลยพลอยได้ยินสิ่งที่เขาคุยไปด้วย “มีอะไรหรือเปล่า? …ทำไม? …อือ ได้ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ…”
แม้จะฟังไม่ค่อยถนัดนักแต่พอจับใจความได้ว่าพี่นัทกำลังจะไปหาคนในสาย ต่อให้ไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเงี่ยหูฟังการคุยโทรศัพท์ของพี่นัทอยู่ดี
“อืม… แล้วเจอกัน” สิ้นเสียงพี่นัท ฉันรีบตั้งท่าทำเหมือนไม่ได้สนใจ แสร้งตักข้าวเข้าปากเพื่อความเนียน แต่ไม่ใช่กับเขาซึ่งดูรีบร้อนแปลกๆ
พี่นัทรีบหยิบเงินในกระเป๋าวางทิ้งไว้บนโต๊ะ พร้อมทั้งพูดสั่ง
“กานต์ขึ้นห้องเองได้นะคะ พี่มีธุระ ต้องรีบไป”
“พี่เกมส์โทรมาตามเหรอคะ?” ฉันแสร้งถามทำเป็นไม่รู้ ไม่ได้ยิน และนั่นทำให้คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย
แต่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ เขาก็ยิ้มอย่างใจดีแล้วตอบ
“อือ ไอ้เกมส์ให้พี่ไปหาที่ร้านเกมน่ะ”
เขาโกหก…