บทที่ 1 สัญญาณเตือน - 1

1370 Words
ในห้องนอนสีเหลืองอ่อน เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนเป็นสไตล์วินเทจสีขาวสะอาดตา ผ้าม่านบนหน้าต่างถูกรวบไว้ด้านใดด้านหนึ่งจนแสงแดดยามสายส่องเข้ามาอาบไล้ให้ทั่วทั้งห้องสว่างเจิดจ้า หากแต่ดูอบอุ่นจนน่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งวันทั้งคืน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนอนลายทางแบบผู้ชาย นั่งเหม่ออยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมายราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยข้างบ้านที่กำลังทุ่มเถียงกันปลุกให้เธอต้องตื่นจากภวังค์ แม้ไม่อยากแอบฟังแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะเสียงของทั้งคู่ดังเสียจนได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน เจ้าตัวยุ่งสองคนนี่อีกแล้ว หลังจากฟังอยู่สักพักจึงสรุปได้ความว่าทั้งสองคนมองเห็นมะม่วงสุก คาต้นอยู่พวงหนึ่ง แต่มะม่วงเหล่านั้นอยู่สูงเกินไป ทั้งคู่จึงวางแผนกันว่าจะแอบปีนต้นไม้เพื่อขึ้นไปเด็ดมะม่วงพวงนั้นลงมากิน ถ้าจำไม่ผิด มะม่วงต้นนี้อยู่ในเขตบ้านของเธอไม่ใช่หรือ ปานฤทัยได้แต่กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย เจ้าแฝดจอมซนข้างบ้านนี่ตื่นมาก็หาเรื่องขโมยมะม่วงชาวบ้านเชียวหรือ หนำซ้ำยังส่งเสียงเถียงกันราวกับกลัวเจ้าของเขาไม่รู้ว่ากำลังจะขโมยอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าเธอไม่หวงของอยู่แล้วกับเด็กอายุแค่แปดขวบ ถ้าจะมาขอกันดี ๆ แต่ถ้าริอ่านเป็นขโมยแบบนี้ก็ต้องสั่งสอนกันบ้าง คิดได้ดังนั้น หญิงสาวจึงเพ่งสายตาไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ต่ำสุด ทันใดนั้นกิ่งไม้ที่ว่าก็สั่นอย่างรุนแรงราวกับมีคนเขย่า และเป็นดังคาด เด็กชายตัวแสบทั้งสองคนพากันร้องลั่นวิ่งหนีไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเห็นว่าหลอกให้เด็กน้อยกลัวพอแล้วจึงมองไปยังมะม่วงที่สุกคาต้นพวงนั้นแล้วจัดการให้มันร่วงลงมาบนพื้น แต่เพราะเกรงว่าตอนถึงพื้นมันจะเละเสียก่อน ปานฤทัยจึงต้องใช้พลังจิตในการพยุงให้มันตกลงบนพื้นในสภาพสมบูรณ์ หญิงสาวยิ้มกริ่ม เริ่มนับเบา ๆ "หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...นั่นไง! กลับมาจนได้ ไอ้แสบเอ๊ย" ปานฤทัยรู้ว่าเด็กแฝดจอมแสบคู่นั้นจะต้องแอบดูด้วยความอยากรู้อยู่ที่ไหนสักแห่ง ว่าทำไมกิ่งไม้ถึงสั่นเองได้ และพอเห็นมะม่วงตกลงมาก็จะพากันวิ่งมาเก็บแน่นอน เสียงเคาะประตูปึงปังแล้วเปิดพรวดเข้ามาโดยไม่รอให้ผู้เป็นเจ้าของห้องอนุญาต ไม่ได้ทำให้ปานฤทัยหัวเสียแต่อย่างใดเพราะชินเสียแล้วกับพฤติกรรมเช่นนี้ของปานชีวา ผู้เป็นพี่สาว "แกล้งเด็กอีกแล้วสิแก" ปานชีวาเดินมายืนด้านหลังน้องสาวแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง "มันกวนตีนดี วันก่อนมายไปเจอเจ้าสองแสบนี่ที่ร้านป้านก มายแกล้งบอกไปว่าระวังนะ ชอบมาขโมยมะม่วงบ้านพี่ ผีมะม่วงจะหลอกเข้าให้ รู้ไหมมันพูดว่าอะไร มันบอกว่าจะเอาผ้ายันต์ในห้องพระที่บ้านมาแปะไว้ที่ต้นเพื่อไล่ผี พวกมันกลัวกันที่ไหนละพี่มิ้ว" ปานชีวาหัวเราะ "เด็กก็เงี้ยแหละ จริงสิ วันนี้นังจ๋อมเพื่อนพี่มันท้าตีแบด แกไปกับพี่หน่อยนะ" ปานฤทัยมองพี่สาวพลางยิ้มอย่างรู้ทัน "แข่งกินเงินกันอีกละสิ" "เออสิ เพราะฉะนั้นแกต้องไปช่วยพี่ คราวนี้แข่งกันตาละสามร้อยเชียวนะแก" "ร้อยห้าสิบ" ปานฤทัยว่า "อีงก! เอาไปร้อยเดียวพอ คนลงแรงคือพี่นะไม่ใช่แก" ปานชีวาโวยวายเสียงดัง "เอ๊า มายก็ลงพลังจิตของมายเหมือนกันนะ มันต้องใช้แรงขับจากภายในเหมือนจอมยุทธ์ในหนังจีนไงพี่" "จะเอาไม่เอา" ปานชีวาเท้าเอว "เอาก็ได้ แต่พี่ต้องเล่นให้ได้สักสิบตานะ มายจะได้มีเงินไปซื้อชุดนักศึกษาใหม่" ปานฤทัยยิ้มกริ่ม เธอกำลังจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งยังโชคดีสอบติดคณะวิจิตรศิลป์ในมหาวิทยาลัยที่ต้องการอีกด้วย "อีกเดือนเดียวมายก็จะได้เป็นน้องปีหนึ่งแล้วนะพี่มิ้ว ตื่นเต้นจังเลย" ปานชีวาแค่นหัวเราะ "เฮอะ! ตอนนี้ละตื่นเต้น ตอนซ้อมเชียร์ขึ้นสแตนด์ร้อน ๆ กับตอนทำกิจกรรมหนัก ๆ แล้วจะตื่นเต้นยิ่งกว่านี้อีก" "แหม พี่มิ้วอย่าขู่กันสิ...เออใช่ มายมีเรื่องจะเล่าให้ฟังละ เรื่องนี้มายไม่กล้าบอกแม่" ปานฤทัยนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงลองปรึกษากับพี่สาวดู เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างรอฟัง เธอจึงพูดต่อ "พักหลังมานี้มายรู้สึกว่าตัวเองเห็นภาพหลอนน่ะพี่ แบบว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันเปลี่ยนไปเหมือนมายยืนอยู่ที่อื่น แต่พอกะพริบตาอีกทีก็กลายเป็นว่ามายอยู่ที่เดิม" ปานชีวาขมวดคิ้วมุ่น "ยังไงวะ! แกช่วยอธิบายให้มันเคลียร์หน่อยซิ" "ก็อย่างเช่นว่ามายกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวมันเปลี่ยนไป กลายเป็นว่ามายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว ๆ แบบโบราณในบ้านไม้เก่า ๆ อย่างกับบ้านร้างอะ หรือบางทีมายจะเดินไปซื้อของที่เซเว่นปากซอย เดินไปเดินมา รอบตัวมายก็เปลี่ยนไปอีก กลายเป็นว่ามายกำลังเดินอยู่ในป่าที่ไหนสักที่ แต่พอมายยืนหลับตานิ่ง ๆ แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพพวกนั้นก็หายไป มันแปลกมากเลยพี่" "เออว่ะ แปลกจริงด้วย แล้วแกเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว" ปานชีวาถามน้องสาวหน้าเครียด "ประมาณเดือนหนึ่งได้แล้วละ เป็นเกือบทุกวันเลย ตอนแรกมายนึกว่าตัวเองตาฝาด แต่มันเหมือนกับว่ามายได้ไปที่บ้านร้างหลังนั้นมาจริง ๆ เลยนะ และเกือบทุกครั้งมายก็จะไปแต่บ้านหลังเดิม บางทีก็ไปยืนอยู่หน้าบ้าน บ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้แบบโบราณหลังใหญ่มากเลย แต่ไม่ใช่เรือนไทยซะทีเดียว" "แล้วทำไมแกถึงคิดว่าได้ไปที่นั่นมาจริง ๆ" ปานชีวาถามต่อ "ก็เวลาเรายืนอยู่ในป่า หรือสถานที่ที่มีต้นไม้เยอะ ๆ เราจะได้กลิ่นของพวกใบไม้หรือกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ มายได้กลิ่นพวกนี้เต็มจมูกเลย และที่สำคัญนะ ถ้ามายได้โผล่ไปอยู่ในบ้านแล้วไปนั่งอยู่ที่ไหนสักที่ พอได้กลับมา ฝุ่นจากบ้านหลังนั้นมันก็ติดเสื้อผ้ามายมาด้วย" "เฮ้ย! ขนลุกว่ะไอ้มาย" ปานชีวายกแขนของตัวเองให้น้องสาวดูเพื่อยืนยันคำพูดของตน "พี่ว่าบอกแม่เถอะ เผื่อแม่จะช่วยอะไรได้ เรามานั่งเดากันเองอย่างนี้ก็ไม่มีทางได้เรื่องอะไรหรอก" ปานฤทัยถอนหายใจแผ่ว สีหน้าหวั่นวิตก "มายรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้พี่มิ้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือน..." เธอครุ่นคิดว่าควรใช้คำไหนที่เหมาะสมกับความรู้สึกในตอนนี้ดี พอนึกได้ก็รีบพูดต่อ "เหมือนใจหายน่ะ" "คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง แกอย่าคิดมากเลย อาจจะเป็นเพราะดวงตกรึเปล่า แต่จะว่าเป็นเพราะเบญจเพสก็ไม่ได้เพราะแกก็อายุแค่สิบแปด เอางี้สิ พรุ่งนี้แกไปทำบุญตักบาตรถวายสังฆทานสักชุดก็ได้ พี่จะไปกับแกเอง ขี่รถเครื่องไปนี่แหละ ขากลับแวะกินอาหารเวียดนามกัน"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD