เซี่ยซู่เหยียนไม่รู้ถึงการมีตัวตนของติงเกาที่เป็นองครักษ์เงาของนาง นั่นจึงทำให้นางได้สั่งการคนของตนเองออกไปบางอย่าง...
เมื่อเหอเพ่ยเจินได้สั่งการคนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีรอยยิ้มที่สาแก่ใจขึ้นมาแทน พร้อมกับได้สั่งให้หลิวอี้และหลิวอิงหาคนมาซ่อมแซมเรือนนี้ให้เร็วที่สุด
ใช้เวลาเพียงไม่นานเรือนร้างของนางก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่ ให้สามารถอยู่ได้ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่นางเคยได้รับ แต่กับวิญญาณของเมลดา ที่ผ่านความลำบากมามาก ถือว่าเท่านี้ก็ดีที่สุดแล้วสำหรับนาง
เรือนร้างแห่งนี้ถูกจัดตกแต่งให้เป็นสัดส่วนอย่างเป็นระเบียบ โดยการออกแบบของนางเอง ให้มีลักษณะคล้ายกับบ้านเรือนในยุคปัจจุบันให้มากที่สุด ทั้งยังสามารถอยู่ได้สบายไม่ว่าจะเป็นในฤดูร้อนหรือฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ตรงกลางเรือนยังมีเตาผิง ที่เอาไว้ใช้ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวอีกด้วย
นางได้ออกแบบเรือนไว้ 2 ส่วน คือส่วนที่เอาไว้ใช้อยู่อาศัยในฤดูร้อนและอีกส่วนหนึ่งคือเอาไว้ใช้อยู่อาศัยในฤดูหนาว การตกแต่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ย่อมสร้างความแปลกใจให้กับช่างที่มาทำการซ่อมแซมเรือนให้กับนางอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่เพียงแต่พวกเขา สาวใช้คนสนิทของนางทั้งสองเองก็ก็เกิดความแปลกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
"ฮูหยินเหตุใดการออกแบบเรือนนี้ของท่านถึงได้ดูแปลกประหลาดนัก"
"ใช่เจ้าค่ะ และยังเจ้าปล่องที่อยู่ตรงกลางเรือนนั่นอีก มันมีไว้ทำอะไรหรือเจ้าคะ"
เหอเพ่ยเจินยกยิ้มให้กับสาวใช้ทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้จะกล่าวตอบ เพื่อไขความกระจ่างให้กับพวกนาง แต่นางกลับถามคำถามที่ตนเองอยากรู้เสีย
"ในฤดูหนาวของที่นี่ หนาวมากใช่หรือไม่"
" ใช่เจ้าค่ะ ฤดูหนาวปีนี้ พวกข้าให้ความรู้สึกกังวลยิ่งนัก เพราะเกรงว่าพวกเราคงจะไม่ได้รับการจัดสรรปันส่วนที่ยุติธรรมเป็นแน่ ดูจากอาหารที่พวกเขานำมาให้พวกเราเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกันกับอาหารของสุนัขเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสินเดิมของท่านคงต้องหมดลงอย่างแน่นอน"
"ใช่เจ้าค่ะแม้นแต่เบี้ยหวัดที่ท่านควรจะได้รับในแต่ละเดือน ในฐานะฮูหยินเอก พวกเขายังไม่ยอมจ่ายมันให้กับท่านเลย ฮูหยินรองผู้นั้นคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด เหตุใดถึงได้รังแกท่านมากมายถึงเพียงนี้ เราเอาเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านแม่ทัพดีหรือไม่เจ้าคะ"
เหอเพ่ยเจินหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับเดินไปลูบศีรษะของสาวใช้ทั้งสองอย่างเอ็นดู
"เด็กหนอเด็ก เหตุใดความคิดพวกเจ้าถึงได้ตื้นเขินถึงเพียงนี้ ใครว่าคำสั่งนี้เป็นของหลี่จื่อเหยาเล่า ด้วยอำนาจของนางมีหรือจะกล้า ทำเช่นนี้ เกรงว่าผู้ที่เป็นคนสั่งการทั้งหมด คงจะเป็นท่านแม่ทัพของพวกเจ้านั่นแหละ"
"ฮูหยิน….!!!" ทั้งหลิวอี้และหลิวอิง ต่างก็อุทานออกมาพร้อมกันอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
เหอเพ่ยเจินที่เห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับถามคำถามพวกนางออกไป "ไม่เชื่อหรือ…? "
เมื่อเห็นถึงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อได้ลงของสาวใช้ทั้ง 2 นางจึงได้ถอนหายใจและอธิบายให้กับพวกนางได้ทราบ "พวกเจ้าฟังนะ ทั้งของเหลือที่เป็นอาหารสุนัขเหล่านี้ ทั้งเรือนร้างที่แทบจะอยู่อาศัยไม่ได้ และยังเบี้ยหวัดที่ข้าควรจะได้รับ ในแต่ละเดือนนั้นอีก จริงอยู่ว่าผู้ที่เป็นคนจัดการเรือนทั้งหมดคือหลี่จื่อเหยา แต่ด้วยอำนาจของนางที่มีอยู่ในตอนนี้ จะกล้ามาต่อกรกับท่านพ่อที่เป็นถึงอัครเสนาบดีได้เช่นไร หากเกิดอะไรขึ้นนางคงรับไม่ไหว นางจะต้องหวาดกลัวว่าข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านพ่ออย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่นางทำได้คือต้องมีผู้หนุนหลังและคนผู้นั้นจะต้องสามารถปกป้องนางได้ แล้วเจ้าคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครได้เล่า"
"ฮูหยินเมื่อท่านรู้แจ้งแก่ใจถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงยังทนรับความอัปยศอดสูนี้อยู่อีก มิสู้ท่านกลับไปหาท่านอัครเสนาบดี เพื่อไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างที่เคยเป็นไม่ดีกว่าหรือ"
"หลิวอี้ข้าพึ่งตกแต่ง เข้ามายังตระกูลเซี่ยได้ไม่ถึงเดือน เจ้าลองคิดดูหากว่าข้าจะกลับไป เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของท่านพ่อจะเสื่อมเสียมากเพียงใด ข้าไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูที่ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลหรอกนะ"
"แล้วท่านจะยอมให้พวกเขาโขกสับท่านอยู่เช่นนี้อย่างนั้นหรือ" เป็นหลิวอิงที่กล่าวออกมาแทน
"ไม่หรอก… ข้ายังมีเรื่องสนุกที่จะตอบแทนพวกเขาอีกเยอะ" เหอเพ่ยเจิน ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข เมื่อนึกไปถึงแผนการที่ตนเองได้วางเอาไว้
ในขณะที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็ได้มีบ่าวจากเรือนใหญ่มาแจ้งข่าวให้กับนางได้ทราบ
"ท่านแม่ทัพให้มาแจ้งว่า อีกสามวันข้างหน้า จะมีงานเลี้ยงฉลองขึ้นในวังหลวง เพื่อประกาศความดีความชอบที่ท่านแม่ทัพได้ปราบชนเผ่าหมาน และท่านกับฮูหยินรองจะต้องไปร่วมงาน จึงได้ให้ข้ามาแจ้งให้กับท่านได้รับทราบ"
"เหลือเวลาอีกแค่เพียง 3 วันเช่นนี้ฮูหยินจะเตรียมตัวทันได้อย่างไร เหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้พึ่งมาบอก" หลิวอี้ถามบ่าวผู้นั้นออกไปอย่างไม่พอใจนัก
แต่บ่าวรับใช้ผู้นั้นกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวกับตำแหน่งฮูหยินเอกของเหอเพ่ยเจินแต่อย่างใด ตรงกันข้ามน้ำเสียงของเขาที่ตอบกลับมายังเต็มไปด้วยความเย็นชาอีกด้วย "หากพวกเจ้าไม่พอใจ ก็ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเองก็แล้วกัน"
เพียงบ่าวผู้นั้นกล่าวจบเขาก็เดินจากไป โดยไร้ซึ่งท่าทีนอบน้อม ทั้งหลิวอี้และหลิวอิงต่างก็เดือดดาลด้วยความไม่พอใจ
"ฮูหยินดูสิเจ้าค่ะ แม้แต่บ่าวชั้นต่ำ ยังกล้าแสดงท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าท่าน แล้วยังจะเรื่องงานเลี้ยงในวังนั่นอีก นี่ท่านแม่ทัพคิดจะกลั่นแกล้งท่านหรืออย่างไร เหลือเวลาอีกแค่เพียง 3 วัน พวกเราจะเตรียมตัวทันได้อย่างไรเจ้าคะ"
เหอเพ่ยเจินเหมือนหยุดใช้ความคิดบางอย่าง ในโลกก่อนถึงนางจะเป็นคนยากไร้แต่ก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรให้ตนเองดูดี และในครั้งนี้ถึงแม้นว่าจะมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 3 วัน แต่นางจะทำให้คนพวกนั้น ไม่สามารถมาดูถูกนางได้
และแน่นอนว่า สตรีสูงศักดิ์อย่างเหอเพ่ยเจินจะต้องมีชุดที่เอาไว้ออกงานมากมายไม่แพ้กัน เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงได้สั่งการหลิวอี้และหลิวอิงออกไป "พวกเจ้าไปนำชุดที่ข้ามีออกมาให้ข้าดูเสีย ว่ามีชุดไหนบ้างที่พอจะสามารถออกงานได้"
"ฮูหยินแต่ชุดเหล่านั้นเป็นชุดที่ท่านเคยใส่ออกงานไปแล้ว และชุดที่พอมีอยู่ในตอนนี้ ก็หาได้สมเกียรติของฮูหยินเอกท่านแม่ทัพแต่อย่างใด ไม่สู้เรารีบออกไปจ้างช่างเพื่อตัดเย็บชุดใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ"
"เจ้าคิดว่าตอนนี้จะยังเหลือช่างใดที่ยังพอมีเวลาว่างมาตัดเย็บชุดให้เราได้อีก คนสูงศักดิ์ถูกเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงวังหลวงครั้งนี้มากมาย แน่นอนว่าเหล่าฮูหยินจะต้องว่าจ้างช่างของตนเองออกไปแล้ว และเหลือเวลาอีกแค่เพียง 3 วันชุดที่ออกมาก็คงจะไม่สวยงามนัก เจ้าเชื่อใจข้าเถิด ในวันนั้นข้าย่อมต้องทำให้ตนเองโดดเด่นให้สมกับฐานะฮูหยินเอกที่เป็นสตรีงดงามอันดับ 1 ของเมืองหลวงอย่างแน่นอน"
หลิวอี้และหลิวอิง ถึงได้ไปนำชุดที่มีอยู่ในหีบออกมาให้กับนางได้เลือก
เหอเพ่ยเจินทอดมองชุดที่ตนเองมีทั้งหมดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ "งดงามนักเนื้อผ้าก็เป็นผ้าไหมชั้นดีหายากทั้งสิ้นสมแล้วที่เป็นถึงบุตรีคนโปรดของอัครเสนาบดี"
เหอเพ่ยเจินหยิบชุดเหล่านั้นขึ้นมาพร้อมกับกล่าวชื่นชมออกไปอย่างอดไม่อยู่
"มาเถิดเรามาดัดแปลง ชุดเหล่านี้กันเถิด"
"ฮูหยินท่านทราบวิธีตัดเย็บชุดด้วยหรือเจ้าคะ" แน่นอนว่าทั้งหลิวอี้และหลิวอิงต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะคุณหนูของพวกนางไม่เคยหยิบจับงานพวกนี้มาก่อน ถึงแม้นมารดาของนางจะคะยั้นคะยอ และสั่งสอนให้หญิงสาวเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากเพียงไร แต่นางก็ทำเพียงเรียนรู้แต่ก็ใช่ว่าจะออกมาดีนัก
เมื่อได้ยินเหอเพ่ยเจินกล่าวว่าจะดัดแปลงชุดด้วยตนเองเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่สาวใช้ทั้งสองจะรู้สึกแปลกใจ
แต่ไม่รอให้สาวใช้ทั้งสองสงสัยได้นาน เหอเพ่ยเจินลงมือหยิบจับชุดมาดัดแปลงอย่างคล่องแคล่วชุดที่นางเลือกใส่ไปงานเป็นชุดสีขาว ลายกลีบบัวให้ความรู้สึกสบายตา แต่ดูสูงส่ง เนื้อผ้าเป็นผ้าไหมชั้นดี ที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ และชุดนี้ยังไม่ได้ถูกนำมาใส่เลยสักครั้ง เนื่องจากมันเป็นสีขาว เหอเพ่ยเจินเจ้าของร่างจึงไม่รู้สึกชอบพอมันเท่าไหร่นัก เพราะปกติแล้วนางเป็นสตรีที่ชอบสวมใส่อาภรณ์สีฉูดฉาด
เหอเพ่ยเจินใช้เวลาดัดแปลงชุดอยู่หนึ่งวันถึงได้แล้วเสร็จ นางจึงได้ให้สาวใช้ของตนเอง นำชุดนั้นไปเก็บไว้ แต่ในขณะที่นางกำลังจะนำชุดที่เหลือไปเก็บตาม ก็ได้มีผู้มาเยือนเรือนของนางอีกแล้ว
"ถึงขนาดต้องนำชุดเก่ามาซ่อมแซมเลยหรือ นี่พี่หญิงตกต่ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เสียงเย้ยหยันของสตรีผู้นั้นดังขึ้น เรียกความสนใจของสตรีทั้งสามได้เป็นอย่างดี
เหอเพ่ยเจินจ้องมองไปที่ผู้มาใหม่ ซึ่งหลี่จื่อเหยาในตอนนี้ได้แต่งกายงดงามอาภรณ์ที่นางสวมใส่เป็นเนื้อผ้าชั้นดี บ่งบอกถึงความใส่ใจ ที่นางได้รับจากสามี
ซึ่งแต่งต่างกันกับเหอเพ่ยเจินอย่างสิ้นเชิง ที่ตอนนี้หญิงสาวแต่งกายอย่างเรียบง่าย มิหนำซ้ำผมที่นางควรรวบขึ้นเหมือนสตรีที่ แต่งงานแล้ว นางก็หาได้ทำเช่นนั้น หญิงสาวเพียงมัดมันขึ้นครึ่งหนึ่งและปล่อยอีกครึ่งหนึ่งให้สยายลงมาเต็มแผ่นหลัง เพราะไม่ต้องการที่จะ ให้มันยุ่งยาก ร้อยวันพันปีก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมาเยี่ยมเยียนนางอยู่แล้ว ใบหน้าก็หาได้ตกแต่งจนหนาเตอะคล้ายกับสตรีเบื้องหน้าแต่อย่างใด นางเพียงใช้เครื่องประทินโฉมตกแต่งเพียงเล็กน้อย ดูบางเบาแต่ยังคงความงดงามสมวัย เมื่อเทียบกันกับสตรีเบื้องหน้าถือว่าเหอเพ่ยเจิน งดงามกว่าสตรีผู้นั้นอยู่หลายส่วน
"เจ้าคิดจะมาเยี่ยมเยียนหรือต้องการมากดข่มข้าอย่างนั้นหรือ ถึงได้แต่งกายเต็มยศมาถึงเพียงนี้"
มาถึงตรงนี้เพื่อเหอเพ่ยเจินก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อมค้อมกับสตรีเบื้องหน้า เพราะการปะทะกันครั้งก่อนของพวกนาง ก็บ่งบอกถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
"เหตุใดพี่หญิงถึงได้กล่าวกับน้องเช่นนี้เล่า น้องก็เพียงเป็นห่วงกลัวว่าท่านจะจัดเตรียมชุดที่ไปร่วมงานกับท่านพี่ไม่ทัน จึงได้หวังดีนำชุดเหลือที่ท่านพี่ได้นำมาให้เลือกก่อนหน้านี้มาให้ท่าน"
"ชุดเหลือเลือกจากเจ้านะหรือ" เหอเพ่ยเจินทอดมองไปที่ชุดเหล่านั้น ที่สาวใช้ของนางได้ถือมาด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก
"หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ขอขอบใจเจ้ามาก แต่เอาชุดของเจ้ากลับไปเถิด ชุดที่จะใส่นั้นข้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าอย่าได้เป็นห่วง"
เหอเพ่ยเจินประสานสายตากับหลี่จื่อเหยาตรงๆ ก่อนที่หลี่จื่อเหยาจะหัวเราะออกมา
"หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วข้าเพียงแต่กลัวว่าท่านจะไม่มีเวลาเตรียมชุดให้สมฐานะของฮูหยินเอกของท่านพี่ก็เพียงเท่านั้น"
"เจ้าอย่าได้ลืมว่าก่อนหน้านี้ข้าคือบุตรีของผู้ใดเหตุใดด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ จะไม่สามารถจัดการได้" เหอเพ่ยเจินเอง ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวข่มอีกฝ่ายออกไป
"ข้าย่อมไม่ลืมแน่ว่าท่านเคยเป็นสตรีที่ครั้งหนึ่ง เคยได้ทุกอย่างอย่างที่ตนเองปรารถนา แต่เมื่อหันมาดูตอนนี้เล่า แม้แต่เรือนที่อยู่…"หลี่จื่อเหยาเว้นคำกล่าวของตนเองเอาไว้พร้อมกับปรายตามองเรือนของเหอเพ่ยเจินไปอย่างเหยียดหยัน
"ก็ไม่ต่างกันกับเรือนขอทานข้างถนน ไม่สมกับฐานะของผู้เป็นฮูหยินเอก ซึ่งเป็นคุณหนูบุตรีของท่านอัครเสนาบดีเลยนะเจ้าค่ะ สิ่งนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าแม้แต่เพียงความโปรดปรานอันน้อยนิดท่านพี่ก็ไม่สามารถหยิบยื่นมันให้ท่านได้"