“ฉันล่ะตื่นเต้นแทนแกจังเลยยัยพรีม แต่ดูแกจะชิวมากเลยนะ” นิวเยียร์ที่กำลังช่วยจัดแจงชุดไทยสำหรับใส่ในพิธีหมั้น ก็พูดคุยกับเพื่อนพลางก้มลงมองตรงนั้นทีหันมองตรงนี้ทีเพื่อให้ทุกอย่างออกมาอย่างเพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ และพรีมต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในงานวันนี้เท่านั้น
งานหมั้นถูกจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายชาย หลังจากพิธีหมั้นเสร็จสิ้น พรีมก็ต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของธีร์ตามที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเอาไว้
“มีอะไรให้ตื่นเต้นกัน ทำอย่างกับจะมาหมั้นแทนฉันอย่างนั้นแหละ”
“ไม่เอาอะ ฉันไม่ชอบคนแก่ แต่เมื่อกี้ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำ ฉันเห็นหน้าว่าที่คู่หมั้นของแกแล้วนะ”
“อืม แล้วไง” พรีมถามกลับอย่างขอไปที
“อยากจะบอกว่าหล่อมาก หล่อเวอร์วังยิ่งกว่าในรูปที่ฉันเอาให้แกดูซะอีก หุ่นนี่สูงยาวเข่าดีเหมาะกับการเป็นพ่อพันธ์ชั้นดีเลยอะแก” นิวเยียร์เอ่ยพลางยกยิ้ม แหงนหน้ามองฝ้าเพดานราวกับคนละเมอเพ้อพก
“จะหล่อ จะสูง จะยาว ก็เรื่องของแกเถอะ ฉันไม่สนใจหรอก ก็แค่หมั้นและอยู่ด้วยกันเพราะธุรกิจ”
“อยู่ด้วยกันทุกวันมันก็ไม่แน่นะ ไม่แกก็อาจจะเป็นเขาที่เผลอมีใจให้กันก็ได้ ใครจะรู้”
“ใครไม่รู้ แต่ฉันรู้ใจตัวเองก็แล้วกัน” พรีมตอบเพื่อนรักอย่างมั่นใจ
ระหว่างที่คุยกันอยู่ประตูห้องแต่งตัวก็ได้ถูกเปิดออก ทั้งสองสาวต่างพากันหันไปมองและเห็นพิมลพรรณแม่ของพรีมเดินเข้ามาภายในห้อง
“ใกล้จะถึงฤกษ์แล้วเหรอคะแม่”
“จ๊ะ ลูกพร้อมแล้วใช่ไหม” พิมลพรรณยื่นมือมาจับมือทั้งสองข้างของลูกสาวแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง ถ้าพรีมเกิดเปลี่ยนใจ คนเป็นแม่อย่างเธอก็ไม่อาจบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่ไม่ยินยอมได้
“พร้อมแล้วค่ะ” พรีมคลี่ยิ้มกว้างอย่างคนไม่คิดอะไร เธอทำใจมาตั้งสองเดือนแล้ว จะมากลัวอะไรในวันนี้
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินออกจากห้องเพื่อลงไปทำพิธีที่ชั้นล่างของคฤหาสน์ และนี่ก็เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของเขาและเธอ
พรีมหันมองคู่หมั้นหนุ่ม คิ้วเล็กก็ขมวดเข้าหากัน เพราะใบหน้าของเขานอกจากจะหล่อ ไร้เม็ดสิว หรือแม้กระทั่งรอยตีนกาหรือรอยเหี่ยวย่นแล้วนั้น ใบหน้าหล่อของเขายังไม่เหมือนกับคนที่อายุสามสิบเลยด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายก็มองเธอด้วยสายตานิ่งเฉย เย็นชา ไร้ความรู้สึกเหมือนวันนั้นไม่มีผิด วันที่เธอเดินชนจนทำให้โทรศัพท์ของเขาร่วงลงพื้น
และก็มีเพียงสายตากับความคิดของพรีมเท่านั้นที่กำลังทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะอีกฝ่ายทำเหมือนไม่รู้จักกันและทำพิธีตามที่ผู้ใหญ่ได้ชี้นำจนเกือบจะเสร็จพิธี
“ไหว้พี่เขาสิลูก” พิมลพรรณบอกกับลูกสาว
“ต้องไหว้ด้วยเหรอคะแม่”
“ถ้าน้องไม่อยากไหว้ก็ไม่เป็นไรครับ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาจากปากของชายคู่หมั้น
“หนูพรีมยังเด็กไม่แปลกที่จะไม่รู้พิธี แม่ว่าต่างคนต่างไหว้กันดีกว่าจ้ะ จะได้รักและเคารพกัน” อมรภัคแม่ของฝ่ายชายเอ่ยพร้อมกับมองชายหญิงทั้งสองสลับกัน
พรีมและธีร์หันมองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยกมือไหว้กันและกันอย่างจำใจก็เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นก็ต้องปั้นหน้าถ่ายรูปยิ้มสวยๆ นั่งอยู่ข้างชายคู่หมั้นที่ดูเขาก็ไม่ค่อยเต็มใจกับงานนี้สักเท่าไร โดยที่ด้านหลังมีญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ และแขกที่มาร่วมงานก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาถ่ายรูปร่วมกัน
งานวันนี้ไม่ได้เชิญแขกเหรื่อมามากมาย มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายก็เท่านั้น หลังจากงานเลี้ยงจบลง คนทั้งสองก็ขึ้นห้องพร้อมกัน โดยที่มีพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเดินตามขึ้นไปส่งราวกับส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหออย่างไรอย่างนั้น
“อยู่กับพี่ธีร์ก็อย่าดื้อนะลูก เชื่อฟังพี่เขานะ” พิมลพรรณอบรมลูกสาว พอนึกว่าจะต้องห่างกันก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ค่ะแม่”
“ลูกก็เหมือนกันตาธีร์ อย่าให้แม่รู้นะว่ารังแกน้อง หรือทำให้น้องเสียใจ” อมรภัคเอ่ยกับลูกชาย
“ครับแม่”
“หนูพรีมจ๊ะ ถ้าต้องการอะไรก็บอกพี่เขาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ” แม่ของฝ่ายชายหันไปเอ่ยกับหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
“น่ารักที่สุดเลยลูกสะใภ้ของแม่” อมรภัคยกมือขึ้นลูบผมของพรีมอย่างเบามือ พร้อมกับคิดในใจว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเด็กคนนี้เป็นลูกสะใภ้ รับรองว่าเอาลูกชายของเธออยู่หมัดอย่างแน่นอน
ผู้ใหญ่พากันแยกย้ายลงไปชั้นล่าง ทั้งสองคนก็เข้าไปในห้องนอน พรีมที่เดินตามหลังก็สอดสายตามองไปยังพื้นที่ภายในห้องที่มีเตียงขนาดคิงส์ไซซ์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ด้านข้างผนังมีโซฟาหนังแท้สีดับขลับตั้งวางอยู่คล้ายกับมุมอ่านหนังสือ และมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน
“ชื่อพี่ธีร์ใช่ไหมคะ”
“อืม”
แค่คำตอบสั้นๆ ก็รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นจากผู้ชายตรงหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงยังไม่มีใคร
“หนูชื่อพรีมนะคะ”
“รู้แล้ว”
พรีมถึงกับอยากจะมองบนและถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะคำตอบมันสั้นมากเหมือนคนไม่อยากจะคุยกัน ถือได้ว่าผู้ชายคนนี้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ติดลบเอามากๆ
“พี่คือคนที่พรีมชนที่ห้างวันนั้นใช่ไหมคะ”
“อืม”
แทนที่จะถามว่าศีรษะของเราที่ชนกันวันนั้นเธอเจ็บหรือเปล่า แต่เขาก็ยังตอบกลับมาแค่อืมสั้นๆ
“แล้วโทรศัพท์พี่พังไหมคะ”
“พังก็แค่ซื้อใหม่”
“รู้ค่ะว่ารวย” รวยแค่เงิน แต่แล้งน้ำใจ พรีมลอบด่าในใจ
“คุยกันก่อนได้ไหมคะ พรีมมีเรื่องจะคุยกับพี่” พรีมเอ่ยกับเจ้าของห้องที่เดินไปย่อตัวลงนั่งที่โซฟาหนังแท้ราคาแพง
“...”
ในเมื่อเขาให้ความเงียบกลับมา พรีมจึงพูดต่อเอง
“พี่คิดจะให้พรีมอยู่ด้วยไปจนถึงเมื่อไรคะ”
ประโยคแรกที่ออกจากปากของหญิงสาวก็ทำให้ชายหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวย ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าจริงจังยืนรอฟังคำตอบของเขาอยู่
“อยากอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจ”
“ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจให้อยู่ด้วย แล้วทำไมถึงยอมตกลงหมั้นกับพรีมล่ะคะ ดูหน้าแล้วไม่เหมือนคนที่อยากหมั้นกันเลยสักนิด”
“แล้วคิดว่าไง”
ที่ถามไปยังไม่ได้คำตอบ นี่ยังจะถามเธอกลับมาอีก
“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่ธีร์ด้วยนะคะที่ยอมหมั้นกับพรีมและช่วยเรื่องหุ้นของบริษัท งั้นเรามาทำข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันดีไหมคะ” ในเมื่อเขาไม่อยากบอก เธอก็จะเข้าประเด็นเลยแล้วกัน
“ข้อตกลงอะไร”