"ท่านอ๋องเล่ามีท่าทีเช่นไร"
ชือหรูลุกขึ้นเดินอ้อมมาโอบรอบลำคอป้อคุนสายตายั่วยวน
"อันนี้ ข้าไม่เห็นว่ายามที่เขาสองคนอยู่ด้วยกันจะเป็นเช่นไร แต่เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องเอาใจบุตรบุญธรรมคนนี้ไม่น้อย จะว่าไปทำไมต้องให้เป็นบุตรบุญธรรมด้วยนางน่าเอ็นดูเพียงนั้น ข้าเป็นหญิงด้วยกันยังชื่นชมนางจะแต่งเป็นชายาก็คงจะไม่น่ารังเกียจ"
ป้อคุนยกจอกชากระดกลงคอรวดเดียว
"เจ้าเอาแต่ชื่นชมนางข้าชักอยากจะเห็นหน้านางเสียแล้ว"ชือหรูยิ้มหวานหยด
"กลัวว่าท่านพบนางแล้ว จะไม่แคล้วหลงเสน่ห์นางแน่ๆ "
"ฮึๆๆ "
ชือหรูลูบมือไปบนไหล่กว้าง
"เกรงว่าแม้แต่เง็กเซียนเมื่อเห็นนางก็คงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม"
จวนอ๋อง
"นี่คือเครื่องประดับที่ข้าสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเจ้า"
หยวนกังถือถาดไม้ที่มีกำไลหยกฝังทับทิมวางอยู่"
เสี่ยวเจิ้งหันมองจงหลินแล้วย่อหายลงช้าๆ
"ยื่นมือของเจ้าออกมา"
น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนัก เสี่ยวเจิ้งก้มหน้าส่งมือออกไปตรงหน้าชิงกวานอ๋องที่จับมือบางไว้บรรจงสวมกำไลหยกให้อย่างเบามือ เสี่ยวเจิ้งย่อกายลงช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ขะขะคุ ท่ะพ่อ”
ชิงกวานอ๋อง เงยหน้าขึ้นจ้องตาเสี่ยวเจิ้ง ที่ภายในดวงตาใสนั้นมีแต่แววตา สำนึกในบุญคุณชัดเจน หยวนกังก้มหน้าหลุบตาผิดหวังที่ได้ยินเสี่ยวเรียกท่านอ๋องว่า…ท่านพ่อ…
“เสี่ยวเจิ้งเจ้าเก่งจริง พูดได้แล้ว”
จงหลินตื่นเต้นดีใจ จับมือเสี่ยวเจิ้งเขย่าไปมา
“ ดีแล้ว ข้ารอวันที่จะได้ยินเสียงเจ้าอีกครั้ง”
ชิงกวานอ๋องพูดยิ้มๆ รู้ว่าว่าคำว่าท่านพ่อที่เสี่ยวเจิ้งกล่าวออกมา นั้นเป็นกำแพงสูงที่กั้นเขาเอาไว้เสียแล้ว
เสี่ยวเจิ้งทรุดกายลงตรงหน้า ส่งภาษามือแทนคำขอบคุณที่ให้ที่พักพิง ให้ทุกๆ อย่างเพราะรู้ดีว่าตัวเองต่ำต้อย หากไม่มีชิงกวานอ๋องคงไม่มีวันนี้ ชิงกวานอ๋องเอื้อมมือช้าๆ ลูบบนเรือนผมให้เบาๆ
“ เจ้าทำให้จวนอ๋องไม่เงียบเหงาเช่นที่ผ่านมา เป็นข้าที่ต้องขอบใจเจ้าเสียมากกว่า”
“ฮ่องเต้เสด็จจจจจจ”
เสี่ยวเจิ้งลุกขึ้นยืนสีหน้าตื่นกลัว
“เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าก่อน หากยังไม่พร้อมที่จะพบกับฝ่าบาทในตอนนี้”
เสี่ยวเจิ้งหลบเข้าไปในห้องพร้อมกับจงหลินในทันที
อู่อินเฉิง และป้อคุนมาทันได้เห็นแค่แผ่นหลังของเสี่ยวเจิ้งก็เท่านั้น
“ชิงกวานอ๋อง ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ท่านอา หลานได้ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บของท่านอาจึงร้อนใจ”
ชิงกวานอ๋องยิ้มน้อยๆ
“ไม่มีอะไรน่าห่วงฝ่าบาททรงกังวลมากไปแล้ว สองวันมานี่ชิงกวานอยู่สบายกินอิ่มนอนหลับ”
อู่อินเฉิงเหลือบตามองเครื่องเสวยบนโต๊ะที่มากมายก่ายกอง
“ตั้งใจจะมาเสวยร่วมกันกับท่านอา อินเฉิงมาช้าไปเสียแล้วใช่ไหม”
หยวนกังยกถาดชาเข้ามาพร้อมกับขนมขบเคี้ยว
“ข้าเพิ่งจะอิ่มไปเมื่อครู่”
“วันนี้ ท่านอ๋องทรงเสวยร่วมกันกับคุณหนูเจิ้ง”
ชิงกวานอ๋องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มหยันผุดขึ้นที่ใบหน้าของอินเฉิงก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ
“คุณหนูเจิ้งท่านอาจะไม่แนะนำนางหน่อยหรือไร”
“หากเป็นพระบัญชาชิงกวานก็ไม่อาจขัดพระบัญชา แต่หากว่าไม่มีบัญชาก็คงต้องรอให้ถึงวันที่ชิงกวานจะเลี้ยงต้อนรับนางอย่างเป็นทางการ เพราะชิงกวานเพิ่งจะให้นางกลับไปที่ห้องของนางเมื่อครู่”
ป้อคุนประสานมือถอยออกจากตรงนั้นไปในทันที
“ไม่มีความจำเป็นถึงเพียงนั้น ท่านอาเองพักผ่อนเสียเถิด หลานแค่เพียงแวะมาก็เท่านั้นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านอา อินเฉิงกำชับหมอหลวงให้หาทางรักษาให้ดีที่สุด และอีกอย่างงานที่ท่านอารับผิดชอบอยู่ ต่อจากนี้คงต้องให้ชินอ๋องดูแลแทนไปก่อนจนกว่าท่านอาจะหายหรือดีขึ้นกว่านี้”
ชิงกวานอ๋อง ยิ้มน้อยๆ
“ชินอ๋อง อืม ไม่เลวควรจะมีหน้าที่รับผิดชอบเสียบ้างมิใช่เที่ยวเล่นสนุกไปวันๆ หรือไม่ก็เที่ยวระรานชาวบ้านจนต้องมีคนถวายฎีกามายังราชสำนักบ่อยๆ ”
“หลายวันมานี้ชินอ๋องช่วยงานหลานได้มาก บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณอันดีว่าต่อไปนี้ชินอ๋องจะ รู้จักรับผิดชอบงานในราชสำนักเสียบ้าง”
ชิงกวานอ๋องยิ้ม ยกจอกชาขึ้นจิบช้าๆ
“ฝ่าบาท ชิงกวานอ๋องหากวางมือได้ ก็อยากจะวางมือเสียเพราะตอนนี้ไม่ได้คาดหวังสิ่งใดแล้วทั้งทรัพย์สินเงินทองและตำแหน่งหน้าที่ล้วนสูงสุดสิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คือความสงบสุข สองวันมานี้ทำให้คิดได้ว่ายังหาความสุขไม่พอ..”
อู่อินเฉิงกลับคิดว่า ชิงกวานอ๋องพอใจที่มีคนข้างกายอย่างเสี่ยวเจิ้ง จึงพอใจเท่านี้
“ท่านอา ราชสำนักยังต้องการท่านอา อู่อินเฉิงตอนนี้แม้จะสามารถดูแลราชสำนักและแคว้นเหว่ยได้เพียงลำพังแล้ว แต่ทว่าไม่มีท่านอาเช่นไรจึงจะมีข้าอู่อินเฉิงในวันนี้ หากจะให้อู่อินเฉิงขอร้องให้ท่านอาช่วยหลานก่อนก็ไม่ผิด”
ชิงกวานอ๋องถอนหายใจยาว
“เสี่ยวเจิ้งนางสดใสน่ารัก ข้าเมื่อนางเข้ามาในจวนอ๋องทำให้จวนอ๋องไม่เงียบเหงาเหมือนเคยบางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ชิงกวานอ๋องไขว่คว้ามาตลอด”คิดไปเองว่าชิงกวานอ๋องมีใจให้กับเสี่ยวเจิ้ง
“หลานเองไม่ได้มีสิ่งใดขัดข้องหากท่านอาจะยกย่องนาง”
“ดีแล้ว ชิงกวานอ๋องจะถือว่านี่คำขอแรกและคำขอเดียวของชิงกวาน หากฝ่าบาทขัดข้องชิงกวานอ๋องก็คงจะต้องยอมขัดบัญชาสักครั้ง”
ยิ้มสดใส ในแบบที่อู่อินเฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน
ป้อคุนก้าวเดินลัดเลาะไปในจวนด้วยความชำนาญหันหน้าหันหลัง สะดุดตาเข้ากับ เรือนหลังน้อยในป่าไผ่เขียวครึ้ม ที่สะอาดสะอ้านประดับตกแต่งอย่างดงาม เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง จงหลินกระโดดออกมายืนขวางหน้า ป้อคุนไว้
“ท่านเป็นใคร”
จงหลินอ้าปากค้างเมื่อจำได้ขึ้นใจว่าคือป้อคุนคนที่ ช่วยหยิบถึงเงินจากตาเฒ่าในห้องเครื่อง
“ใต้เท้า”
“เจ้า เป็นเจ้าเองหรือ”ส่ายหน้าไปมา
“ท่านหมายถึงอะไรจงหลินไม่เข้าใจ”
“เจ้าเองหรือไรที่…เป็นบุตรีบุญธรรมของท่านอ๋องไหน..ชือหรูบอกว่าแค่หญิงใบ้”ท้ายประโยคส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ
“ไม่ไม่ไม่ไม่ใช่ข้า เป็นเสี่ยวเจิ้ง”
เสี่ยวเจิ้งเดินออกมาจากเรือนหลังเล็ก เงยหน้าขึ้นช้าๆ ป้อคุนอ้าปากค้างเมื่อเห็นใบหน้าของเสี่ยวเจิ้งชัดเจนเต็มตา
เสี่ยวเจิ้งยิ้มบางๆ ให้กับป้อคุนเพราะจำเขาได้ดี
“เป็นนางอย่างนั้นหรือเป็นนาง”
น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ จงหลินจ้องป้อคุนที่อ้าปากค้าง เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที