เสียงเปิดและปิดประตูจากห้องข้าง ๆ แม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะรอบด้านมีแต่ความเงียบ ปานฤทัยจึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน
หญิงสาวไถลตัวลงมานั่งกับพื้นแล้วค่อย ๆ กระถดก้นไปทางผนังที่กั้นระหว่างห้องของตนกับห้องของสิงห์คำแล้วแนบหูฟัง จากนั้นลองเคาะเบา ๆ เพราะเธอมีเรื่องอยากถามเขาตั้งหลายเรื่อง แต่รออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบกลับจนหญิงสาวแทบถอดใจ ขณะที่กำลังจะกลับไปนั่งบนเตียงตามเดิม เสียงทุ้มก็ตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา
"มีกระไรรึ"
"คุณพระ ถ้าผีลมมันมาอีก คุณพระจะรู้ไหม"
ต่อให้มันเข้าร่างเธอไม่ได้ แต่ถ้าโผล่มาให้เห็นเธอก็กลัวอยู่ดี และเวลาเธอหวาดกลัวก็ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านสักเท่าไรนัก เธอกลัวว่าอาจจะทำให้เรือนนี้พังไปทั้งเรือนมากกว่า
"เอ็งกลัวรึ"
"กลัวสิใครจะไม่กลัวล่ะ ถึงได้นอนไม่หลับนี่ไง"
สิงห์คำเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยมาว่า "มิต้องกลัวไปดอก เรือนนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ผีสางใดก็ขึ้นมามิได้"
"จริงนะ" นี่แหละที่เธออยากได้ยิน ถ้าเขายืนยันมาแบบนี้เธอก็เบาใจ
"ข้ามิเคยพูดปด"
"ได้ยินอย่างนี้ก็โล่งอก แต่ถ้ามันเข้ามาหลอกฉันได้จริง คุณพระต้องรีบมาช่วยฉันนะ" ไม่งั้นเรือนของคุณพระทั้งหลังอาจจะพังลงในคืนเดียว...ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกไป
เขาเงียบไปอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็เอ่ยตอบมาเบา ๆ คำหนึ่ง "อืม"
"ตอนคุณพระไปหาตัวมัน ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม ผีลมมันไม่ได้ทำอะไรคุณพระใช่รึเปล่า" เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท มัวถามแต่เรื่องของตัวเอง
"มันทำกระไรข้ามิได้ดอก"
"ก็ดี ฉันจะได้ไม่ห่วง ถ้างั้นฉันไม่กวนเวลานอนของคุณพระแล้ว ฝันดีนะเจ้าคะ กู๊ดไนต์" เธอบอกลาเขาเสร็จจึงเตรียมตัวจะกระถดกลับไปที่เตียงตามเดิม แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเขาตอบกลับมา
"เอ็งอย่าได้ลืมทายาเสียเล่า"
ปานฤทัยเบ้ปากใส่ผนังห้องทันที แต่ก็ยังตอบเขากลับไป "รู้แล้วเจ้าค่ะ"
ใครจะไปทา! กลิ่นไพลในตลับนั่นแรงไปสามบ้านแปดบ้าน...
แม้จะคิดอย่างนั้นในใจ แต่พอปานฤทัยมองข้อเท้าของตนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความปลงตก หากเธอไม่รีบรักษาให้หายเร็ว ๆ แล้วเมื่อไรเธอจะได้ไปที่บ้านร้างหลังนั้นเล่า เพราะถ้าไปที่นั่นเธออาจจะกลับบ้านในยุคปัจจุบันสำเร็จก็เป็นได้
กลางดึกสงัด ในห้องของปานฤทัยปรากฏร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งขึ้นอย่างเงียบงัน ร่างนั้นค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าใกล้หญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแลหยุดยืนมองอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน
กระทั่งมือข้างหนึ่งเอื้อมไปที่คอของปานฤทัย ทว่ายังมิทันได้แตะต้องโดนส่วนใดของหญิงสาว เสียงตวาดกร้าวเสียงหนึ่งพลันดังก้องเข้ามาในหัว
"มึงคือผู้ใดวะ!"
ร่างโปร่งแสงนั้นชะงักมือทันใดพร้อมกับหันไปทางที่มาของเสียง ซึ่งคือห้องของสิงห์คำ แล้วร่างนั้นพลันค่อย ๆ เลือนหายไป แต่กลับปรากฏอีกร่างหนึ่งเข้ามาแทนที่
สิงห์คำกวาดตามองรอบห้องแลบนเพดานอย่างระแวดระวัง เมื่อครู่มีคนเข้ามาในห้องปานฤทัยมิผิดแน่ แต่เขามิรู้ว่าคนผู้นั้นมันคือใคร มีเป้าหมายใดต่อแม่หญิงผู้นี้
แววตาคมดุเมื่อตกต้องลงบนร่างอรชรบนเตียงจึงอ่อนแสงลง ดูเหมือนหล่อนหลับมิดีนัก คงฝันร้ายเพราะหัวคิ้วขมวดมุ่น แลนอนกระสับกระส่ายไปมา ตะเกียงบนหัวเตียงก็มิดับ สิงห์คำเดินเข้าไปใกล้ มองดวงหน้าพริ้มเพราแล้วถอนหายใจแผ่ว เขาเป่าตะเกียงให้ดับ ร่ายมนตร์บทหนึ่งเป่าใส่หน้าผากหล่อนทั้งเอ่ยว่า
"หลับเสีย"
เมื่อคนบนเตียงนอนนิ่ง หัวคิ้วคลายออก ร่างของสิงห์คำจึงค่อย ๆ เลือนหายไปในที่สุด
ปานฤทัยตื่นแต่เช้ามืดเพราะเสียงไก่ที่สามัคคีกันโก่งคอขัน หญิงสาวลืมตามองเพดาน เมื่อเห็นว่าทั้งห้องมืดสนิทจึงหันไปมองตะเกียงบนโต๊ะข้างหัวเตียงทันที
"ดับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย แล้วจะติดยังไงล่ะ ไม่มีไม้ขีดวางไว้เลย"
เธอลุกขึ้นนั่ง ไก่ขันต่อกันเป็นทอด ๆ ขนาดนี้คงเป็นตอนเช้ามืดแล้วกระมัง จึงยื่นหน้ามองออกไปทางหน้าต่างผ่านมุ้ง เห็นบ่าวไพร่หลายคนเดินไปมาอยู่ด้านล่างจึงกลับมานั่งตามเดิม
ปานฤทัยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อุตส่าห์หวังไว้ว่าลืมตาตื่นมาคราวนี้จะได้กลับบ้านในยุคปัจจุบัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง เธอจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจริง ๆ น่ะหรือ
เพียงแค่คิด กระบอกตาก็ร้อนผ่าวจนปวดหนึบขึ้นมาทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เธอก็แค่เด็กอายุสิบแปดปีที่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย และกำลังจะมีอนาคตที่สดใสในมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน หรืออนาคตในการเป็นนักดนตรีไทยของเธอจะไม่มีอีกแล้ว
"แม่หญิงตื่นหรือยังเจ้าคะ"
เสียงของฮอมดังอยู่หน้าห้อง ปานฤทัยจึงรีบกะพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่หยดน้ำตาที่มาคลออยู่เต็มหน่วย ก่อนขานรับไปว่า "ตื่นแล้วจ้ะ"
ปานฤทัยลงจากเตียงตั้งใจจะไปเปิดประตูให้ แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความดีใจเมื่อข้อเท้าที่พลิกเมื่อวานจนแทบเดินไม่ได้นั้น ตอนนี้ทุเลาลงมากแล้ว แม้จะยังไม่หายดี แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เธอสามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องมีคนคอยประคองตลอดเวลา
ฮอมกับผ้ายเปิดประตูเข้ามา สายตาของทั้งคู่ตกอยู่ที่เท้าซ้ายของปานฤทัยทันที
"แม่หญิงเอาผ้าไปพันตีนไว้ทำไมเจ้าคะ หรือแม่หญิงอยากใส่ถุงตีน" ผ้ายทำหน้าฉงน ปานฤทัยจึงตอบให้หายสงสัย
"เมื่อคืนก่อนนอนทายาเอาไว้หนา ๆ น่ะ แล้วก็เอาผ้าพันยึดเอาไว้ นอกจากจะช่วยดับกลิ่นยาแล้วยังช่วยให้หายเร็วขึ้นด้วย แต่ตอนนี้อยากล้างหน้าแปรงฟันมากเลย พาไปหน่อยสิ"
หลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อย ปานฤทัยจึงเดินมาที่ชานบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอย่างอินตากับสิงห์คำนั่งอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวสังเกตเห็นชุดที่ทั้งสองคนใส่ ดูเป็นทางการกว่าชุดเมื่อวานจึงถามไปว่า
"จะออกไปทำงานกันหรือเจ้าคะ"
หญิงสาวค่อย ๆ ทรุดตัวนั่ง เห็นสิงห์คำจ้องเขม็งมาที่เท้าของเธอแล้วขมวดคิ้วราวกับสงสัยเสียเต็มประดาก็อดขำไม่ได้
"ไปราชการน่ะ" อินตาพยักหน้าพลางมองเท้าซ้ายของเธอ เขาถามเหมือนที่ผ้ายถามก่อนหน้านี้ เธอจึงตอบเหมือนที่ตอบผ้ายเช่นกัน
"ถ้าคุณลุงกับคุณพระออกไปทำงาน หนูก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวสิ"
"เที่ยงก็กลับมากินข้าวแล้ว เอ็งอย่าไปซุกซนที่ใดเสียเล่า"
สิงห์คำพูดเหมือนมานั่งอยู่กลางใจเธอ เพราะเธอกำลังคิดจะแอบไปบ้านร้างหลังนั้นพอดี