เมื่อฉันบอกหญิงรับใช้ทั้งสามว่าคืนนี้หงเฉินจะมาค้างที่ห้อง พวกหล่อนก็แทบจะไม่ปล่อยฉันออกจากห้องน้ำอีกเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวถูกขัดถูกนวดจนหอมฟุ้ง กว่าจะยอมปล่อยก็เกือบถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว ฉันใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดเขียนข้อมูลทั้งหมดลงบนสมุดบันทึก ตั้งใจว่าจะให้เบาะแสแก่คุณสามีทีละอย่างจนกว่าเขาจะโค่นล้มม่านซั่วลงได้ ถึงพวกเราจะจับมือเป็นพันธมิตรกันแล้ว แต่จะให้ไว้ใจคนอาจจะฆ่าฉันในอนาคตไม่ได้หรอก
จะว่าไปอีกสองเดือนหลังจบงานประมูลที่ดินในเขตเหลียวอัน ก็จะมีเหตุการณ์สำคัญอีกหนึ่งอย่างเกิดขึ้น นั่นคือการงานเลี้ยงต้อนรับแขกของหงเฉิน จำได้ว่าเขามอบหมายหน้าที่นี้ให้ม่านอี ทั้งที่รู้ว่างานนี้มันเกินความสามารถแต่ก็ยังบังคับให้ม่านอีทำ เพราะต้องการทำลายชื่อเสียงของภรรยา อย่างไรม่านอีก็ยังแบกชื่อสกุลม่านเอาไว้ มันย่อมส่งผลกระทบไปถึงม่านซั่วอย่างแน่นอน
ฉันเองก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าม่านอีเท่าไหร่หรอก ก็โชคดีที่รู้อนาคตมาก่อนเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้งานเลี้ยงสำเร็จลุล่วง ฉันก็ควรจะเข้าหาบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่อยู่ในเมืองเหลียวอัน อย่างนั้นก็มั่นใจอยู่หลายส่วนว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้จักเบื้องหลังของสกุลม่านมาก่อน
ฉันต้องได้รับความเอ็นดูจากบรรดาฮูหยินทั้งหลาย เพื่อจัดงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ฉันหลุดออกจากห้วงความคิดและหันไปมองประตูที่ปิดสนิทด้วยความสงสัย
“ม่านอี ฉันเอง” เสียงของหงเฉินดังอยู่หลังประตู ทำให้ฉันรู้ตัวว่าถึงเวลาแล้ว จึงรีบลุกไปเปิดประตูให้เขา
ฉันส่งยิ้มให้เขาแม้ว่าเขาจะมองมาด้วยสายตาเย็นชาก็เถอะ
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณสามี” ฉันเดินนำมาที่โต๊ะอาหารที่หญิงรับใช้ทั้งสามจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่สามารถกินอาหารที่มีแต่ผักกับแป้งทุกมื้อได้ ถึงได้ใช้สินเดิมฝากฮั่วฮั่วที่ดูจะเป็นงานมากที่สุดไปซื้อเนื้อสัตว์จากตลาดแล้วนำไปให้ห้องครัว อย่างน้อยค่ำคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ได้ต้อนรับอีกฝ่าย จะมีอะไรซื้อใจไปได้มากกว่าอาหารดีๆ อีกเล่า
หงเฉินนั่งลงพลางมองอาหารบนโต๊ะด้วยสายตาประหลาดใจ
“ดูเธอจะตั้งใจไม่น้อย”
ฉันมองค้อนเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลง จากนั้นคีบเนื้อผัดเต้าเจี้ยววางลงบนถ้วยข้าวของเขา
“มันเป็นอาหารที่ฉันชอบค่ะ แต่ถ้าคุณสามีไม่ชอบเนื้อ ก็มีผักให้ทานนะคะ” ฉันรีบขัดก่อนที่เขาจะเข้าใจไปเองว่าฉันทำเพื่อเขา แต่ถ้าชอบก็ดีไป เพราะฉันต้องคืนกำไรให้กับอาหารมื้อนี้แน่
“ฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอชอบกินเนื้อสัตว์ เธอพูดเองว่าชอบกินผัก”
คำตอบของหงเฉินทำให้ฉันถึงกับชะงัก ช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
เขาหมายความว่ายังไง ม่านอีเป็นคนพูดอย่างนั้นเหรอว่าชอบกินผัก คงเพราะรู้ว่าบ้านสกุลหงค่อนข้างขัดสนล่ะสิ ถึงได้ตอบเอาใจเขาขนาดนั้น เพราะในความทรงจำของฉัน ม่านอีไม่เคยขาดสารอาหารที่เรียกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์เลยสักมื้อ ถึงม่านอีจะถูกฮูหยินใหญ่ทารุณกรรมอยู่หลายครั้ง แต่ม่านซั่วก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยถึงขั้นให้หลานสาวต้องอดอยาก เพราะแบบนี้หงเฉินถึงได้เตรียมเมนูผักเป็นอาหารมื้อแรกอย่างนั้นเหรอ ไม่น่า...เขาไม่ใช่คนที่จะใส่ใจม่านอีขนาดนั้นสักหน่อย
ฉันส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกไป
“จากนี้ฉันตั้งใจจะกินเนื้อสัตว์เพิ่มแล้วค่ะ”
หงเฉินไม่ได้ตอบรับหรือห้ามปราม ฉันจะคิดว่าเขาอนุญาตก็แล้วกัน
มื้ออาหารยังคงเงียบเหมือนกับทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้อึดอัด คงเพราะพวกเรากลายเป็นพันธมิตรกันแล้วกระมัง
หลังจบมื้ออาหาร หญิงรับใช้ทั้งสามก็ยกสำรับอาหารออกไป จากนั้นพ่อบ้านเจียวก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดสุราและเครื่องเคียง ฉันมองพวกมันด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นหงเฉินรินสุราใส่จอกตัวเองและยกดื่มอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง ฉันจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ในบทบรรยายฉากหนึ่งที่กล่าวถึงความคับแค้นใจของพระเอก ชีวิตของหงเฉินขับเคลื่อนด้วยความอาฆาตแค้นจนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ ต้องดื่มเหล้าแรงๆ สักขวดก่อนถึงจะข่มตานอนได้ คิดดูก็น่าสงสาร แต่ก็ห่วงว่าเขาจะตับแข็งตายก่อนที่ฉันจะหย่านี่สิ
คงต้องเอาใจเขาสักหน่อย
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กอีกเล่มที่จดแยกเอาไว้ออกมา แล้วนำไปให้คนตัวโตที่นั่งดื่มสุราอย่างเงียบๆ
“คุณสามีอย่ามัวแต่ดื่มสิคะ เดี๋ยวก็อ่านไม่รู้เรื่องหรอก” ฉันพูดพลางยื่นสมุดให้อีกฝ่าย
หงเฉินรับไปถือไว้แล้วมองด้วยความสงสัย
“มันคืออะไร”
“ฉันสัญญาว่าจะช่วยคุณนี่คะ การจะโค่นล้มม่านซั่วได้จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลนี่คะ มันจะช่วยคุณได้ค่ะ”
ในสมุดบันทึกมีทั้งข้อมูลการเงินและแหล่งเงินทุนที่ม่านซั่วต้องการ หนึ่งในนั้นคือการประมูลที่ดินในเหลียวอัน
สีหน้าของหงเฉินดูประหลาดใจไม่น้อย ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น
“นี่มัน...ลายมือของเธอจริงเหรอ”
คำพูดของเขาทำเอาฉันถึงกับชะงักก่อนจะมองค้อนเบาๆ
ถึงร่างกายนี้จะเป็นสาวจีน แต่วิญญาณของฉันเป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ที่เขียนๆ ออกมานี่ก็เพราะความเคยชินของร่างกายทั้งนั้น ลายมือก็เลยบิดๆ เบี้ยวๆ ไปบ้าง ก็ใช่ว่าจะอ่านไม่ได้สักหน่อย...
“ถ้าคุณอ่านออกก็ช่างเรื่องนั้นไปเถอะค่ะ แล้วตอนนี้มีข่าวเรื่องประมูลที่ดินออกมาบ้างหรือยังคะ” ฉันพยายามกลบเกลื่อนความอับอายของตัวเองและพูดถึงเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
เขาเงียบไปราวกับครุ่นคิดถึงเบาะแสนี้
“จะว่าไปแล้ว ก็มีข่าวเรื่องประมูลที่ดินจริงๆ แต่ที่เหลียวอันมันไม่ได้มีค่าขนาดนั้น ฉันเลยไม่ได้สนใจ”
นั่นเพราะหงเฉินกำลังทำเรื่องสร้างท่าเรืออยู่น่ะสิ จริงอยู่ที่ท่าเรือก็สำคัญ แต่อีกนานเลยกว่าจะสร้างเสร็จเพราะถูกม่านซั่วขัดขวางหลายครั้งจนเกือบจะต้องล้มเลิก
ถึงเวลาที่ฉันต้องปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อโน้มน้าวเขาเสียแล้ว ถ้าเขาทำเงินจากที่ดินในเหลียวอันได้ ก็จะมีอำนาจต่อรองในการสร้างท่าเรือเพิ่มขึ้น
“ฉันแอบได้ยินมาว่ารัฐบาลต้องการการลงทุนจากต่างประเทศค่ะ เขตเหลียวอันเป็นพื้นที่ปลอดภัยพิบัติอีกทั้งยังเป็นเขตค้าขายกับต่างประเทศ ม่านซั่วคงต้องการที่ดินในเขตเหลียวอันเพื่อใช้เก็งกำไรค่ะ หากคุณไม่เชื่อ จะลองสืบดูอีกสักหน่อยก็ได้นี่คะ ว่ามีใครส่งชื่อเข้าร่วมการประมูลบ้าง” พูดขนาดนี้แล้วฉันก็ยังไม่มั่นใจว่าหงเฉินจะเชื่อหรอก แต่เขาเคยสืบเรื่องของม่านอีมาแล้วและเบาะแสนั้นก็เป็นความจริง ฉันจึงขอให้เขาสืบดูอีกครั้ง หากเบาะแสถูกต้องความเชื่อใจของเขาที่มีต่อฉันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ก็คล้ายกับพวกเกมจีบหนุ่มอยู่นะ แต่ฉันไม่ได้คิดจะจีบเขานี่สิ ที่ทำไปก็เพราะต้องเอาตัวรอดล้วนๆ
ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ได้ ถ้าเบาะแสนี้ของเธอถูกต้อง ฉันจะยอมเชื่อเธอสักครั้ง”
คำตอบของเขาทำให้ฉันโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่แค่ยอมเชื่อใจ มันไม่เป็นการตอบแทนที่น้อยไปหน่อยเหรอ
“ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นะคะ ความเชื่อใจมันจับต้องไม่ได้สักหน่อย” ฉันปรายตามองคนตรงหน้าอย่างคาดหวัง
“แล้วเธอต้องการอะไร” หงเฉินถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่ ก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่ชอบใจ เพราะพระเอกของเราคนนี้เป็นพวกขี้ระแวง
ฉันหัวเราะเบาๆ
“ฉันต้องการความเคารพซึ่งกันและกันค่ะ คุณสามีคงไม่รู้ตัวว่าคำพูดของคุณมันดูห่างเหินมากเลยนะคะ ถึงพวกเราจะอายุเท่ากัน แต่ฉันก็ให้เกียรติคุณเป็นสามีเชียวนะ”
ยิ่งฉันพูด สีหน้าของหงเฉินก็ยิ่งงอง้ำ
“จะบอกให้ฉันเรียกเธอว่าคุณภรรยาอย่างนั้นเหรอ โลภมากเสียจริง” เขาตอบพร้อมมองฉันด้วยสายตาเหน็บแนมอย่างเปิดเผย
ไม่คิดว่าจะไม่ชอบขนาดนั้นเลยแฮะ แต่มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกันนั่นแหละ หนทางญาติดีนี่มันยากจริงๆ
“ถ้าฉันโลภมากจริง ฉันคงไม่ขอหย่ากับคุณสามีหรอกค่ะ ฉันอยู่ใช้เงินของคุณไปเรื่อยๆ ยังดีกว่า”
“แต่เธอลงลายมือในสัญญาแล้ว คิดจะผิดสัญญารึไง”
ฉันไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“คู่สามีภรรยาต้องยื่นหนังสือหย่าด้วยตัวเอง ห้ามขาดไปสักคนไม่ใช่เหรอคะ ถ้าฉันหนีไปก่อน คุณสามีก็ไม่ได้หย่าหรอกค่ะ”
“ม่านอี!” หงเฉินขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ มือข้างที่ถือจอกสุราสั่นอย่างแรงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ใกล้จุดเดือด
สงสัยฉันจะหยอกแรงไปหน่อยแฮะ
“ค่ะ ม่านอีค่ะ เป็นภรรยาในนามของคุณ ตอนนี้ฉันแค่ขอความร่วมมือจากคุณนี่คะ คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพกับฉันตลอดเวลาก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนออกงานก็ควรจะให้ความสำคัญกับการตบตาม่านซั่ว รวมถึงบรรดาฮูหยินบ้านอื่นๆ ด้วยค่ะ เพราะหลังจากนี้ฉันจะต้องออกไปสร้างสัมพันธ์กับบ้านอื่น ทุกอย่างนี้ก็ทำเพื่ออนาคตของพวกเรานะคะ” ฉันอธิบายอย่างใจเย็น
โชคดีที่หงเฉินก็ไม่ใช่ผู้ชายไร้เหตุผลขนาดนั้น หลังจากฟังคำอธิบายแล้วเขาก็เงียบไปราวกับตระหนักได้ถึงผลลัพธ์
“ถึงจะฝืนใจ แต่เราจำเป็นต้องเล่นละครเป็นคู่รักที่กลมเกลียวกันนะคะ ให้ม่านซั่วลดความระแวงลง แล้วพวกเราจะทำงานคล่องมากขึ้นค่ะ”
หงเฉินถอนหายใจหลังฟังจบ เขาพยักหน้าพลางเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มรวดเดียวอีกครั้ง
“ที่เธอพูดก็มีเหตุผล ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่าท่าทีของเขาอ่อนลงแล้วก็ค่อยโล่งใจ ในเมื่อหารือกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลานอนสักที
ฉันลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินออกไป
“เธอจะไปไหน” อยู่ๆ หงเฉินก็ถาม ทำเอาฉันถึงกับชะงักแล้วหันไปมองด้วยความสงสัย
ฉันเอนศีรษะไปที่เตียง
“ก็ไปนอนน่ะสิคะ พรุ่งนี้เช้าฉันต้องเข้าเรียนวิชานายหญิง 101 กับพ่อบ้านเจียว”
สีหน้าของหงเฉินดูสงสัยกับคำพูดแปลกประหลาดของฉันสุดๆ แต่ฉันก็ตอบไปตามความจริง เพราะหลังจากนี้เรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน ฉันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะของนายหญิง ส่วนหงเฉินก็มีหน้าที่หาเงินเข้าบ้าน
หงเฉินลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล้าที่ออกมาจากลมหายใจของเขาทำเอาฉันหายใจไม่ออก จึงต้องเบี่ยงตัวหนี
“ดูเธอไม่ค่อยคาดหวังอะไร แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่คาดหวังไปมากกว่านี้” เขามองฉันด้วยสายตาเย็นชา
ราวกับมีกำแพงสูงชันที่ขวางกั้นระหว่างพวกเราเอาไว้ แต่ฉันสนใจกำแพงนั่นเสียเมื่อไหร่ กำแพงของเขาก็ให้จิ่นม่ายเป็นคนทำลายไปก็แล้วกัน ฉันไม่เข้าไปยุ่งให้เจ็บมือหรอก
“คุณสามีวางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณอยู่แล้ว” ฉันตอบอย่างหนักแน่น แต่เขากลับมองอย่างไม่พอใจ
ไม่พอใจอะไร ไม่พอใจคำตอบของฉันเหรอ ช่างเป็นพระเอกที่เอาใจยากจริงๆ