เมียระบาย : 6

1865 Words
ปัง! "กรี๊ดดดด" ฉันที่กำลังใช้สมาธิคิดทบทวนเรื่องที่คุยกับเจ้าหนี้อย่างเหม่อ ๆ เสียงปืนกลับดังขึ้นหนึ่งนัดจนฉันปิดหูกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ ลมหายใจฉันหอบเหนื่อยเพราะทั้งกลัวทั้งตกใจกับการกระทำป่าเถื่อนนั่น จู่ ๆ เจ้าหนี้พ่อเลี้ยงฉันก็คว้าปืนเล็งไปทางลูกน้องเขาแล้วลั่นไกหนึ่งนัดอย่างไม่บอกไม่กล่าว ฉันกลัวแทบฉี่ราด แต่คนที่ถูกเล็งศีรษะกลับไม่ไหวติง สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวสักนิดเดียว "มึงรู้ใช่ไหมกูยิงขู่มึงทำไม" เสียงเข้มเอ่ยถาม ฉันเห็นความสนุกสนานในแววตาคู่คมนั้น "ครับ ผมผิดเองที่เก็บชีวิตลูกหนี้คนนี้ไว้ถึงสิบวัน" ดะ เดี๋ยวนะ...ลูกหนี้ที่พวกเขาพูดถึงคงไม่ได้หมายถึงพ่อเลี้ยงฉันใช่ไหม? "งั้นมึงจะยืนทำซากอะไร รีบไปเก็บดอกมา ผิดนัดเกินมาสามวัน เก็บสักสามแผลเป็นไง" ท้ายประโยคดวงตาเยือกเย็นมีประกายสนุกทอดมองมาทางฉัน "ไม่นะ อย่าทำอะไรพ่อเลี้ยงข้าวนะ!" ฉันรีบปรี่เข้าไปรั้งแขนแกร่งที่มีมัดกล้ามแน่นหนัดของผู้ชายผมสีแดงเพลิงไว้ กำมันจนคิดว่าแน่นที่สุด ใช้สายตาเว้าวอนขอร้องให้เขาออกคำสั่งใหม่กับลูกน้องเขา พลั่ก! แต่แทนที่เขาจะเห็นใจกลับสะบัดแขนที่ฉันเกาะอยู่ออกอย่างเลือดเย็น แรงสะบัดทำฉันเซจากส้นสูงสามนิ้วครึ่งเกือบหัวทิ่มลงกลางสระ "ข้าวขอร้อง อย่าทำร้ายพ่อเลี้ยงข้าวอีกเลย" มือน้อย ๆ พนมขึ้นเมื่อหมดหนทางที่จะไกล่เกลี่ย น้ำใส ๆ เริ่มรื้นขึ้นขอบตา พ่อเลี้ยงฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลขายังใส่เฝือกอ่อนอยู่เลยถ้าขืนโดนทำร้ายอีกท่านอาจจะเจ็บหนักจนถึงขั้นช้ำเลือดช้ำหนอง "ถ้าคุณข้าวเป็นห่วงนายสงบ รีบ ๆ รับข้อเสนอเจ้านายผมซะสิ" ลูกน้องคนสนิทที่ให้นามบัตรฉันและเป็นคนเริ่มต้นเรื่องราวให้ฉันมาที่นี่กล่าวขึ้น ฉันยืนนิ่งทิ้งแขนที่พนมไหว้ลงข้างลำตัว ตอนนี้ความปลอดภัยของพ่อเลี้ยงฉันสำคัญที่สุด ไม่สิ ต้องบอกว่า ความสำคัญของแม่ฉันที่ติดสอยห้อยตามพ่อเลี้ยงตลอดเวลาสำคัญที่สุด แต่... ข้อเสนอผู้ชายคนนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ฉันเกิดมาอายุยี่สิบสี่ไม่เคยผ่านมือชายใดมาสักครั้ง แม้แต่คำว่าแฟน ความรักแบบคู่รักฉันยังไม่เคยสัมผัส วัน ๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนแทบไม่มีเวลานอน แต่สุดท้าย ร่างกายฉันต้องมาแปดเปื้อนเพียงเพราะหนี้ก้อนนี้ที่ไม่ได้สร้างงั้นเหรอ? "ข้าวขอเวลาคิดได้ไหมคะ" แม้จะรู้ว่าคำตอบจะออกมาแบบไหนแต่ฉันก็ยังเอ่ยแบบนั้นออกไป "ไม่สวยแล้วยังจะเล่นตัวอีก" จึก...เล็บยาว ๆ จิกลงเนื้ออุ้งมือเมื่อถูกอีกคนดูถูก "แต่เห็นแก่ความกล้าของเธอ ถ้าวันนี้มีเงินมาใช้ดอกสองหมื่นฉันจะไม่สั่งคนไปยุ่งกับพ่อเลี้ยงเธอ" สะ สองหมื่น! ฉันตาโต กล้ำกลืนอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้เงินในบัญชีเธอเหลืออยู่เท่าไหร่นะ...สี่หมื่นแปดงั้นเหรอ ถ้าฉันใช้ไปวันนี้สองหมื่น พรุ่งนี้จะพอจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอีกกี่วัน "ได้ค่ะ เดี๋ยวข้าวโอนให้ตอนนี้เลย" แม้จะไม่เหลือกินในวันข้างหน้า แต่ฉันก็จำเป็นต้องจ่ายเงินก้อนนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยของคนใกล้ตัว มือบางเลยคว้ามือถือเตรียมเข้าแอปธนาคารเพื่อทำรายการโอนเงิน "ฉันเปลี่ยนใจแล้ว" "ทำไมคะ!?" ถึงกับหลุดเสียงไม่พอใจถามออกไป คนที่เป็นเจ้าของทุกอย่างของที่นี่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฉันช้า ๆ หมับ ปลายคางฉันเชิดขึ้นจนต้องหรี่ตาเพราะแสงแดดในตอนเที่ยงตรงมันแยงตา "พรุ่งนี้มาที่นี่ มาเป็นเพื่อนฉันว่ายน้ำ" "มะ..." "แลกกับการลดหนี้ห้าหมื่นบาท" ฉันกำลังจะค้านว่า 'ไม่ทำ' แต่คนตรงหน้ากลับรีบพูดแทรก แถมข้อเสนอเขาช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน "คะ แค่ว่ายน้ำใช่ไหมคะ" ให้ฉันเดาบุคลิกนิสัยเขาก็พอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเรื่องบนเตียง เพราะเขากล้าอวดเรือนร่างต่อคนแปลกหน้าถามคนละเพศอย่างฉันอย่างไม่ปิดบัง "ก็... แค่ว่ายน้ำ" ใบหน้าฉันถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง คนตัวโตไม่สนใจไยดีรอคำตอบรับจากฉันแต่เดินไปหยิบเสื้อคลุมสีขาวมาสวมใส่แล้วเดินตรงไปยังลิฟต์อีกตัวที่อยู่ติดผนัง ให้เดาคงเป็นลิฟต์ส่วนตัวของเขา เพราะตอนขึ้นมาที่นี่ลิฟต์ที่ฉันโดยสารมาอยู่ด้านนอกดาดฟ้า "สองทุ่มตรง ฉันเกลียดการรอคอย" เขาทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็เดินเข้าลิฟต์ตัวนั้นไป ตอนนี้เหลือเพียงฉันกับคนที่ชื่อไจ๋ยืนอยู่ที่เดิม "ผมแนะนำว่าคุณข้าวฟ่างควรรับข้อเสนอนี้นะครับ" คนเป็นลูกน้องเกลี้ยกล่อมฉันอีกแรง ฉันเงยหน้ามองสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง นายไจ๋ไม่หลบสายตาฉัน และฉันไม่เห็นความไม่เป็นมิตรในสายตาคู่นั้นฉายออกมา "ข้าวต้องทำแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหมคะ" เสียงฉันอ่อนลง ร่างกายฉันอ่อนแรง หนี้ที่ไม่ได้ก่อ แต่สุดท้ายต้องมารับใช้หนี้ด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมันคุ้มแล้วเหรอ อืม คุ้มสิ เพราะนั่นหมายความว่า แม่ของเธอจะปลอดภัย "นี่ครับคีย์การ์ดสำหรับผ่านประตูหน้าโดยปลอดภัย” “พรุ่งนี้ผมจะให้คนรอรับคุณข้าวฟ่างที่หน้าประตูกาสิโน หวังว่าคุณจะตรงต่อเวลานะครับ เพราะคุณธนูไม่ชอบคนมาสาย" ฉันได้ยินประโยคยาว ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มีแค่สิ่งเดียวที่ฉันท่องได้ขึ้นใจ เจ้าหนี้ของพ่อเลี้ยงฉันเขาชื่อ 'ธนู' แถมยังเป็นธนูอาบยาพิษที่ไม่ควรเข้าใกล้อย่างเด็ดขาด "ค่ะ ข้าวจะจำให้ขึ้นใจ" ตอบรับคำตักเตือนนั้น ยื่นมือรับคีย์การ์ดที่นายไจ๋ยื่นให้ เดินตัวเบาอย่างคนไร้วิญญาณออกมาทางเดิม พรุ่งนี้ฉันจะต้องผ่านมันไปให้ได้ "แม่คะ ลุงคะ มีใครอยู่มั้ย" หลังจากกลับมาจากอนันต์กาสิโน ฉันก็ตรงดิ่งกลับมาที่บ้านเช่าตัวเอง แต่ปรากฏว่าบ้านเงียบเชียบเกินจนฉันใจหาย "ป้าฝ้ายเห็นแม่ข้าวบ้างไหมคะ" พอวิ่งออกมาจากบ้านเช่าหลังเดี่ยวก็เจอกับเจ้าของบ้านเช่าที่ชื่อป้าฝ้ายเลยรีบถามไถ่ "วันนี้ทั้งวันป้ายังไม่เห็นสองคนนั้นเลยนะหนู" ยิ่งฟังคำตอบของป้าแกฉันยิ่งรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก "ขอบคุณค่ะ" รีบขอบคุณผู้ใหญ่อย่างมีมารยาทเตรียมเดินหน้าหาทั้งสองคนต่อ "อ้อ หนูข้าว" "คะ?" กำลังจะเดินผ่านป้าแกพอดีเลยรีบหยุดขาไว้ "พรุ่งนี้วันเกิดคฑา หนูจำได้ใช่ไหมจ๊ะ" ถึงกับเงียบไปชั่ววินาที 'คฑา' ที่ถูกเอ่ยถึงเป็นลูกชายของป้าฝ้าย ครอบครัวนี้รักและเอ็นดูฉันเหมือนลูกเหมือนหลาน ส่วนพี่คฑาเราก็สนิทกันตั้งแต่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนอายุสิบสองขวบ "เกือบลืมไปเลยค่ะ" ฉันไม่ปิดบัง ในเมื่อจำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ "สงสัยเราจะทำงานหนักอีกแล้วสิ ป้าบอกแล้วให้มาเป็นสะใภ้บ้านป้าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้" ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป ป้าฝ้ายท่านเคยทาบทามฉันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ฉันไม่เคยรับข้อเสนอท่านสักครั้ง แม้ว่าลูกชายท่านจะเป็นคนดี เอาการเอางานแต่ในเมื่อเราสองคนไม่ได้รักกันฉันคงทำอย่างที่ป้าแกขอไม่ได้ "ข้าวชอบทำงานค่ะ" และนี่ก็เป็นคำตอบประโยคเดิม ๆ ที่ฉันใช้หลีกเลี่ยงคำถามนี้ "งั้นพรุ่งนี้ตอนทุ่มนึงอย่าลืมมาอวยพรวันเกิดให้พี่เขาล่ะ" ป้าฝ้ายบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านแกที่อยู่หลังถัดไป ทุ่มนึงงั้นเหรอ? ถ้าฉันอยู่ร่วมงานวันเกิดพี่คฑาแค่สิบยี่สิบนาทีจะน่าเกลียดไหมนะ หรือว่าฉันไม่ควรจะไปร่วมงานแต่รีบชิงอวยพรวันเกิดตั้งแต่เช้าดี แต่จะดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่าในเมื่อแม่ของเขาพูดเหมือนเชิญฉันตั้งแต่เนิ่น ๆ ไว้แล้ว เอาน่าข้าวฟ่าง เรื่องพรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางออก ตอนนี้ต้องตามหาแม่กับพ่อเลี้ยงฉันให้เจอก่อน ตู้ด ๆ ฉันเดินดูทั่วหมู่บ้านแล้วยังไม่เห็นวี่แววแม่กับพ่อเลี้ยงเลยสักนิด สุดท้ายจึงตัดสินใจโทรเข้าเบอร์แม่แต่ก็ไม่มีใครรับสาย "ทำไมแม่ไม่รับสายข้าวนะ" ฉันร้อนใจจนแทบจะบ้า หวังว่าคุณธนูคงไม่ส่งคนมาเล่นงานพ่อเลี้ยงฉันตามคำขู่นั้นหรอกนะ "ข้าว ทำอะไรน่ะ" จังหวะที่กำลังลนลาน กระวีกระวาดใจคิดนู่นคิดนี่ เสียงเพื่อนสนิทอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง "แต" ฉันเรียกกระแตที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนประถมจนจบมหา’ลัยด้วยกัน "มายืนทำอะไรตรงนี้ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนะเรา" มือบางยื่นมาทาบหน้าผากเบา ๆ "ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ทำไมหน้าซีดแบบนี้ล่ะ" กระแตแสดงออกว่าเป็นห่วงมาก ฉันจึงรีบปรับสีหน้าแล้วบอกเพื่อนรักไป "ข้าวไม่ได้เป็นอะไร แค่โทรหาแม่ติดแต่ท่านไม่รับสาย" เราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันไม่เคยโกหกอะไรเพื่อนคนนี้ได้สักอย่าง "อ้อ ป้าพิศอะนะ อยู่บ้านเราเอง ลุงสงบก็อยู่ด้วย" "โอ๊ย! โล่งอก" ถึงกับอุทานออกมาเสียงดัง ลมหายใจที่เหมือนกลั้นเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาจนโล่งไปทั่วทั้งปอด "มีอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเหมือนดีอกดีใจอะไรขนาดนั้น" กระแตเริ่มถามอย่างห่วง ๆ แต่ในแววตาของเธอบ่งบอกว่ากำลังรอฉันเล่าเรื่องบางอย่างให้เธอฟัง "ก็ ไม่มีอะไรหรอก พอดีข้าวกลับบ้านมาไม่เจอใครเลยเป็นห่วง ลุงสงบยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย" พยายามพูดให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ใช่เกี่ยวกับหนี้พนันนั่นหรือเปล่า" "อ๊ะ!" ฉันตกใจที่ได้ยินกระแตถามแบบนั้น "ไม่ต้องตกใจหรอก แม่ข้าวเล่าให้พวกเราฟังหมดแล้ว" "พวกเรา?" ฉันคิดไม่ออกว่าพวกเราที่ว่ามีใครบ้าง "ไม่ต้องห่วง ไม่มีพี่คฑาของเธอในนั้นหรอก" ฉันไม่ได้เป็นกังวลว่าพี่คฑาจะรู้สักหน่อย ก็เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ "ทำหน้าแบบนั้น มองเราแบบนั้น กำลังบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาใช่ไหมล่ะ" เฮ้อ เห็นมั้ยว่าเพื่อนฉันคนนี้รู้ใจฉันทุกอย่าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD