บทที่ 5 ชายปริศนา - 1

1370 Words
ปานฤทัยเดินกะโผลกกะเผลกลงเรือนมาส่งสองพ่อลูกไปราชการ เห็นบ่าวสองคนจูงม้ามาเตรียมไว้ให้ก็ตาวาวพลางพูดอย่างตื่นเต้น "อุ๊ย มีม้าด้วย" คนที่นี่ การมีม้าไว้ขี่ก็คงเหมือนมีรถไว้ขับในสมัยของเธอ "ทุกเรือนต้องมีม้ามีวัวไว้ใช้งาน" อินตาพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะกำชับเธอว่า "อยู่เรือนหนาเอ็ง อย่าได้ไปเที่ยวเล่นที่ใด อย่าออกไปนอกเฮือนคำหนา" ปานฤทัยหน้าม่อยลง หันไปมองสิงห์คำ เห็นเขามองเธออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจึงได้แต่ผงกศีรษะยอมรับ "เจ้าค่ะ จะอยู่เรือน แต่หนูเดินสำรวจรอบ ๆ นี้ได้ใช่ไหมเจ้าคะ" "เอ็งหมายถึงเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเฮือนคำกระนั้นรึ เช่นนั้นย่อมได้ แต่ห้ามออกนอกเฮือนคำ เข้าใจหรือไม่" สิงห์คำกำชับเสียงเข้มมาอีกคน ปานฤทัยจึงได้แต่รับคำด้วยน้ำเสียงสลด หญิงสาวมองสองพ่อลูกพลิกตัวขึ้นหลังม้า แต่สายตาของเธอกลับตกที่สิงห์คำมากกว่าด้วยรูปร่างสูงใหญ่อกผายไหล่ผึ่ง และแผ่นหลังตั้งตรง หน้าตาก็คมเข้มสะอาดสะอ้านดูดี ถึงจะหล่อไม่เท่าดาราหนุ่ม ๆ ในยุคปัจจุบัน แต่เธอเชื่อว่าหากเขาไปโผล่ที่นั่นก็คงเนื้อหอมไม่น้อย เขาอยู่ในชุดราชการเต็มยศคล้ายกับชุดที่ใส่ไล่ล่าเธอเมื่อวาน โจงกระเบนสีน้ำตาลเข้มยาวลงมาคลุมเข่า จึงทำให้มองไม่เห็นรอยสักเด่นชัดนัก ดาบของเขาห้อยอยู่ที่เอว ม้าตัวที่เขาขี่อยู่เป็นสีดำปลอดไปทั้งตัว เท่ระเบิดทั้งคนทั้งม้า! ปานฤทัยเผลอมองสิงห์คำนานไปด้วยความลืมตัว ทั้งยังยิ้มนิด ๆ ตอนมอง ทำเอาชายหนุ่มเริ่มวางหน้าไม่ถูก ใบหูเริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นทีละนิด จนกระทั่งเจ้าตัวผินหน้าไปมองอินตาเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดขึ้น "พวกลุงไปละเน้อ" "เจ้าค่ะ" ปานฤทัยยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นโบกบ๊ายบายให้สองพ่อลูก หญิงสาวยืนมองส่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งทั้งสองคนกำลังจะพ้นอาณาเขตของบริเวณเฮือนคำ สิงห์คำหันมามองเธอ ปานฤทัยจึงยิ้มกว้างแล้วโบกมือให้เขาอีก อินตาหันไปเห็นบุตรชายขมวดคิ้วดูกลัดกลุ้มจึงลอบถอนหายใจแผ่ว แสร้งถามว่า "เอ็งเป็นกระไรรึ" สิงห์คำได้สติ ส่ายหน้าเล็กน้อย "มิเป็นกระไรขอรับคุณพ่อ" ทั้งสองคนขี่ม้าไปตามทางอย่างมิเร่งร้อน สิงห์คำหันมองผู้เป็นบิดาราวกับต้องการเอ่ยบางเรื่องแต่กลับมิพูด ครั้นผ่านไประยะหนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น "คุณพ่อขอรับ หากว่า..." อินตาเลิกคิ้วขึ้น รอให้บุตรชายพูดต่อ สิงห์คำจึงเอ่ยว่า "หากว่าแม่ฤทัยหายตัวไปตอนพวกเรามิอยู่เรือน จักทำเยี่ยงไรดีขอรับ" "เอ็งหมายถึงหนีกระนั้นรึ" อินตาถามเหมือนมิทุกข์ร้อน "มิใช่ขอรับ กระผมหมายถึงหายตัวไปเลย คุณพ่อจำที่กระผมเล่าให้ฟังได้ไหมขอรับ ว่าเจอสตรีนางหนึ่งแถวเรือนร้าง สตรีผู้นั้นหายตัวได้ กระผมเห็นด้วยตาตนเอง แม่ฤทัยหายตัวได้นะขอรับ" "อ้อ เช่นนั้นรึ" อินตายิ้มอ่อนพลางพยักหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยต่อว่า "จักหายไปกี่ครั้งกี่หน สุดท้ายต้องกลับมาในที่ที่ควรอยู่นั่นละหนา เอ็งอย่าได้กังวลไป" "กระผมใคร่รู้ขอรับ เหตุใดผีลมสิงร่างแม่ฤทัยมิได้" สิงห์คำเอ่ยถามเรื่องที่ตนสงสัยมาทั้งคืน "แม่ฤทัยเป็นชาวเชียงสานครแต่กำเนิด ผีลมมันจักสิงร่างได้เยี่ยงไรเล่า" อินตาตอบยิ้ม ๆ "คุณพ่อว่ากระไรหนา แม่ฤทัยเป็นชาวเชียงสากระนั้นรึ" หัวคิ้วของสิงห์คำขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม "อีกมินานดอก เอ็งจักได้รู้เรื่องทุกอย่างนั่นละ" อินตาชักม้าให้เดินนำบุตรชายไป สิงห์คำมองตามหลังด้วยมิอาจเข้าใจ เห็นอยู่ว่าท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับปานฤทัยมากนักแต่มิยอมเอ่ยออกมา ปานฤทัยเดินเล่นไปมาอยู่ในอาณาบริเวณของเฮือนคำอย่างเพลิดเพลินโดยมีฮอมกับผ้ายคอยติดสอยห้อยตาม ที่นี่มีคอกม้า คอกวัว เล้าเป็ดเล้าไก่ แปลงผัก และหนองน้ำขนาดใหญ่ หญิงสาวมองหนองน้ำที่มีขนาดพอ ๆ กับสระว่ายน้ำที่ตนไปว่ายบ่อย ๆ แล้วอดเสียวสันหลังวาบไม่ได้ จึงกระซิบถามบ่าวทั้งสองคนว่า "มีจระเข้ไหมเนี่ย" "มิมีดอกเจ้าค่ะแม่หญิง ที่นี่น่ะพวกบ่าวมาอาบน้ำกันเจ้าค่ะ ผู้ชายอาบทางนู้น ผู้หญิงอาบทางนี้" ฮอมชี้ไปทั้งสองฝั่ง ปานฤทัยจึงเพิ่งสังเกตว่ามีแผ่นไม้กระดานวางเรียงกันเป็นทางเพื่อกันลื่นเอาไว้ด้วย "แต่แม่หญิงต้องอาบในต๊อมเหมือนท่านพระยากับคุณพระเจ้าค่ะ" ผ้ายพูดเสริมขึ้น "จริงสิ นี่ใกล้เที่ยงแล้วนี่นา ไม่เห็นแปงกับมุ้ยเลยเนอะ ก๋องก็ไม่เห็น หรือว่าก๋องจะไปรอรับคุณพระ" ปานฤทัยมองไปรอบ ๆ บ่าวไพร่ที่นี่มีจำนวนมากจนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าคนเหล่านี้ได้เงินเดือนบ้างหรือไม่ แต่ก็คิดไว้ว่าเรื่องพวกนี้ควรเอาไปถามเจ้าของบ้านดีกว่า "พวกนั้นไปกาด[1]ซื้อเกือก ผ้านุ่งกับเครื่องหอมให้แม่หญิงตามคำสั่งคุณพระเจ้าค่ะ" ฮอมตอบ แต่ครั้งนี้มองปานฤทัยด้วยสายตาวิบวับไปอีกคน "มีอะไรหรือ ทำไมมองข้าอย่างนั้นล่ะ" ปานฤทัยพอจะรู้คำตอบอยู่บ้างว่าเพราะอะไร แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เอาไว้ก่อน "บ่าวได้ยินอีพวกนั้นพูดกันว่า เมื่อคืนคุณพระอุ้มแม่หญิงขึ้นเรือนหรือเจ้าคะ" ผ้ายทำท่ากระมิดกระเมี้ยนราวกับถูกอุ้มเสียเอง ปานฤทัยเห็นแล้วได้แต่ขำ จึงอธิบายไปอีกรอบ "เมื่อคืนข้าถูกผีลมกระแทกจนเกือบล้มหัวฟาดพื้น ถ้าไม่ได้คุณพระมาช่วยไว้ป่านนี้ข้าคงนอนอยู่บนเตียงแล้ว" "นั่นปะไรเจ้าคะ ครานั้นแม่หญิงบัวงึมนำของฝากจากเชียงรุ้งมาให้ถึงเรือน มิรู้ไปก้าวอีท่าใด แม่หญิงตกบันไดจนสลบเลยเจ้าค่ะ คุณพระก็อยู่ตีนบันไดแต่มิเข้าช่วย ได้แต่ตะโกนเรียกพวกบ่าวให้พาขึ้นเรือนไปเองนะเจ้าคะ" โอ้โห...เย็นชาได้โล่ ทำตัวเป็นพระเอกเกาหลีเลยนะคุณพระเนี่ย ปานฤทัยพูดอยู่ในใจ ครั้นพอเงยหน้ามองฟ้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไรแล้ว "กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย" "ใกล้เที่ยงแล้วเจ้าค่ะ แม่หญิงขึ้นเรือนดีกว่า แดดแรงแล้วหนาเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านพระยากับคุณพระจักกลับเรือนมากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ" ผ้ายเร่งให้รีบกลับ ปานฤทัยจึงไม่ดึงดันเดินสำรวจต่อเพราะไม่อยากทำให้บ่าวพวกนี้ต้องลำบากใจ เมื่อขึ้นเรือนมา ปานฤทัยดื่มน้ำแก้กระหายแล้วจึงมานั่งเล่นตรงชานเรือนเพื่อรอสองพ่อลูกกลับมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน ทว่าขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้น จู่ ๆ มีเสียงแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่งตวาดเสียงดังมาตั้งแต่ตรงทางเชื่อมระหว่างชานหน้าบ้านกับชานเรือน "มึงเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมานั่งอยู่ตรงนี้!" ปานฤทัยสะดุ้งเฮือก มองไปทางต้นเสียงเห็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปลายหรือสี่สิบต้น ๆ กำลังเดินซอยเท้ารัวเร็วมาทางที่ตนกำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้าโกรธจัดราวกับเธอไปสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ชี้ที่ตัวเองแล้วถามว่า "ถามฉันหรือ" [1] กาดคือ ตลาด เป็นภาษาเหนือ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD