"เฮ้ยพวกมึง ค้นหาให้ทั่ว อย่าให้มันหนีรอดไปได้!"
เสียงตะโกนไล่ล่าดังกึกก้องป่าในยามราตรี คบเพลิงที่เห็นวอมแวม บ้างอยู่ไกลบ้างอยู่ใกล้ ส่งผลให้กลุ่มคนที่กำลังหลบซ่อนเร้นกายอยู่กับความ มืดมิดได้แต่ขบกรามแน่นด้วยความเครียดขึ้ง
สตรีนางหนึ่งนั่งซุกตัวอยู่ในดงเถาวัลย์กับบุตรชายวัยย่างเจ็ดขวบ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น หากแต่น้ำตายังคงไหลอาบแก้มมิหยุด ในอ้อมอกมีทารกน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ในห่อผ้า มืออันสั่นเทาตบห่อผ้านั้นเบา ๆ เพื่อกล่อมให้ลูกน้อยอยู่ในห้วงนิทราไปนาน ๆ อย่าเพิ่งตื่นมาเพลานี้
"อ้ายคำปัน จักทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ"
ปิ่นแก้วบดีกระซิบถามสามีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน เขากระชับดาบในมือแน่นด้วยอากัปกิริยาที่เตรียมพร้อมรบพุ่งอย่างเต็มที่
คำปันหันกลับมามองหน้าเมียรักกับลูกน้อยทั้งสองท่ามกลางความมืด บุตรชายคนโตยังรู้ความแลทำตามคำสั่งได้ แต่บุตรสาววัยทารกที่เพิ่งลืมตา ดูโลกได้มิกี่วัน ย่อมมิอาจฟังความใด ๆ รู้เรื่องเป็นแน่
"คงต้องใช้มนตร์พรางตายายหนูกับจันผามิให้พวกมันมองเห็น"
คำปันตัดสินใจในที่สุด มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จักช่วยให้บุตรของตนทั้ง สองคนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ครานี้ได้
"จันผา เอ็งฟังพ่อให้ดี มิว่าเอ็งจักเห็นหรือได้ยินอันใด ให้เอ็งอยู่กับที่ไว้ อย่าได้ลุกเดินไปไหนเด็ดขาด เอ็งต้องอยู่ตรงนี้ รอจนกว่าอาแสงคำจักมาหา เอ็งต้องดูแลน้องให้ดี เข้าใจหรือไม่"
จันผาน้ำตาอาบแก้ม ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงทั้งที่มือยังปิดปากของตนเอาไว้แน่นเพราะมิต้องการให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกไป
คำปันถอดตะกรุดที่ห้อยคอตนออกมาใส่ให้บุตรชายกับบุตรสาว คนละอัน แต่เพราะทารกน้อยยังนอนหลับอยู่ เขาจึงวางแทรกไว้ในห่อผ้าแทน
"ตะกรุดสองอันนี้หลวงพ่ออินทร์เพิ่งปลุกเสกมาให้พวกเอ็งสองพี่น้อง ในยามมีภัยมันจักสื่อถึงกัน อย่าทำหายเด็ดขาด เอ็งจำคำพ่อไว้ให้ดี"
จันผาพยักหน้ารับทั้งน้ำตาอีกครั้งโดยไร้คำพูดใด ๆ คำปันจึงขอทารกน้อยจากอ้อมอกมารดามาอุ้ม
"ช่อเอื้องลูกพ่อ เอ็งมิใช่กาลกิณีอย่างที่พวกมันให้ร้าย เอ็งต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีนะลูก"
เสียงของคำปันสั่นพร่าด้วยแรงสะอื้น ส่งห่อผ้านั้นไปให้บุตรชายคนโตอุ้มไว้เพื่อเตรียมตัวทำพิธี ปิ่นแก้วบดีรีบโผเข้ากอดลูกทั้งสองคนอย่างอาลัยอาวรณ์
ทั้งสามคนต่างพากันกลั้นเสียงสะอื้นไห้จนเจ็บหนึบไปทั้งช่องอก ความโศกาอาดูรปกคลุมไปรอบกายเพราะรู้แก่ใจดีว่า จากกันครานี้คือการจากลาตลอดกาล
คำปันได้แต่โทษตัวเองที่อาคมไม่แกร่งกล้าพอที่จักใช้มนตร์พรางตัวตนกับคู่ชีวิตให้รอดพ้นภยันตรายตรงหน้านี้ไปได้พร้อมกับลูกทั้งสอง เพราะแค่สองชีวิตน้อย ๆ ที่เขาต้องปกป้องก็ทำให้ตนสูญเสียพลังกายไปมากโขแล้ว หากขืนดันทุรังทำไป ผลที่ได้อาจพากันตายหมดทั้งครอบครัว!
ปิ่นแก้วบดีถอยออกมาเพื่อให้สามีได้ทำพิธีพรางตา คำปันหยิบของขลังที่ห้อยคอขึ้นมาอมไว้ใต้ลิ้น จากนั้นพนมมือหลับตา เริ่มบริกรรมคาถาอย่างแผ่วเบา
แรงขยับตัวแลดิ้นยุกยิกของทารกน้อยในห่อผ้า ส่งผลให้จันผาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ด้วยเพราะรู้ดีว่าหากช่อเอื้องตื่นขึ้นมาแล้วจักเกิด อันใดขึ้น เขารีบยื่นนิ้วชี้เข้าไปในห่อผ้าเพื่อให้น้องสาวคว้าจับเอาไว้ จำได้ว่า ทุกคราที่น้องน้อยแผดเสียงร้องไห้จ้าจนสิ่งของรอบตัวลอยขึ้นแลหมุนคว้าง ไปมาราวกับมีผีจับโยนเล่นนั้น หากตนยื่นนิ้วให้น้องจับ ช่อเอื้องจักหยุด ร้องไห้ทันใด
แต่แล้วสิ่งที่มิคาดฝันพลันเกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีเสียงตวาดกร้าวดังขึ้นกะทันหัน
"ค้นให้ทั่ว! เจอเมื่อไรฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือ!"
ทารกน้อยในอ้อมกอดพี่ชายสะดุ้งเฮือกพร้อมกับแผดเสียงจ้าขึ้นมาจนกิ่งไม้ใบหญ้ารอบบริเวณลอยคว้างไปอย่างไร้ทิศทาง ต้นไม้น้อยใหญ่โยกไหวสั่นสะท้านราวกับมีชีวิต กลุ่มคนที่มีหน้าที่ค้นหาแลติดตามต่างพากันหวาดหวั่นกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่เพราะคำสั่งที่ได้รับมา จึงต้องข่มความกลัวแล้วพากันเดินฝ่าพายุขนาดย่อมเพื่อเข้าไปบริเวณกึ่งกลางของลมกรรโชกรุนแรงนั้น ด้วยเพราะรู้แล้วว่าคนที่พวกตนกำลังตามหาอยู่ตรงนั้นเป็นแน่
คำปันหวาดหวั่นว่าจักมิทันกาล หูได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ก้าวแล้วก้าวเล่าจนเริ่มลนลานท่องผิดท่องถูก สมาธิเริ่มแตกซ่าน เหงื่อจากหน้าผากไหลอาบข้างแก้มลงมาทั้งที่รอบกายมีแต่ลมกรรโชก
จันผาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อน้องน้อยในห่อผ้าที่ตนอุ้มไว้ค่อยรางเลือนไปทีละนิด แรงบีบรัดที่นิ้วจากมือน้อยของน้องสาวค่อยคลายออกไปจนในที่สุดอ้อมกอดของเขาพลันว่างเปล่า ไร้เงาของผู้เป็นน้อง!
"คุณพ่อ! น้องหายไปแล้วขอรับ!"