“นี่เอง พ่อของน้องเดซี่ ป้ามาทานอาหารบ่อยๆ เพิ่งเคยเห็น”
ฌอนพยักหน้ารับ เพราะเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง “ขอบคุณครับ อีกหน่อยก็จะได้เห็นบ่อยๆ”
“เขาว่าลูกสาวหน้าตาเหมือนพ่อวาสนาดี หนูเดซี่ทั้งน่ารักและฉลาดจริงๆ ค่ะ ฉันยังหลงคารมซื้อถั่วต้มกลับบ้านเลย”
สาวใหญ่ชูถุงถั่วให้พ่อของเด็กดูแล้วหัวเราะอารมณ์ดี แต่พอเห็นสีหน้าคุณแก้วมุกดาเจ้าของร้านยืนหน้าบึ้ง ลูกค้าขาประจำเลยคิดว่าตนคงพูดอะไรผิดไป เพราะปกติ แก้วมุกดาเป็นคนยิ้มง่าย แล้วต้องยกมือไหว้ลูกค้าทุกครั้ง แต่วันนี้กลับยืนนิ่ง ไม่ยิ้มไม่พูด ทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ หรือเธอกำลังน้อยใจ ลูกค้าจึงรีบหันไปขอโทษ
“คุณแก้วไม่ว่าป้านะคะที่เมื่อครู่พูดไป ถึงน้องเดซี่แกจะหน้าเหมือนพ่อยังกับแกะ แต่ป้าว่า ยังไงน้องเดซี่ก็ยังมีตาดำ ผมดำเหมือนคุณแก้วอยู่บ้างนะคะ ป้าไปละ วันหลังจะมาอุดหนุนใหม่” ทำให้แก้วมุกดาได้สติแล้วยกมือไหว้ลูกค้า
“ขอบคุณค่ะคุณนิต วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ วันนี้ แก้วยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปดูแล”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ตินิดนึงนะคะ วันนี้ รสชาติสเต็กแปลกๆ ไป แม่ครัวคนเก่าลาออกเหรอคะ”
แก้วมุกดายิ้มเจื่อนๆ “หุ้นส่วนแก้ว เขาไปเปิดร้านใหม่ แก้วกำลังปรับปรุงให้รสชาติน้ำราดซอสกลับมาเหมือนเดิม ขอโทษด้วยนะคะ”
สาวใหญ่พยักหน้าเข้าใจ แล้วควงสามีออกจากร้านไป
คล้อยหลังลูกค้า แก้วมุกดาหันกลับมาเห็นฌอนยิ้มไปจนถึงดวงตาก็จ้องเขาเขม็ง
“คุณบ้าไปแล้วเหรอคะ รับสมอ้างว่าเป็นพ่อของเดซี่มั่วๆ แบบนั้นได้ยังไง”
“ผมไม่ได้อ้าง แต่ลูกค้าของคุณพูดเรื่องจริง ผมเลยไม่ปฏิเสธ” เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับ
ขนาดเขาไม่พูด ยังมีคนพูดแทนว่าลูกกับเขาหน้าตาเหมือนกันแค่ไหน
ฌอนสื่อสารกับแก้วมุกดาเป็นภาษาอังกฤษ เพราะตามรายงานจากสตีฟ ลูกสาวของเขาพูดไทยชัดแต่ภาษาอังกฤษดับมาก เขาเองก็ไม่อยากให้เดซี่ฟังสิ่งที่ยังไม่เหมาะกับวัยของแก
“คราวนี้ คุณคงเข้าใจว่าทำไมผมถึงมาพบคุณที่นี่ สิ่งที่ผมอยากจะพูด ลูกค้าเมื่อครู่พูดไปแล้ว ผมอยากจะบอกคุณ ผมสงสัยว่า...” เขามองหน้าลูกสาวที่มองเขาแบบงงๆ “เดซี่คือลูกสาวของผม แกคือผลผลิตที่วิเศษที่สุดของเราในคืนนั้น”
“คืนนั้นของเราหรือคะ” แก้วมุกดาชะงักกึก ถลึงตาใส่เขา
‘ถ้างั้นคืนนั้น แกก็คือคนรังแกฉันสิ’
‘ไอ้คนชั่ว’
เธอไม่เคยคิดจะตามหาหรือขุดคุ้ยเรื่องในคืนนั้นเพราะอยากลืมอดีตที่เลวร้าย ร่างบางของแก้วมุกดาปราดเข้าหาเขาทันที สองมือรีบคว้าตัวเดซี่ไว้ ส่วนฌอนอุ้มลูกเอาไว้ รีบถอยหนีคุณแม่อารมณ์ร้อน
“ใจเย็นสิคุณ”
น้ำเสียงหวานแข็งกระด้าง “เอาลูกฉันคืนมา วางแกลงเดี๋ยวนี้ แล้วออกไปจากร้านฉันซะ”
เพราะแม่พูดภาษาอังกฤษ เด็กน้อยลูกครึ่งตากลมที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ จึงได้แต่หัวเราะคิกคักด้วยความเข้าใจผิด
“หม่ามี้อย่าเล่นไล่จับกับคุณลุงในร้านสิคะ เดี๋ยวชนลูกค้าหรอก”
แก้วมุกดาตอบด้วยน้ำเสียงกดต่ำ หากแยกเขี้ยวเป็นยักษ์ได้ เธอคงทำไปแล้ว
“แม่ไม่ได้เล่นไล่จับค่ะ” แล้วหันมาจ้องหน้าคนเจ้าเล่ห์ที่มองเธอด้วยหูตาแพรวพราว
“Get Out” แก้วมุกดาตวาดเสียงแข็งให้คนมาอ้างตัวว่าเป็นพ่อของลูกไสหัวออกไป แล้วไล่คว้าลูกคืน
ฌอนถอยหลบหลีกอย่างคล่องตัว ปั้นหน้ายิ้มระรื่น พอเห็นเธอเสียจังหวะ ก็รั้งร่างบางที่เข้ามาแย่งชิงลูกเข้ามาแนบลู่กับลำตัว แล้วก้มลงกระซิบที่ข้างใบหู
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าเราจะตกลงกันได้”
มือหนาอีกข้างที่ว่างอยู่จับมือเธอเอาไว้ ขณะที่แก้วมุกดาพยายามสะบัดมือจากการเกาะกุมของเขา พลางจ้องหน้าหล่อจัดอย่างแค้นเคือง
“วางเดซี่สิ”
แขนกำยำไม่ยอมปล่อยแม่ของลูกออกจากอ้อมอก เวลานี้ ฌอนจึงได้กอดทั้งแม่เสือและลูกหมูอย่างที่ต้องการมาตลอด หลังจากได้เบาะแสว่าแก้วมุกดาพาลูกของเขาย้ายกลับมา
“ถ้าคุณยังไม่อยากให้ผมประกาศตัวตรงนี้ว่าเป็นสามีของคุณ เป็นพ่อของเดซี่ ก็ทำตัวให้ว่าง ไปเตรียมน้ำเย็นมาด้วย แล้วทำใจเย็นๆ เราจะได้ตกลงกัน”
แม้เดซี่จะฟังสิ่งที่เขากับเธอคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ดวงตากลมโตกำลังมองคุณลุงกระเป๋าหนักกับแม่อย่างสงสัย แก้วมุกดาจึงต้องแสร้งตีสีหน้าสดใส เพราะยังอธิบายให้เดซี่ฟังตอนนี้ไม่ได้ เธอตัดสินใจเปิดโต๊ะ ยอมเจรจากับคนที่มาอ้างตัวว่าเป็นพ่อของลูก
“ตกลง ฉันจะคุยกับคุณทันทีที่คุณวางเดซี่ลง”
ใจจริง ฌอนอยากจะอุ้มแม่หนูน้อยไว้อีกนิด อยากกอด อยากหอม แต่เขาไม่ควรทำอะไรผลีผลาม เมื่อได้ยินคำตอบรับที่น่าพอใจจากปากเมีย เขาจึงวางเดซี่ลงกับพื้น
พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้าแม่ของลูกคิ้วผูกเป็นโบพลางมองเขาอย่างโกรธขึ้ง ก่อนจะหันไปพูดกับเดซี่ที่เริ่มมองอย่างสงสัย แก้วมุกดาเลยตัดสินใจควักเงินในกระเป๋าส่งให้เดซี่ เพราะเด็กหญิงยืนรอมองอะไรไปมา คนเป็นแม่รู้นิสัยลูกดี เดซี่ไม่จบง่ายๆ แน่ถ้าขายของแล้วไม่ได้เงิน
“เดซี่คะ เงินนี่ แม่จ่ายค่าถั่วแทนคุณลุงให้แล้ว” นิ้วเรียวชี้ไปที่มุมหนึ่งซึ่งมีโซฟากำมะหยี่สีแดงตั้งอยู่ “เดซี่กับไข่หวานเอาเงินที่ขายของได้ไปนับแบ่งกันตรงโน้นนะลูก”
เท่านั้น เสียงเล็กๆ จากเด็กน้อยทั้งสองก็ดังขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับรีบรับเงิน ก่อนจะจับมือกันวิ่งปร๋อเพื่อไปแบ่งเงินกัน
ร่างสูงเห็นว่าเด็กๆ ไปแล้ว จึงขยับเข้ามาใกล้แม่ของเด็ก สังเกตว่าใบหน้าของเธอยังคงบึ้ง ฌอนจึงกระซิบเบาๆ
“ลูกไปแล้ว ทีนี้ สามีกับภรรยาที่พลัดพรากกันมาหลายปี จะเริ่มคุยกันดีๆ ได้แล้วใช่ไหม”
แก้วมุกดากลอกตาอย่างสุดจะทนกับคนอ้างตัวเป็นพ่อของเดซี่ ถ้าเขาเป็นพ่อของลูกเธอจริงๆ แล้วคิดว่าเธอจะคุยดีด้วยหรือไง ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์คืนนั้นหรือที่ทำให้เธอต้องพาหัวใจบอบช้ำหลบลี้หนีจากเมืองกรุงไปชีวิตในป่าในดอย เปิดร้านกาแฟสดบนยอดเขาอยู่ร่วมกับชนกลุ่มน้อย จนกระทั่งเห็นว่าเดซี่เริ่มพูดภาษาม้งได้ แต่มีปัญหาเรื่องเรียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยเข้าใจ แก้วมุกดาจึงตัดสินใจพาเดซี่มาเรียนในกรุงเทพฯ และเปิดร้านอาหารเล็กๆ เลี้ยงชีพ
“คุณเอาอะไรมาอ้างว่าเป็นคนชั่วที่พรากพรหมจรรย์ของฉันไป”
เขาไม่อยากจะพูดให้เมียเขิน แต่หากเธอต้องการให้ยืนยันก็คงต้องพูด
“ก็คืนนั้น แพนตี้สีขาวมีลายเชอร์รี ผมทำมันขาดกับมือจนคุณใส่กลับไปไม่ได้ แล้วโยนมันทิ้งเอาไว้ในถังขยะ ขอโทษนะที่ผมมือหนักไปจนทำมันขาด เดี๋ยวจะซื้อใช้ให้ร้อยตัวเลยก็ได้”
คนเจ้าเล่ห์ผุดยิ้มที่มุมปากพลางเลิกคิ้วขึ้น ส่วนคนที่รู้ว่าเขาพูดเรื่องจริงถึงกับพูดอะไรไม่ออก คืนนั้น เธอใส่แพนตี้สีขาวใต้ขอบชั้นในด้านหน้ามีลายเชอร์รีสองลูกติดกัน
“คนชั่ว” คนสวยส่ายหน้าระรัว บอกได้คำเดียวว่างานนี้ “ซวยจริงๆ คนที่ฉันก่นด่าสาปแช่งมาตลอดที่แท้เป็นคุณเองเหรอ”