"พี่มิ้วเลี้ยงนะ" ปานฤทัยทำหน้าทะเล้นจนผู้เป็นพี่สาวส่งค้อนให้วงโต
"เออ! นังขี้จิ๊" ปานชีวาว่าให้น้องเสร็จก็ถามต่อ "แล้วจะไปวัดไหนดี ขึ้นดอยสุเทพกันดีไหม ตอนลงมาก็แวะร้านเวียดนามตรงตีนดอยเลยไง"
"ได้เลย ถ้างั้นขาไปมายขี่รถเครื่องเอง ขากลับพี่ขี่ละกัน"
"เออ แต่ที่แน่ ๆ เย็นนี้แกเตรียมตัวไปสนามแบดกับพี่ อย่าลืมใส่ คอนแท็กต์เลนส์ด้วยละ"
ปานชีวากำชับน้องสาว เพราะทุกครั้งที่ปานฤทัยใช้พลังจิต นัยน์ตาจะเปลี่ยนเป็นสีทอง เธอไม่อยากให้คนอื่นเห็นความผิดปกตินี้เพราะไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย และเป็นข่าวโด่งดัง เรื่องที่ปานฤทัยมีพลังจิตมาตั้งแต่เกิดนั้นมีเพียงมารดากับตนที่รู้เรื่อง และพยายามช่วยกันปกปิดมาโดยตลอด
ปานฤทัยไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของปานชีวา และไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของมารดาเช่นกัน เหตุการณ์ตอนที่ท่านไปเก็บปานฤทัยมาเลี้ยงเป็นลูกตนเองนั้น เธอก็จำไม่ได้แล้ว เพราะเวลานั้นตนเพิ่งอายุได้เพียงสองสามขวบ ท่านเล่าให้ฟังแค่ว่าท่านเจอปานฤทัยตอนแบเบาะอายุได้เพียงไม่กี่วัน มารดาของเธอจึงลักไก่ไปแจ้งเกิดว่าเป็นลูกของตัวเองทันที และอุปโลกน์วันเดือนปีเกิดขึ้นมาเอง เพราะวันเกิดที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นไม่มีใครรู้
เมื่อถึงเวลาแข่งแบดมินตัน ปานฤทัยนั่งอยู่ริมสนามร่วมกับเพื่อนของพี่สาวเพื่อดูการแข่ง แต่เธอนั่งเยื้องมาทางด้านหลังสุด คราวก่อนปานชีวาแข่งกับเพื่อนคนนี้แล้วชนะรวดทั้งสิบเกม วันนี้อีกฝ่ายจึงคิดมาแก้มือ และแน่นอนว่าน้องสาวที่แสนดีอย่างเธอต้องมาช่วยพี่สาวให้ชนะรวดเช่นเคย
ความจริงแล้วฝีมือของปานชีวาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น แต่อาศัยการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากปานฤทัยจึงทำให้ชนะคู่แข่ง และกินเงินอีกฝ่ายมาได้ทุกครั้ง แม้จะรู้กันดีว่าการทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการโกง ดังนั้นการแข่งขันครั้งนี้เธอจึงคุยกับพี่สาวว่าจะต้องแพ้สักตาหรือสองตา เพื่อไม่ให้ดูเก่งเกินเบอร์มากไปจนเป็นที่สงสัยของคนอื่น
ขณะที่ปานฤทัยคอยช่วยควบคุมลูกขนไก่ให้พี่สาว จู่ ๆ เธอก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของผืนหญ้าและป่าไม้ หญิงสาวจึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีเพราะไม่แน่ใจว่าตนจะหายตัวไปจากตรงนี้แล้วไปโผล่ที่เดิมอีกหรือไม่
และความคิดของเธอก็เป็นจริง เมื่อภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนจากสนามแบดมินตันเป็นป่ารกชัฏหน้าบ้านไม้เก่าคร่ำคร่าหลังเดิม และตัวเธอก็นั่งห้อยขาอยู่ตรงบันไดทางขึ้น
"โอย...มาอีกแล้วหรือเนี่ย"
ปานฤทัยรีบมองไปรอบด้านด้วยความหวาดหวั่นแล้วหลับตาลง เพราะแม้จะยังไม่มืด แต่บรรยากาศก็วังเวงอยู่ดี
แต่แล้วปานฤทัยต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าเมื่อครู่ตนบังเอิญสบตาคมดุของใครคนหนึ่งเข้า ทว่าพอลืมตาขึ้นมาก็กลายเป็นว่าเธอยังคงนั่งอยู่ริมสนามแบดมินตันเช่นเคย
เอาละสิ โผล่ไปคราวนี้เธอเจอคนเป็น ๆ ด้วย!
"ผู้ใดกัน ออกมาบัดเดี๋ยวนี้!"
สิงห์คำตะโกนลั่นหลังลงจากต้นไม้มายืนบนพื้น สายตาดุกร้าวมองไปรอบบริเวณเพื่อหาเงาร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งตนเห็นเต็มสองตาว่าผู้บุกรุกคนนั้นโผล่มานั่งอยู่บนขั้นบันไดของเรือนร้าง
เขาชักดาบออกจากฝักแล้วเดินไปรอบเรือนด้วยความระมัดระวัง ทว่านอกจากเสียงลมแลเสียงต้นไม้เสียดสีกันแล้ว มิมีเสียงอื่นใดอีก มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนเท่านั้นที่ดังสวบสาบยามเดินย่ำเศษกิ่งไม้บนพื้น
ประหลาดนัก!
สิงห์คำยืนกระชับดาบในมือนิ่งอยู่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านร้าง ซึ่งในอดีตบริเวณโดยรอบทั้งหมดนี้เคยเป็นเรือนของคุณพระคำปัน แต่เพราะถูกต้องโทษให้ประหารทุกผู้ทุกคน เรือนนี้จึงรกร้างไร้คนอยู่อาศัยด้วยเพราะเจ้าของเรือนถูกกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง จึงมิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามา
แต่สิงห์คำกลับชอบมาที่เรือนหลังนี้นัก ในยามว่างหลังกลับจากราชการเขาจักเดินลัดเลาะจากเรือนของตนมาที่นี่เพื่อนั่งสมาธิ แลฝึกฝนวิชาอาคมของตนให้แกร่งกล้า เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มิมีผู้ใดกล้าเดินผ่าน สิงห์คำจึงมั่นใจว่ามิมีผู้ใดกล้าบุกรุกเข้ามาเป็นแน่
ทว่าหลายวันมานี้เขากลับเห็นบุคคลแปลกประหลาดผู้หนึ่ง เป็นสตรีที่แต่งกายมิเหมือนชาวเชียงสานครแห่งนี้ เขาเห็นหล่อนเพียงแค่ชั่วกะพริบตาร่างนั้นพลันหายลับไป ราวกับเป็นวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นชั่วครั้งชั่วคราวกระนั้น
แต่สิงห์คำมั่นใจยิ่งว่าสตรีผู้นั้นเป็นมนุษย์มิใช่ภูตผีวิญญาณ เพราะเจ้าหล่อนมักปรากฏกายในเพลากลางวัน การแต่งกายแต่ละครั้งล้วนแตกต่างกันออกไป เหมือนคนทุกคนที่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทุกวัน
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ หลายวันมานี้สิงห์คำลองแอบซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ เขาจึงได้เห็นสตรีผู้นั้นปรากฏกายขึ้นมาราวกับเสกร่างมาเองได้ จากนั้นพลันหายตัวไปด้วยความว่องไวโดยที่เขายังมิทันได้ทำอันใดแม้แต่น้อย
แต่ครานี้สตรีผู้นั้นมองเห็นเขาก่อนหายตัวไป เขามองเห็นใบหน้าของเจ้าหล่อนได้เต็มสองตาเช่นกัน เขาจดจำหล่อนได้ขึ้นใจทันทีเพราะนัยน์ตาของสตรีผู้นั้นเป็นสีทอง!
ปานชีวากับปานฤทัยนั่งมองหน้ากันไปมาบนโต๊ะอาหารจนดวงใจ ผู้เป็นมารดารู้สึกรำคาญจึงหันไปถามทั้งพี่ทั้งน้อง
"เป็นอะไรกัน หา! มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา เกี่ยงกันอยู่นั่นแหละ"
"มายมันกำลังมีปัญหาน่ะแม่" ปานชีวาชิงพูดขึ้นก่อนเพื่อบีบให้น้องสาวเป็นฝ่ายเล่า ขณะที่ปานฤทัยได้แต่ทำปากยื่นใส่ผู้เป็นพี่ที่ไม่ให้โอกาสได้ตั้งตัว
"ก็คือว่า..." ปานฤทัยไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดในหัวอย่างไรให้มารดาเข้าใจ เพราะกลัวท่านจะหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่พอคิดอีกที การที่ตนเกิดมาพร้อมกับพลังจิตที่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ก็ถือเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่สุดเท่าที่ท่านเคยได้ยินได้เจอมาแล้วกระมัง
"พักหลังมานี้มายเหมือนหายตัวได้เลยละแม่"
ทันทีที่ปานฤทัยพูดจบ ดวงใจก็สำลักน้ำแกงจนไอโขลก ๆ หน้าแดงก่ำ บรรดาลูก ๆ จึงรีบพากันลูบหลัง และเทน้ำให้ดื่ม
"แกว่ายังไงนะยายมาย หายตัวได้งั้นหรือ" ดวงใจถามย้ำ
"จริงนะแม่ มายไม่ได้โกหก"
จากนั้นปานฤทัยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนให้มารดาฟัง รวมถึงเรื่องแปลก ๆ ที่ทำให้มั่นใจว่าตนได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาจริง ไม่ใช่แค่ความฝันอย่างที่คิดแน่นอน
หลังจากกินข้าวเสร็จ ดวงใจขึ้นไปที่ห้องพระ หยิบกล่องสังกะสีเก่า ๆ ใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักเก็บของ เปิดฝาออกหยิบของด้านในขึ้นมาถือไว้ในมือ พลางคิดไปถึงวันแรกที่ตนได้เจอกับทารกวัยแรกเกิดคนหนึ่งที่ข้างกำแพงวัดตอนพาบุตรสาววัยสามขวบกว่าอย่างปานชีวาไปไหว้อัฐิของบิดาในวันครบรอบวันตายของสามี