อู่อินเฉิงควบม้าด้วยความเร็วมุ่งตรงยังตำหนักฤดูหนาวที่ห่างไกลจากวังหลวงนับ ร้อยลี้
“ชือหรูไปไหน ทำไมไม่มากับเกี้ยว”
จงหลินตั้งข้อสังเกต เสี่ยวเจิ้งเปิดผ้าม่านมองหาชือหรูแต่ก็ไม่เห็น
ส่งภาษามือเหมือนจะบอกว่าชือหรูคงล่วงหน้าไปก่อนแล้ว จงหลินพยักหน้าเข้าใจแต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ ในเมื่อวันนี้หยวนกังไม่ได้ออกมาด้วย
คนหามเกี้ยว พาเกี้ยวลัดเลาะไปตามชายป่าก่อนจะถึงย่านร้านตลาดบุรุษที่สวมอาภรณ์สีดำมีผ้าปิดบังใบหน้าเข้าล้อมเกี้ยวไว้คนหามเกี้ยวต่างวางเกี้ยวรอดูท่าที
“หยุดเกี้ยว”คนหามเกี้ยวรู้แล้วว่าคนทั้งหมดไม่ได้มาดีแน่ ชักกระบี่ออกมาป้องกันตัว แต่ทว่าบุรษนับสิบมีหรือจะเกรงกลัว ต่างคนต่างห่ำหั่นฟาดฟัน คนหามเกี้ยวล้วนบาดเจ็บร้องโอดโอยด้วยกำลังคนและฝีมือด้อยกว่า
“ส่งของมีค่ามาให้หมด”จงหลินกำมือเสี่ยวเจิ้งไว้แน่น
“หนี”
เสี่ยวเจิ้งเหลือบตามองช่องหน้าต่างตรงผ้าม่าน รีบพุ่งตัวออกไปจากเกี้ยวแต่ช้าไปเสียแล้ว บุรุษผู้หนึ่งขวางหน้าไว้ กระชากร่างเล็กของจงหลินติดมือไป
“ฮ่าาาา มี สาวงามด้วยข้าขอคนนี้ เฮ้ยข้าเอาอีกคนหนึ่งละกัน”
จงหลิน ก้มลงกัดไปบนท่อนแขนของ บุรุษผู้นั้นที่มือไวเท่าความคิดสะบัดมือเข้าใส่ใบหน้าบางของจงหลินจนล้มลงไปกองกับพื้น
“นางตัวดีกล้าทำร้ายข้าหรือมานี่”
ดึงร่างบางของจงหลินออกห่างจากเกี้ยวเข้าไปในป่า เสี่ยงเจิ้งสะบัดมือออกจากการเกาะกุมเตรียมที่จะวิ่งออกจากตรงนั้น แค่เพียงพริบตาบุรุษผู้นั้นก็ใช้ผ้าในมือโปะเข้าที่ปากครึ่งจมูกร่างบางของเสี่ยวเจิ้ง ล้มพับลงอย่างรวดเร็ว
จวนอ๋อง
“ท่านอ๋องเกิดเรื่องใหญ่แล้ว คุณหนูเจิ้งเหม่ยอิงถูกโจรป่าจับตัวไป”
ชิงกวานอ๋องลุกพลวดก่อนจะล้มลงไปบนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าเหยเก
“ท่านอ๋องถนอมพระวรกายด้วย”หยวนกังรีบเข้าไปพยุง
“หยวนกังส่งคนออกตามหาคุณหนูแล้วคาดว่าจะยังไปได่ไกล”
จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งมาส่ง จงหลินที่สิ้นสติที่หน้าจวนอ๋อง ทั้งๆ ที่คุณหนูเสี่ยวเจิ้งออกไปได้ไม่นานหยวนกังจึงคิดว่าอาจจะตามทันได้ไม่ยากนักหยวนกังหารู้ไม่ว่านั่นคือคนของป้อคุนที่ ให้มาส่งข่าวเพื่อแผนการของอู๋อินเฉิงจะได้ล้มเหลว
บุรุษ ผู้หนึ่งควบม้าพร้อมกับเชือกจูงม้าอีกตัวบนหลังม้าตัวถัดมามีร่างไร้สติของเสี่ยวเจิ้งบนนั้น”
ม้าหนุ่มพุ่งทะยาน ไปยังตำหนักดูหนาว ราวกับลูกดอกพุ่งเข้าเป้า
ตำหนักฤดูหนาว
“ ด้านล่างนั่นมีบ้านพัก ป้อคุนอารักขาข้าที่นั่นก่อนจะขึ้นมาบนเขา ส่วนบนนี้ข้าจะอยู่ที่นี่สั่งสอนหญิงใบ้ นั่นเพียงลำพัง”
“ฝ่าบาท แต่ที่นี่ยามนี้ลำบากยิ่งนักอีกทั้งยังหนาวเหน็บ ฝ่าบาทจะใช้ชีวิตที่นี่ไร้คนปรนนิบัติได้อย่างไรไหนจะเรื่องเครื่องเสวยและเรื่อง…หลับนอน”
อู๋อินเฉิงยิ้มมุมปาก
“ เนื้อสัตว์แช่แข็งกับเสบียงเมื่อครั้งปีก่อนๆ ยังมีอีกมาก เจ้าไม่ต้องกังวลเจ้าเองนั่นล่ะควรลงจากเขาไปหาซื้อข้าวของมาตุนไว้ เพราะข้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะอยากกลับไปหรือจนกว่าท่านอาจะเลิกตามหาหญิงใบ้นั่นเสีย”
“ฝ่าบาทแล้ว งานในราชสำนักเล่า”
“ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง ตอนนี้บ้านเมืองสงบอีกทั้งท่านอาบาดเจ็บจึงต้องรั้งที่วังหลวงอีกนานยังไม่กลับด่านชายแดนเป็นแน่ แค่ได้ยินว่าท่านอาอยู่ที่วังหลวง ก็ไม่มีใครกล้า”
ไม่มี สิ่งใดต้องห่วงจริงดังอู่อินเฉิงว่าไว้หากอู่อินเฉิงไม่ห่วงหมิงเยว่ฮองเฮาอย่างทุกครั้งที่ออกประพาสมักจะใช้เวลาไม่นาน เพราะอากาศหนาวจะทำให้หมิงเยว่ฮองเฮาอาการป่วยกำเริบ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พาหมิงเยว่ฮองเฮามาประพาสป่าด้วย การอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่งหรือสองเดือนก็ไม่มีใครสงสัย เพราะการประพาสป่ามักจะใช้เวลาในการเดินทางและประพาสป่าหนึ่งเดือนขึ้นไปอยู่แล้ว ผิดแต่ครั้งนี้ไม่มีคนติดตาม แล้วใครเล่าจะรู้ว่าอู่อินเฉิงมาพำนักที่ตำหนักฤดูหนาวแทนที่จะเดินทางไปยังทางเหนือล่าสัตว์เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“ไปได้แล้ว แล้วอย่าลืม เก็บกวาดคนที่พานางมาที่นี่ให้กับข้าด้วยจะทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้เขานำเรื่องนี้ไปบอกใคร”
ป้อคุนประสานมือลงเขาไป อู่อินเฉิงนั่งลงบนแท่นหินกว้างมองรอบๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ในฤดูหนาว ที่งอกงามอยู่บนซอกหิน สีสันแปลกตาตำหนักใหญ่โอบล้อมด้วยหินผาเหมือนตั้งใจซ่อนตำหนักไว้ภายในขุนเขา อู่อินเฉิงชอบที่นี่มากทว่า หมิงเยว่กลับไม่ชอบใจนักเพราะมาทีไร จะต้องใช้ชีวิตต่างจากในวังหลวงไร้คนปรนนิบัติพัดวี แต่เขาก็ไม่อยากให้หญิงใบ้โสมมคนนั้นมาทำให้ที่นี่แปดเปื้อนเช่นกัน ยิ้มหยันแต่เขาก็ไม่ได้ให้นางมาอยู่อย่างสุขสบายเสียหน่อยนางจะต้องรับใช้เขาอยู่อย่างอยู่ไม่สู้ตาย
อู่อินเฉิงเอนกายลงบนแท่นหินเผลอหลับไป สามชั่วยามผ่านไป ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขา ป้อคุณจูงม้าที่มีร่างของเสี่ยวเจิ้งพาดอยู่ขึ้นมาบนเขาหน้าตำหนักฤดูหนาว
“ฝ่าบาทเจิ้งอิงเหม่ยมาถึงแล้ว”
“ทิ้งนางไว้เจ้าลงไปเสีย”ป้อคุนหันหน้าหันหลัง
“ฝ่าบาทอากาศเย็นมากนางไม่ได้มีอาภรณ์กันหนาว”
“เจ้าก็ยกของเจ้าให้นางสิ”ป้อคุนถอดเสื้อคลุมห่มคลุมร่างที่พาดบนหลังม้า สงสารจับใจ
“ลงเขาไปได้แล้ว”ตวาดลั่นป้อคุนก้มหน้าประสานมือก่อนจะลงจากเขาไป
“นางหญิงใบ้คนนี้นี่ คงมีดวงพิฆาตบุรุษหรือไร ไม่ว่าใครเข้าใกล้นางมักจะอดสงสารนางไม่ได้”
พลิกร่างบาง ไว้ในอ้อมแขน ตั้งใจปลุกให้ตื่นไม่แม้แต่จะอุ้มเสี่ยวเจิ้งเข้าไปในตำหนัก ใบหน้างามที่เห็นทำเอาอู่อินเฉิงใจเต้นตึกตัก ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ กับดวงตาที่ปิดสนิทขนตาดำขลับเป็นแพรเรียงเป็นระเบียบ แก้มอิ่มมีเลือดฝาดกับลำคอระหงที่มีปอยผมปกคลุมกับผิวเนียนที่สัมผัสโดนท่อนแขนแข็งแรงของเขา อู่อินเฉิงกับคิดว่านางช่างเป็นหญิงธรรมดาที่มีบางอย่างต่างจากหญิงธรรมดาทั่วไป
“มิน่าเล่าท่านชิงกวานจึงหลงใหลนาง”