ตอนที่ 10 ในฝัน 1

3761 Words
คอนโดหรูใจกลางเมือง ภายในห้องพัก ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมเสียงคำรามของคนภายในห้อง บ่งบอกได้ว่าอารมณ์ในยามนี้ฉุนเฉียวมากมายเพียงใด แต่ที่แน่ๆ แม้แต่ผีเสื้อยังไม่กล้าบินเข้าไปเกาะกระจกหน้าต่างเพื่อสังเกตการณ์ก็ว่าได้ “นี่พวกแกกำลังจะบอกข้าว่า ไอ้พิการนอนหลับเหมือนเจ้าชายนิทรา จู่ๆ มันก็หายตัวออกไปจากโรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอ แล้วพวกแกมัวไปมุดหัวทำอะไรอยู่ หายหัวไปไหนกันหมดไม่รู้แม้กระทั่งไอ้พิการนั่นมันหายตัวจากห้อง ICU ไปได้อย่างไง โธ่โว้ย!” “พวกเราทุกคนงงมากเลยครับนาย ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดแล้วก็ปกติดีทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าทำไมไอ้แก่นั่นมันถึงหายตัวออกไปจากโรงพยาบาลได้” ลูกสมุนกล่าวรายงานเจ้านาย “แสดงว่าจะต้องมีคนมาช่วยเหลือมันออกจากโรงพยาบาล ใครจะไปช่วยเหลือมันได้ ไอ้เจตน์ลูกชายมันก็จัดการให้มันไปลงนรกแล้ว ใครมาช่วยพ่อของมันไปได้วะ มันต้องเป็นมืออาชีพแน่ๆ หาไม่แล้วมันจะเร้นร่างไอ้แก่นั้นหายไปจากสายตาของพวกแกที่มีอยู่เต็มโรงพยาบาลไปได้อย่างไงกัน! บัดซบจริงๆ”ตัววายร้ายก่นด่าลูกสมุนอย่างหัวเสีย เมื่อได้ยินข่าวรายงานเช่นนั้น “นี่ถ้าไอ้แก่นั่นเกิดอาการดีขึ้น มันจะทำให้ข้าต้องเข้าไปนอนกินข้าวแดงในคุก โธ่โว้ย! ทำไมไม่ฆ่ามันให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยวะ ทำไมถึงปล่อยให้ไอ้แก่มันมีชีวิตรอดจนมีคนมาช่วยมันออกไปได้ ทำไมกัน!” หนุ่มใหญ่ผู้เป็นนายโวยวายฉุนเฉียวเป็นการใหญ่ ตู้ด ตู้ด ตู้ด เสียงโทรศัพท์มือถือของหนุ่มใหญ่ผู้เป็นนายดังขัดจังหวะ “ใครวะ! โทรมาเวลานี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญละก็มึงตายแน่” หนุ่มใหญ่สบถเสียงฉุนเฉียว ครั้นเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิจารณาเลขหมายที่โทรเข้า หนุ่มใหญ่เจ้าของเครื่องหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีเมื่อเห็นเลขหมายโทรเข้า “รู้ได้อย่างไงวะว่าเกิดเรื่อง มีใครจุดธูปรายงานไปอย่างนั้นเหรอ เจ้าหล่อนถึงโทรมา” หนุ่มใหญ่กล่าวสบถ พลางปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ ก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์ “สวัสดีจ้ะที่รัก มีอะไรอย่างนั้นเหรอถึงโทรหาผมได้” “ก็มีนะสิ! ลูกน้องคุณยังไม่ได้รายงานให้คุณรู้อย่างนั้นเหรอ ว่าไอ้แก่คมกริชมันตายแล้ว! ตายตอนรุ่งสางวันนี้ โรงพยาบาลโทรมาบอกฉันเมื่อกี้นี้เอง” “หา! ไอ้แก่พิการมันตายแล้วเหรอ...มันตายที่ไหน!” หนุ่มใหญ่เอ่ยถามกลับไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย ก่อนจะหันกลับไปมองลูกน้องของเขาที่ยืนเรียงหน้าสลอนตรงหน้า “เอ้า! คุณก็ถามแปลกๆ มันก็ตายที่โรงพยาบาลนะสิ พอมันตายโรงพยาบาลก็เอาศพมันไปไว้ที่ห้องดับจิตแล้ว เห็นบอกว่าไอ้แก่มันบริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ ทางโรงพยาบาลจึงต้องดูแลศพไอ้แก่เป็นอย่างดี” “ออ...เป็นอย่างนี้เอง...ไอ้เราก็กำลังสงสัยว่าไอ้แก่มันหายไปได้อย่างไง” หนุ่มใหญ่เริ่มจะเข้าใจเหตุการณ์ ก่อนจะได้ยินปลายสายสักถามกลับมา “พวกคุณสงสัยว่าไอ้แก่มันหายไปอย่างนั้นเหรอ แสดงว่าลูกน้องคุณมันไม่อัพเดทข่าวสารเลยล่ะสิ เลี้ยงเสียข้าวสุกสะเปล่า” ปลายสายต่อว่าเสียงขุ่น “ไม่ต้องสนใจเรื่องลูกน้องผมหรอกมารตี เอาเป็นว่าผมจะให้ลูกน้องไปติดตามความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลว่าไอ้แก่มันตายอย่างไง ตายเมื่อไร และถ้ามันบริจาคร่างกายก็ยิ่งดีสำหรับเรา จะได้ไม่ต้องทำพิธีศพของมันให้สิ้นเปลือง ได้เรื่องอย่างไงเดี๋ยวผมส่งข่าวให้ที่รักรู้นะจ๊ะ แค่นี้ก่อนนะ รักนะจ๊ะที่รัก” หนุ่มใหญ่ส่งคำหวานให้คู่ควงหวานจ๋อย และทันทีที่วางสายหนุ่มใหญ่หันมาเล่นงานลูกน้องของเขาทันที “เป็นอย่างไงพวกแก ไอ้พวกไม่อัพเดทข่าวสาร แสดงว่าวันๆ พวกมึงเอาแต่เฝ้าจริงๆ ไม่รู้จักใช้หัวสมอง ใช้ความคิดว่าจะต้องทำอย่างไงต่อไป แค่ไม่เห็นไอ้แก่ก็สรุปว่ามันหายออกไปจากโรงพยาบาล และตอนนี้เป็นยังไงคุณมารตีโทรมาบอกฉันว่าไอ้แก่มันตายแล้วตอนรุ่งสาง พวกแกไปเลยนะ! ไปสอบถามข่าวการตายของไอ้แก่มาให้อย่างละเอียด อย่าให้พลาดอีกนะมึง อย่าเอาข่าวมั่วมารายงานอีก ไปเลยไป!” หนุ่มใหญ่ตะโกนไล่ส่งลูกสมุน เล่นเอาลูกสมุนตรงหน้ารีบลนลานออกไปทำตามคำสั่งทันที “พวกโง่! แผนเกือบเสียแล้วเพราะมีลูกน้องโง่ดักดาน แต่ก็ถือว่าโชคเข้าข้าง สุดท้ายไอ้แก่มันก็ตาย ไม่มีใครสงสัยว่าใครเป็นคนให้มันเป็นแบบนี้ คราวนี้ก็ถึงยุคของผู้บริหารรุ่นใหม่อย่างเราเสียที ไม่มีไอ้แก่! ไม่มีไอ้เจตน์! ก็เหลือแค่เราเท่านั้น กรรมการทุกคนมีหรือจะปฏิเสธความสามารถของเราไปได้ หึหึหึ” หนุ่มใหญ่จอมบงการหัวเราะเบาๆ ในลำคอ สิ่งที่เขาเฝ้ารอคอยและความสำเร็จกำลังจะตกมาอยู่ในเงื้อมมือของเขาอีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น ณ คฤหาสน์เดชวโรดม เสียงทรัมเป็ตดังแว่วออกมาจากห้องนอนใหญ่ของผู้เป็นเจ้านายสูงสุดของบ้าน เสียงเพลงหวานซึ้ง ตรึงใจ อย่าว่าแต่คนที่ได้ฟังเลย แม้แต่ผียังเพลิดเพลินกับเสียงทรัมเป็ตที่บรรเลงได้หวานดั่งต้องมนต์สะกด ซึ่งอลันกำลังเล่นอย่างคล่องแคล่ว เสียงขับกล่อมจากทรัมเป็ตที่ถูกบรรเลงจากมืออาชีพของอลัน หยุดตราตรึงทุกอย่างไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว ดวงวิญญาณของเจตน์นั่งมองพี่ชายฝาแฝดที่เป่าทรัมเป็ตอย่างชำนาญ ฝีมือการเล่นระดับมืออาชีพก็ว่าได้ ดวงวิญญาณของชายหนุ่มนั่งอ้าปากหวอด้วยความทึ่งในความสามารถของพี่ชาย “โห! พี่ชายเก่งโคตรเวอร์เลย” ดวงวิญญาณรำพึงอย่างชื่นชมพร้อมเสียงเพลงจากทรัมเป็ตจบลง แปะ แปะ แปะ..วี้ดวิ้ว! เจตน์ตบมือเกรียวกราวพร้อมเป่าปากวี้ดวิ้ว ด้วยความชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่ “เอ้า เอ้า เอ้า เป่าปาก ตบมือได้ด้วยเหรอเจตน์” อลันถามกลับไปด้วยความสงสัยกับกิริยาอาการของดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝด “อ้าวพี่อลัน ถึงผมจะเป็นแค่ดวงวิญญาณ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะใช้ชีวิตหรือทำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้ ผมสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนตอนครั้งที่มีชีวิตอยู่ได้หมดทุกอย่างและจะเพิ่มมากขึ้นถ้าผมมีบารมีและพลังมากพอ” ดวงวิญญาณเจตน์กล่าวอธิบาย “อ๋อ! เออดี จะได้ช่วยพี่ทำงาน เดี๋ยวจะมีเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับบริษัททั้งหมดมาส่งที่บ้าน แกตรวจสอบและอ่านให้ดี เพราะมันเป็นสัญญาที่พี่ทำให้เดชวโรดมไม่ต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของใคร ไม่มีใครหน้าไหนสามารถทำอะไรแกกับคุณพ่อได้อีกต่อไป” อลันเอ่ยบอกน้องชาย “หมายความว่าไงพี่อลัน พี่กำลังบอกผมว่ากิจการทุกอย่างของเดชวโรดมและบริษัทในเครือ อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาจมูกใครเลยอย่างนั้นเหรอ” เจตน์เอ่ยถามพี่ชายด้วยความดีใจระคนแปลกใจ “ถูกต้อง ฉันจะทำให้เดชวโรดมหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งนับจากนี้ต่อไป คือ AMS จะต้องยิ่งใหญ่ในระดับแนวหน้าของประเทศไทย และพวกที่มันฆ่าแกและทำร้ายคุณพ่อมันจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมแน่นอน” อลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบแฝงเร้นความน่าสะพรึงกลัว ซึ่งดวงวิญญาณของน้องชายฝาแฝดสัมผัสได้ “บรื้ออออ! น่ากลัว...พี่ชายน่ากลัวมากเลย รังสีอำมหิตจัดเต็ม” ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยตามความรู้สึกนึกคิดของเขา คำกล่าวตรงไปตรงมาตามความรู้สึกนึกคิดของน้องชายฝาแฝดทำให้อลันปล่อยเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด เป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดในรอบ 10 ปี ของเขาก็ว่าได้ และเสียงหัวเราะดังกล่าวทำให้ดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดถึงกับออกอาการเหวอ เมื่อพี่ชายของเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างต่อเนื่อง “พี่อลันเป็นอะไร ผมพูดอะไรผิดเหรอพี่ชาย” ดวงวิญญาณเจตน์ถามออกไปด้วยความสงสัย ก่อนจะได้ยินคำตอบของพี่ชายเอ่ยตอบกลับมา “เออวะ...แกพูดผิดมากๆ เลยไอ้น้องชาย ตกลงตอนนี้แกเป็นอะไรกันแน่ แกทำท่าทางกลัวพี่ชนิดขนลุกขนพอง คนที่จะต้องกลัวควรจะเป็นพี่ที่กลัวแกมากกว่า นี่อะไรแกดันมากลัวพี่สะงั้น ถามจริงๆ เถอะแกทำงานช่วยคุณพ่ออย่างไงเจ้าเจตน์ ผู้บริหารระดับสูงต้องเด็ดขาดและต้องอำมหิตกับบุคคลที่ไม่พึงประสงค์มันถึงจะเรียกว่าผู้บริหาร” คำกล่าวของพี่ชายฝาแฝดเล่นเอาคุณน้องผี นั่งนิ่งไม่ขยับ ไม่ตอบ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพี่ชายฝาแฝดของเขาที่ยืนเหมือนยักษ์ตีหน้าถมึงทึงตรงหน้า “เอ้า! ทำไมเงียบล่ะเจ้าเจตน์ พี่ถามนะได้ยินหรือเปล่า” อลันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “เอ่อ...ถ้าจะบอกว่าผมเข้ามาบริหารหรือเปล่า คือผมไม่เคยเข้าบริษัทของเราเลยพี่ชาย มีแต่คุณพ่อที่ต้องดูแลบริหาร ตอนผมยังไม่ตายผมเกลียดการเข้าประชุมและเข้าบริษัทฯ เป็นชีวิตจิตใจ ผมก็เลยหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปดีกว่า ในนั้นมีแต่พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด จนคุณพ่อตัดสินใจบอกกับกรรมการบอร์ดว่าผมสุขภาพไม่ดี รักษาตัวอยู่จึงไม่สะดวกที่จะเข้าบริษัทได้” เจตน์เอ่ยตอบพี่ชายกลับไปตามความเป็นจริง อลันยืนฟังด้วยความอึ้งกับพฤติกรรมของน้องชายฝาแฝด เขาพอจะรู้แล้วว่าน้องชายของเขาทำไมถึงพลาดท่าเสียรู้คนจนทำให้ตัวเองต้องจบชีวิต “แล้วแกชอบทำอะไรมากที่สุดเจ้าเจตน์” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางยืนกอดอกตั้งใจฟังน้องชายฝาแฝดของเขา “สิ่งที่ผมชอบมากที่สุด คือทำอาหาร ผมชอบทำอาหารทุกชนิด ชอบทำขนม อยากมีร้านอาหารดังๆ ทำอาหารอร่อยๆ ให้คนได้กิน ทำขนมให้ใครๆ ได้ชิม เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดเลยพี่ชาย” ดวงวิญญาณของเจตน์เอ่ยตอบพี่ชายของเขากลับไป “ตกลงน้องชายเรามันเป็นเกย์หรือกะเทยอย่างนั้นเหรอวะ” อลันรำพึงอยู่ภายในใจ แต่เสียงรำพึงของเขาดวงวิญญาณของเจตน์ก็สามารถรับรู้ได้ “พี่ชายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะว่าผมเป็นเกย์หรือกะเทย ผมไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างตามที่พี่คิดเลยแม้แต่น้อย” ดวงวิญญาณของเจตน์ปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ถ้าไม่ใช่แล้วแกเป็นอะไรวะ แกนุ่มนิ่มเกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายแท้ๆ แมนๆ เขามีลักษณะแบบนี้หรอกนะ” อลันพูดพลางสังเกตดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดอย่างถี่ถ้วน “พี่ชาย...ไอ้การที่ผู้ชายชอบทำอาหาร ทำขนม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเกย์ เป็นกะเทย เป็นตุ๊ด แต๋วแตกเสียเมื่อไรกันเล่า ผู้ชายที่ชอบทำอาหาร เป็นพ่อครัว เป็นเชฟชื่อดังมีเยอะแยะถมถืดไป ลักษณะผู้ชายแบบผม เขาเรียกว่าเป็นผู้ชายอ่อนโยน มีอารมณ์โรแมนติกและสุนทรีย์เยอะ” เจตน์อธิบายพี่ชายให้เข้าใจเสียยืดยาว ก่อนจะนั่งนิ่งๆ ไม่ปริปากพูดอะไรอีก เมื่อพี่ชายของเขายืนจ้องมองเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง “ถ้างั้นพี่มีคำถามจะถามแก และแกต้องตอบความเป็นจริง ห้ามมุสาเด็ดขาด วิญญาณของแกกำลังบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีพลังและบารมีอยู่ไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นถึงแกจะเป็นแค่ดวงวิญญาณก็ห้ามผิดศีลเข้าใจไหม” อลันมองหน้าน้องชายเขม็ง ก่อนจะเอ่ยสำทับเริ่มคำถามขึ้นทันที “ผู้หญิงในสเปคแกมีไหม” อลันเอ่ยถามคำถามแรก “ไม่มีเลย” เจตน์เอ่ยตอบตามความเป็นจริง “ถ้ามีผู้หญิงให้ดอกไม้แกรับไหม” “ไม่รับหรอก” “ถ้ามีผู้หญิงขอให้แกจูบเขา แกจะจูบไหม” “ไม่จูบ” “ถ้ามีผู้หญิงมาให้ท่าแกถึงเตียงนอน แกจะนอนกับเขาไหม” “ไม่นอน” “ถ้ามีผู้หญิงขอเดท แกจะรับเดทไหม” “ไม่รับเสียเวลา” “ถ้ามีผู้หญิงร้องไห้ซบอกแก แกจะปลอบไหม” “ไม่รู้สิ ปลอบไม่เป็น” “เออ แกมันตายด้านวะ เย็นชากับผู้หญิง ไม่มีความรู้สึกเกิดกับผู้หญิงเลย เพราะทุกข้อที่พี่ถาม ถ้าเป็นพี่ไม่พลาด” อลันพูดพลางส่ายหน้าไปมาพร้อมเสียงโวยวายของน้องชายฝาแฝดดังสวนขึ้นมาทันที “อ้าวพี่ชายด่วนสรุปแบบนี้ได้อย่างไง ก็ผมไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงให้ผมรู้สึกได้อย่างไงกันเล่า” เจตน์บ่นพึมพำ “งั้นฉันมีอีกคำถามที่จะถามแก” อลันเอ่ยบอก “พี่ชายจะถามอะไรมากกว่านี้ก็ได้ ถามมาเลย” น้องชายฝาแฝดท้าพี่ชาย “ถ้างั้นก็ดี ฟังนะแกมีผู้ชายในอุดมคติไหม” “มีแน่นอน…เฮ้ย!” เสียงเจตน์ร้องโวยวาย “นั่นไง” อลันพูดพร้อมดีดหัวแม่นิ้วโป้งของเขาทันที ราวกับว่าทำแจ๊คพ๊อตแตก “ฉันรู้แล้วว่าแกมีจิตเสน่หากับผู้ชาย เพียงแต่แกเก็บกดพยายามไม่แสดงออกให้ใครๆ รู้ และแกก็ยังไม่แน่ใจตัวเองด้วยว่าจริงๆ แล้วแกชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งความรู้สึกของแกมันมีทั้งต่อต้านและอยากที่จะปลดปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึกที่แท้จริงของแก” อลันบอกกับน้องชายฝาแฝดของเขาเสียยืดยาว ทำเอาดวงวิญญาณของน้องชายนั่งนิ่งงันไปเลยทีเดียว ก่อนจะเอ่ยถามกลับไป “พี่ชายจบจิตวิทยามาเหรอไง ถึงอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนและดวงวิญญาณอย่างผมได้” “พี่เรียนจบระดับดอกเตอร์มานะไอ้น้องชาย เคยเรียนเอกทางด้านจิตวิทยาสมัยทำปริญญาโท ทำไมจะไม่สามารถสรุปได้ว่า ลึกๆ แล้วแกเป็นอะไรกันแน่ตอนที่แกยังมีชีวิตอยู่ แต่จะว่าไปก็เป็นการดี ทำให้พี่ไม่ต้องเหนื่อยมากขึ้นไปกว่านี้ เพราะการที่แกมีพฤติกรรมแบบนี้ เป็นการง่ายสำหรับพี่ที่จะเข้าไปในบริษัทฯ โดยไม่มีใครสงสัย” อลันเอ่ยบอกน้องชาย “แต่มีคนหนึ่งที่รู้จักผมดี และเห็นผมอยู่ตลอดเวลา” เสียงของน้องชายฝาแฝดเอ่ยบอก และนั่นทำให้อลันยกมือขึ้นกอดอกทันที “ใครที่มันเห็นแก” อลันเอ่ยถามเสียงเย็นยะเยียบ “คุณมารตี ภรรยาใหม่ของคุณพ่อ” เจตน์เอ่ยตอบพี่ชาย ร่างสูงใหญ่ของอลันยืนกอดอกมองน้องชายฝาแฝดของเขาพลางใช้ความคิดอย่างรอบคอบ พร้อมนึกย้อนถึงรายงานจากบอดี้การ์ดที่ส่งให้สายข่าวทางเมืองไทยสืบประวัติความเป็นไปของทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับ เดชวโรดม รูปถ่ายและประวัติของผู้หญิงที่ชื่อนางสาวมารตี ไกรสุริยา ก่อนจะมาเปลี่ยนนามสกุล เป็นเดชวโรดม เมื่อเธอแต่งงานกับพ่อแท้ๆ ของเขา “ผู้หญิงคนนี้อายุน้อยกว่าคุณพ่อ 2 รอบ แถมยังอายุน้อยกว่าเราสองคน 3 ปี ผู้หญิงอายุแค่ 28 เอาความสาวมาทิ้งกับคนแก่อายุ 60 กว่าๆ แทนที่จะสนใจหนุ่มๆ รุ่นเดียวกันกับเธอ มันแปลกเกินไปไหม ถ้าจะอ้างว่าเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสพานพบมาให้พบเจอกำหนดให้เราเป็นคู่กัน สมัยนี้ไม่มีแล้วนอกจากผลประโยชน์อย่างเดียว” อลันเอ่ยตามสัญชาตญาณของนักธุรกิจที่เจนประสบการณ์มานักต่อนัก “ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเห็นแกครั้งล่าสุดเมื่อไร” อลันเอ่ยถามน้องชายฝาแฝด เจตน์นั่งทบทวนความทรงจำสมัยเขายังมีชีวิตอยู่ ถึงระยะเวลาที่แม่เลี้ยงสาวของเขาไม่ได้พบเจอหน้ากันเป็นระยะเวลานานมากน้อยเพียงใด “ประมาณเกือบ 6 เดือนแล้วล่ะพี่ชายที่ไม่เห็นหน้ากันเลย ผมไม่อยากอยู่บ้านเดียวกับเขา ก็เลยย้ายออกมาอยู่คอนโดที่ซื้อไว้แถวริมแม่น้ำ รายนั้นบ้าซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้า ต้องแพงที่สุด ดีที่สุด ดีนะที่คุณพ่อไม่บ้าจี้หลงเมียสาว แต่ตรงกันข้ามคุณพ่อของเราจะเอ็ดทุกครั้งที่เขาซื้อของแบบบ้าคลั่ง” “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ” อลันรำพึงด้วยความแปลกใจ “ไม่รู้เหมือนกันพี่ชาย แต่จะว่าไปคุณพ่อก็แปลก แต่งงานกับคุณมารตีก็จริงแต่คุณพ่อแยกห้องนอนคนละห้องตั้งแต่คืนแรกที่แต่งงานเลย” “เออ...แปลก...ทำไมคุณพ่อถึงทำแบบนั้น แสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่นอน คุณพ่อเท่านั้นที่จะให้คำตอบเราสองคนได้” อลันเอ่ยบอกน้องชาย “แต่ตอนนี้คุณพ่ออาการเพียบหนัก บางอย่างบอกผมว่าพวกที่บงการฆ่าผมอยู่เบื้องหลังอาการป่วยของคุณพ่อด้วยนะพี่อลัน และยังอยู่เบื้องหลังการโอนถ่ายอำนาจบริหารออกจากตระกูลเดชวโรดม เปลี่ยนมือไปเป็นของฝ่ายตรงข้ามเราอีกนะพี่ชาย” ดวงวิญญาณน้องชายฝาแฝดรายงานละเอียดถี่ยิบ “อะไรนะ!” อลันขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มยืนใช้ความคิดเขามีความรู้สึกว่าครอบครัวทางเมืองไทยของเขา มีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนแฝงปริศนาต้องใช้ความคิดเพื่อตีโจทย์ให้แตกตลอดเวลา และมีบางอย่างที่เขายังไม่รู้เสียด้วย “ไอ้น้องชายแกรู้อะไรนอกเหนือจากนี้อีกบ้างไหม ว่าตระกูลเดชวโรดมมีศัตรูที่ไหนบ้าง” อลันเอ่ยถามน้องชายฝาแฝดด้วยความอยากรู้ ดวงวิญญาณของเจตน์เริ่มทบทวนความทรงจำสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ว่าเคยได้ยินเรื่องราวหรือการบอกเล่าศัตรูคู่อาฆาตของเดชวโรดมหรือเปล่า ก่อนจะค่อยรื้อฟื้นความทรงจำตอบคำถามพี่ชายกลับไป “ผมเคยฟังคุณย่าเล่าว่า ตระกูลเดชวโรดมของเราสืบเชื้อสายมาจากวังอิศรา คุณย่าก่อนจะแต่งงานกับคุณปู่ใช้นามสกุลอิศรา ซึ่งนั้นก็หมายความว่าคุณย่าสืบเชื้อสายราชนิกุลมาจากวังอิศรา และวังอิศรามีศัตรูมาตั้งแต่สมัยคุณชวดของคุณชวดอีกที” “ย้อนไปไกลถึงสมัยคุณชวดก่อนคุณชวดด้วยเหรอ ฟังแล้วงงแยกแยะไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร ว่าแต่ทางนั้นเขาทำอย่างไง”อลันถามสวนกลับไป “คุณย่าล่าว่าวังอิศราถูกสาปแช่งและกล่าวคำอาฆาตจองเวรเอาไว้จากตระกูลของเพื่อนคุณชวดด้วย แต่ผมจำไม่ได้แล้ว แต่มันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับผมและคุณพ่อ และกิจการทั้งหมดของเดชวโรดมกระมังพี่ชาย” เจตน์ เอ่ยบอกตามประสาคนมองโลกสวย “แกคิดว่าอย่างนั้นเหรอ แต่พี่คิดว่าอะไรที่จะเป็นต้นเรื่องและที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดที่แกต้องตาย และคุณพ่อต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแบบนี้ รวมไปถึงกิจการของเดชวโรดมทั้งหมด มันต้องอยู่ในข่ายที่ต้องสืบค้น ไม่เป็นไรพี่จะให้นักสืบหาข่าวและสืบค้นตระกูลเพื่อนของคุณชวด ว่าแต่ตระกูลเพื่อนคุณชวดเขาใช้นามสกุลอะไร” อลันเอ่ยถาม เจตน์นั่งนึกทบทวนคำบอกเล่าของคุณย่าสมัยยังมีชีวิตอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกได้แต่ทำหน้าแหยๆ ส่งยิ้มแห้งๆ ให้พี่ชายฝาแฝดของเขากลับไป “คุณย่าไม่ได้บอกผมครับพี่ชาย และผมก็ไม่ค่อยสนใจฟังและสนใจถามท่าน มีคุณพ่อเท่านั้นครับที่ทราบว่าศัตรูตั้งแต่รุ่นคุณชวดของคุณชวด ใช้นามสกุลว่าอะไร รู้แต่ว่าเป็นตระกูลของราชนิกุลด้วยนะ สืบทอดมาตั้งแต่ในสมัยโบราณโน้นเลย” เจตน์พูดพลางชี้มือชี้ไม้ไปไกล “ย้อนไปไกลถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงกรุงสุโขทัยเลยไหม ปัดโธ่! เดี๋ยวก็เขกกะโหลกสักที คุยเป็นงานเป็นการทำทะเล้นนอกเรื่องอีกแล้วนะเจ้านี่!” อลันบ่นพึมพeพลางส่ายหน้าไปมาที่มีน้องชายเป็นผี แถมยังมีนิสัยขี้เล่นอีกต่างหาก “แหม..แค่อยากให้พี่ชายผ่อนคลาย คุยแต่เรื่องเครียดๆ มันทำให้มีความรู้สึกว่าหัวมันหนักๆ อึ้งๆ อย่างไงชอบกลก็เท่านั้นเอง” เจตน์บ่นกระปอดกระแปดเมื่อถูกพี่ชายฝาแฝดดุเสียงเขียว “เอาล่ะ เรื่องตระกูลเพื่อนคุณชวดพักเอาไว้ก่อน เราต้องทำงานเร่งด่วนที่กำลังจะใกล้เข้ามา เอกสารทุกตัวจะส่งมาที่บ้านแล้วตั้งใจอ่านให้ละเอียดด้วย เดี๋ยวพี่จะออกไปทำธุระข้างนอกสักหน่อย แล้วก็ไม่ต้องตามพี่ไปด้วย” อลันสั่งงานวิญญาณน้องชายฝาแฝด พร้อมหันกายเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะได้ยินเสียงน้องชายฝาแฝดตะโกนถามไล่หลัง “พี่ชายให้ผมไปด้วยสิ ปล่อยผมไว้ที่บ้านคนเดียวได้ไง ผมกลัวนะทิ้งกันไปแบบนี้ได้อย่างไง” เจตน์เอ่ยบอก “ไอ้บ้า! แกจะไปกลัวอะไร ในเมื่อแกเป็นผีอยู่แล้ว ผีกลัวผีมีด้วยอย่างนั้นเหรอ” อลันตะโกนตอบกลับไป พร้อมโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ “เรื่องของผู้ชาย แกเป็นผีอยู่เฉยๆ เข้าใจไหมไอ้น้องชาย” ดวงวิญญาณของเจตน์ยกมือขึ้นเกาศีรษะกับคำพูดของพี่ชายเขา มันทำให้ดวงวิญญาณที่เพิ่งตายใหม่ๆ ของเขาทำอะไรไม่ถูกเลย “แล้วเราไม่ใช่ผู้ชายตรงไหนวะถึงไปด้วยไม่ได้ ก็แค่เป็นผี พี่อลันทำไมพูดอะไรให้เข้าใจยากจริงๆ เลย ไม่ให้ตามไปก็ไม่ไปหรอก แต่เรื่องอะไรเราจะต้องอยู่บ้านคนเดียวด้วยวะ” เจตน์ บ่นพึมพำพร้อมค่อยๆ เลือนหายไปจากห้องนอนใหญ่ของอลัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD