ตอนที่ 7 สามีใส่ใจข้าเป็นอย่างดี

2236 Words
แต่แทนที่เหอเพ่ยเจินจะโกรธเคืองกับคำกล่าวเหล่านั้นนางกลับยกยิ้มหวานไปให้กับหลี่จื่อเหยาแทนเสีย "เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้เป็นห่วงข้าเลย ห่วงสถานะของตนเองจะดีกว่า กอดมันเอาไว้ให้แน่น เผื่อสักวันที่เสียมันไปเจ้าจะได้ไม่เจ็บช้ำ" "เจ้าหมายความว่าเช่นไร" น้ำเสียงของหลี่จื่อเหยาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนสายตาของนางเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดในขณะที่จ้องมองมายังเหอเพ่ยเจิน "ข้าก็บอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ ว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน สิ่งใดที่มีในวันนี้อาจจะสูญเสียมันไปในวันหน้าก็เป็นได้" "เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ควรจะห่วงเรื่องของตนเองมากกว่า เพราะถึงอย่างไร ท่านพี่ก็ไม่มีทางมาโปรดปรานเจ้า" เป็นอีกครั้งที่หลี่จื่อเหยาสะบัดชายเสื้อของตนเองจากไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก นางตั้งใจจะมายั่วยุอีกฝ่าย แต่กลับเป็นตนเองที่ถูกยั่วยุแทนเสีย เหตุใดสตรีผู้นั้นถึงได้สุขุมเยือกเย็นนัก กี่ครั้งต่อกี่ครั้งนางก็ไม่สามารถกล่าววาจาใดกระทบกระทั่งให้อีกฝ่ายเดือดดาลได้เลย… ณ ตำหนักของพระสนมกุ้ยเฟย สตรีสูงศักดิ์ได้แต่นั่งอ่านสารจากผู้เป็นน้องสาวอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก "นี่คือสารที่ส่งมาจากเจินเอ๋อร์จริงๆ หรือ" "เพคะ เป็นคนของจวนอัครเสนาบดีส่งมา" "นางต้องการจะทำสิ่งใดเพียงตกแต่งเข้าไปได้ไม่ถึงเดือน ถึงกับจะให้ฝ่าบาทออกหน้าทำสิ่งนั้น นางจะไม่กลายเป็นตัวตลกหรือ แค่เพียงเรื่องที่เซี่ยซู่เหยียนตกแต่งฮูหยินรองเข้ามาในวันเดียวกันกับนาง ก็ถือว่าหักหน้านางมากเกินควรแล้ว" พระสนมกุ้ยเฟยถึงกับขมวดพระขนงแน่น พระนางทอดมองไปที่สารฉบับนั้นอย่างใช้ความคิดอีกครั้งว่าจะทำตามที่เหอเพ่ยเจินร้องขอมาดีหรือไม่ รถม้าจำนวนมาก ได้เดินทางเข้าสู่วังหลวง เพื่อที่จะร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองนี้ให้กับแม่ทัพผู้ชาญศึกที่ได้นำความดีความชอบมาสู่บ้านเมือง ถึงแม้นว่าเซี่ยซู่เหยียน จะจงเกลียดจงชังเหอเพ่ยเจินมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถละเลยไม่นำนางมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียง ให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงตามฐานะฮูหยินเอกของตนเอง แต่แทนที่เขาจะให้นางนั่งรถม้าคันเดียวกันกับตน ก็ให้นางนั่งแยกมาอีกคันเสีย ในตอนที่ออกมาพวกเขายังไม่รอนางเสียด้วยซ้ำนั่นจึงทำให้ทั้งเซี่ยซู่เหยียนและหลี่จื่อเหยาไม่ได้เห็นถึงการแต่งกายของหญิงสาวในวันนี้ หลี่จื่อเหยาแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมชั้นดีราคาแพง ถูกปักด้วยดิ้นทองลวดลายนกกระเรียนโผบินอย่างปราณีต และเครื่องประดับที่นางใช้นั้น ก็เป็นเครื่องประดับที่เซี่ยซู่เหยียนมอบให้ ซึ่งมีราคาแพง และสวยงามดูเข้าชุดกันเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างสวยงามด้วยเครื่องประทินโฉมราคาแพง บ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เป็นสามี ในขณะที่นางกำลังก้าวลงมาจากรถม้าเพื่อเดินทางเข้าสู่ประตูวังหลวง ผู้คนต่างทอดมองไปที่รถม้าของแม่ทัพใหม่ผู้นี้เป็นตาเดียว เมื่อหลี่จื่อเหยา เดินลงมาจากรถม้าแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ทอดมองไปที่ด้านหลังของนาง เพื่อหวังว่าจะเห็นโฉมหน้าฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพอีกคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ได้แต่รู้สึกแปลกใจเพราะไร้ซึ่งเงาฮูหยินเอก ที่ติดตามมาด้วย ดูท่าว่าข่าวลือที่กำลังพูดถึงกันหนาหูตอนนี้คงจะมีความจริงอยู่ไม่น้อย "เจ้าเห็นหรือไม่ไร้เงาของฮูหยินเอก" "ข้าไม่ได้ตาถั่วหรอกนะ นี่ก็บ่งบอกได้อย่างเดียว ท่านแม่ทัพช่างไม่ไว้หน้านางเอาเสียเลย" "ข้าได้ยินว่าแม้แต่หลังแต่งงานครบ 3 วัน ตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้านภรรยา ตามประเพณีท่านแม่ทัพก็เลือกไปยังตระกูลหลี่ ส่วนฮูหยินเอกนะหรือ กลับไปบ้านเดิมของตนเอง โดยไร้ซึ่งเงาของสามี เพียงเท่านี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าความโปรดปรานไปตกอยู่ที่ผู้ใด" "ถ้าไม่รักนางแล้วจะตกแต่งนางมาในฐานะฮูหยินเอกเพื่ออันใดกัน ข้าไม่เข้าใจท่านแม่ทัพผู้นี้เลย" สตรีอีกผู้หนึ่งกดเสียงให้ต่ำลงมากกว่าเดิม พร้อมกับกระซิบไปที่ใบหูของสหายตนเอง เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน "เจ้าไม่รู้อะไร ข้าได้ยินข่าวมาอย่างลับๆ ว่าที่เขาตกแต่งบุตรสาวท่านอัครเสนาบดีเข้าไปนั้น เพราะถูกบีบบังคับ หาได้มีความพึงใจกันแม้แต่น้อย...นี่ละมั้งที่เป็นเหตุผลที่เขาปฏิบัติกับนางอย่างไร้ซึ่งความรักความโปรดปราน เช่นนี้" "จริงหรือนี่…!!! บีบบังคับให้บุรุษตกแต่งตนเองเข้าไป ไม่น่าเล่าท่านแม่ทัพถึงได้จงเกลียดจงชังนางนักจะงดงามและสูงศักดิ์แล้วอย่างไร สุดท้ายสามีก็ไม่รักไม่ใส่ใจ ข้านึกเวทนานางนัก" สตรีผู้พูดยกมือทาบอกทำสีหน้าท่าทางตกใจเป็นอย่างยิ่ง "แม้แต่งานเลี้ยงในวังก็ไม่คิดจะนำฮูหยินเอกของตนเองมาร่วมงานเช่นนี้ ไม่เป็นการหักหน้าภรรยาเอกเกินไปหน่อยหรือ" เสียงนินทาเหล่านั้นถึงแม้จะมิได้ดังนัก แต่มันก็พอที่จะดังเข้าไปในหูของเซี่ยซู่เหยียน ให้ได้ยินอย่างชัดเจน แต่แทนที่เขาจะใส่ใจ กลับหันไปเอ่ยกับหลี่จื่อเหยาแทน "พวกเราเข้าไปด้านในกันเถิด" "ท่านพี่พวกเราจะไม่รอนางก่อนหรือ" เซี่ยซู่เหยียนมีใบหน้าที่เข้มขึ้นหลังจากได้ยินประโยคนี้ "ไม่จำเป็น...นางอยากมาก็ให้นางตามมาไม่อยากมาก็สุดแล้วแต่นาง" กล่าวจบเขาก็ประคองหลี่จื่อเหยาเข้าไปในงาน โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนรอบข้าง หลี่จื่อเหยาแสดงสีหน้าสาแก่ใจ การกระทำเช่นนี้ช่างเป็นการหักหน้าตระกูลเหออย่างไม่มีชิ้นดี เป็นตระกูลขุนนางอันทรงเกียรติแล้วอย่างไร สุดท้ายก็สู้ตระกูลแม่ทัพเช่นนางไม่ได้อยู่ดี คนพวกนั้นคิดว่าตนเองสูงส่ง คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้ใดก็ได้สุดท้ายแล้วเป็นเช่นไร "ท่านพ่อ…!!!" เหอเว่ยเจี้ยน ที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หันไปเอ่ยกับบิดาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้านี้เช่นกัน "เกรงว่าเรื่องที่พ่อให้เจ้าไปสืบ คงจะมีความจริงอยู่ไม่น้อย เจินเอ๋อร์ของเราคงจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก" ใบหน้าของอัครเสนาบดีเหอห้าวอี้ มีร่องรอยของความกังวลใจปรากฏขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตนเองได้คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หากจะโทษก็โทษที่บุตรสาวของตนเองช่างเอาแต่ใจนัก ห้ามปรามเท่าใดก็มิรู้จักฟัง "ให้นางได้เรียนรู้ด้วยตนเองเสียบ้าง เมื่อไม่ไหวนางก็คงจะกลับมาเอง" ผู้เป็นบิดาเอ่ยออกมาอย่างผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เขาหาใช่บิดาที่หน้ามืดตามัวไม่คิดถึงเหตุและผล ความเป็นจริงได้ปรากฏยังเบื้องหน้าแล้ว จะมีบุรุษใดชมชอบสตรีที่บังคับขู่เข็ญให้ตนตกแต่งสตรีที่ไม่ได้รักเข้ามาในตระกูลได้เล่า "ไม่รู้ว่าเจินเอ๋อร์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ สิ่งที่นางส่งมาในสารนั้น ช่างดูขัดกับนิสัยของนางเสียเหลือเกิน" "ถึงน้องสาวของเจ้าจะเอาแต่ใจ แต่นางก็หาใช่คนโง่งมที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด เรื่องสิ้นคิดเรื่องเดียวที่นางทำก็คือบังคับบุรุษผู้นั้นให้มาตกแต่งตน อย่าได้กังวลไปเลย นางคงจะรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่" "ขอรับ งั้นพวกเราก็เข้าไปในงานกันเถิด" อัครเสนาบดีเหอ ได้สูญเสียฮูหยินเอกของตนเองไป เมื่อหลายสิบปีก่อน นั่นจึงทำให้เขาต้องเลี้ยงดูบุตรชายหญิงเพียงลำพัง และไม่ได้ตกแต่งสตรีใดเข้ามาแทนที่สตรีที่ตนเองรักอีกเลย นั่นจึงทำให้เขารู้ถึงอุปนิสัย บุตรแต่ละคนของตนเองเป็นอย่างดี ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังจะเดินเข้าไปในงานเลี้ยงของวังหลวง ก็ได้มีรถม้าของจวนแม่ทัพอีกคันหนึ่งมาถึงพอดี มือขาวผ่องของสตรีผู้นั้นได้เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ใบหน้าที่ปรากฏให้ผู้คนได้เห็นในตอนนี้คือใบหน้าของโฉมสะคราญผู้หนึ่ง ที่มีใบหน้างดงาม เพียงแค่ผู้คนจ้องมองไปที่นางก็คล้ายกับถูกมนต์สะกด ให้ไม่สามารถละสายตาไปจากนางได้ สตรีผู้นั้นคล้ายกับปีศาจจิ้งจอกที่คอยมายั่วยวนผู้คนบนโลกมนุษย์ ความเย้ายวนของนางมีมากกว่านางเซียนบนสวรรค์เสียอีก ไม่เพียงใบหน้าของนางเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาผู้คน อาภรณ์ที่นางสวมใส่อยู่ยังงดงามไร้ที่ติ ผ้าไหมหางโจวชั้นดีสีขาว ที่ถูกปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง เลื่อมลายหงส์เหยียบกิ่งไม้ เวลาที่นางขยับกายคล้ายกับเลื่อมลายเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวไปมา สร้างความงดงาม และดูดดึงสายตาของผู้ที่พบเห็นได้อย่างง่ายดาย บนใบหน้าของนางยังถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ในแบบที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ มันไม่ได้ดูบางเบา แต่มันกลับเต็มไปด้วยสีสันของความดึงดูด ชาดสีแดงที่ถูก ทาทับบนริมฝีปาก ช่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ดวงตาที่คมกริบ คล้ายกับมีดวงดาวระยิบระยับแพรวพราวอยู่ในนั้นเหตุใดถึงได้งดงามเช่นนี้ สตรีผู้นี้คือผู้ใดกัน..? นั่นคือคำถามที่ผู้คนหลายๆ คนอยากจะรู้ แต่ผมที่ถูกรวบขึ้นคล้ายกับสตรีที่ออกเรือนแล้วนั้น บ่งบอกถึงสถานะของนางได้เป็นอย่างดี สตรีผู้นั้นเดินตรงไปที่สองพ่อลูกตระกูลเหอ ก่อนที่นางจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายออกไป จนสร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้พบเห็นได้อยู่ไม่น้อย "คารวะท่านพ่อ และพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ" ถึงแม้นว่านางจะไม่ได้ความทรงจำของเจ้าของร่าง แต่ดีที่หลังจากแต่งงานได้ 3 วันมีประเพณีให้หญิงสาวต้องกลับไปเยี่ยมเยียนตระกูลเดิม นั่นจึงทำให้นางได้รู้จัก กับบุคคลสำคัญเหล่านี้ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่นาน ก็ไม่แปลกที่ทั้งคู่จะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนางหาใช่บุตรสาวของพวกเขาแต่อย่างใด "นี่เจินเอ๋อร์หรือ…?!" เป็นเหอเว่ยเจี้ยนที่เอ่ยถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง สตรียังเบื้องหน้าของเขาตอนนี้ หากให้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็มีส่วนคล้ายกันกับน้องสาวของเขาอยู่ถึง 7 ส่วน แต่นางจะสามารถเปลี่ยนไปงดงามได้ถึงเพียงนี้ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนเดียวได้จริงๆ หรือเขายังคงไม่เชื่อสายตาตนเองอยู่เช่นนั้น พร้อมกับจ้องมองไปที่ใบหน้าของนางอย่างตื่นตะลึงอีกรอบ "พี่ใหญ่ท่านจะมองข้าให้ทะลุปรุโปร่งเลยหรือไร แค่เพียงข้าแต่งหน้าให้ดู งดงามขึ้นเพียงเท่านั้น ก็จำน้องสาวของตนเองมิได้เสียแล้ว" คำกล่าวเช่นนี้น้ำเสียงเช่นนี้ไม่ผิดแน่ สตรีเบื้องหน้านี้คือเจินเอ๋อร์น้องสาวที่เขารักจริงๆ เมื่อแน่ใจแล้วเหอเว่ยเจี้ยน จึงกวาดมองนางอย่างสำรวจอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยกับหญิงสาวออกไป "ดูเจ้าจะมีความสุขดีต่างจากข่าวลือที่ผู้คนกำลังเล่าลือกันอยู่ในตอนนี้อย่างลิบลับ เห็นเป็นเช่นนี้พี่ก็วางใจ" สตรีที่มีความทุกข์ใจย่อมต้องมีใบหน้าที่เศร้าหมอง ไร้ซึ่งสง่าราศีแตกต่างกันกับเหอเพ่ยเจินในตอนนี้ นั่นจึงทำให้ พี่ชายอย่างเขา รู้สึกยากที่จะเชื่อข่าวลือเหล่านั้นได้ลง "แล้วเหตุใดถึงไม่นั่งรถม้าคันเดียวกันมากับสามีของเจ้าเล่า" คำกล่าวนี้ผู้เป็นบิดาเป็นผู้เอ่ยถามออกมา น้ำเสียงของเขาดูกดต่ำอย่างจับผิดในขณะที่เอ่ยถามบุตรสาว "เป็นข้าที่ให้พวกเขาล่วงหน้าออกมาก่อนท่านพ่ออย่าได้กังวลเลย ลูกได้รับความรักความโปรดปรานจากท่านแม่ทัพเป็นอย่างดี พวกเราเข้าไปในงานกันเถิด" เหอเพ่ยเจินเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับเดินไปคล้องแขนของผู้เป็นบิดาและพี่ชายเพื่อไม่ให้เซ้าซี้ตนเองไปมากกว่านี้ ถึงแม้นว่าเหอห้าวอี้จะรู้ดีว่าคำกล่าวนั้นไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดโปงนางแต่อย่างใด ทั้งสามคนจึงได้เดินเข้าไปด้านในงานเลี้ยงพร้อมกัน โดยมีสายตา มากมายกำลังจ้องมองไปที่พวกเขา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD