และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นเดียวกันที่ดลบันดาลให้เขารู้สึกสงสารไอ้หน้าอ่อนนี่ขึ้นมาซะงั้น
“เห็นว่าเพิ่งอกหักมานะ ดูแลหน่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วสิก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับโจ๊กพิเศษใส่ไข่ในมือ เขาเดินนำถุงโจ๊กไปวางบนโต๊ะเล็กๆ หน้าโซฟาที่อีกฝ่ายนอนอยู่ ก่อนจะเขียนโพสต์อิทเล็กๆ แปะไว้แล้วจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
หน้ามอ…
“วันนี้นายมาสาย” เสียงเอื่อยๆ ของไอ้เอ็มหรืออรรถพล เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของสิเอ่ยทักขึ้น
เมื่อเอ็มเห็นรูปร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาถูกระเบียบกับสัดส่วนสูงเกือบๆ 183 เซนติเมตร บวกกับท่าทางสุภาพเรียบร้อยของสิรภพเข้ามาในระยะสายตา ความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของสิทำให้เอ็มสามารถแยกเพื่อนของตัวเองออกจากท่ามกลางฝูงชนได้อย่างรวดเร็ว
สิรภพยิ้มแหยๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่นข้างๆ เพื่อนสนิทอย่างเซ็งๆ
“กินข้าวยังวะสิ” เอ็มเอ่ยถามด้วยความหวังดีหลังจากเห็นท่าทางของอีกฝ่ายดูเซ็งๆ
“กินแล้ว” สิพยายามเลี่ยงไม่ตอบคำถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงมาสาย เขาทำเพียงวางกระเป๋าลงก่อนจะหยิบมือถือออกมาเช็คกำหนดการในวันนี้อีกครั้ง
วันนี้มีคาบเรียนแค่สองคาบเองสินะ
“ควิซไหมวันนี้”
“คิดว่าไม่นะ” เอ็มส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวคนตัวสูงอย่างล้อเล่น
“ผมนายยุ่ง” ใบหน้าของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของสิรภพยกยิ้มขึ้นมาอย่างกวนโอ๊ย
“แล้วลูบทำไมวะ” ร่างสูงรีบปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าๆ ล้อเล่นแค่นี้เอง จริงจังไปได้” เอ็มแอบมองท่าทีของเพื่อนสนิทด้วยอาการแปลกๆ เพราะวันนี้สิเอาแต่เลื่อนดูมือถือด้วยความกังวลใจ
วันนี้มันมาแปลกแฮะ…
“นี่...เอ็มทำไมคนอกหักต้องทำท่าจะเป็นจะตายด้วยวะ” จู่ๆ สิก็เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือแล้วโพล่งถามคำถามที่คาใจออกไป
เมื่อนึกถึงสภาพเหมือนคนใกล้ตายของรูมเมทอีกคนเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัย มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ อะไรจะขนาดนั้น แล้วตอนนี้มันกินข้าวรึยัง...
“อืมม...ก็คงเจ็บละมั้ง” เอ็มเลิกคิ้วน้อยๆ ถามขึ้นอย่างสงสัย “ว่าแต่นายถามทำไมวะ?” เพราะเขาเองก็ไม่เคยอกหักก็เลยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
“เจ็บสินะ...” สิฟังคำตอบแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
ไม่เข้าใจเลยแฮะ…
Ring…Ring…Ring
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้คนที่ยังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างอิทธิพัชร์จำเป็นต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ หัวของเขาหนักอึ้ง ชายหนุ่มค่อยๆ ควานหาโทรศัพท์ที่ตกอยู่ไม่ไกลมือขึ้นมาดู
ยูกิ...
ชื่อที่แสดงบนหน้าจอคือชื่อของเพื่อนสาวที่อยู่ในกลุ่มของเขาเอง ชายหนุ่มจ้องมองจอโทรศัพท์นิ่งก่อนจะเลื่อนมือไปกดปุ่มรับ
“ตายรึยังยะ” นั่นคือคำทักทายแรกของวันจากเพื่อนสาว อิทขมวดคิ้วมุ่น อาการปวดหัวจากการเมาค้างทำให้เขารู้สึกอยากจะกดตัดสายอีกฝ่ายในทันที
“นี่....ตายรึยังยะ” เสียงปลายสายส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
เมื่อทนเสียงรบเร้าไม่ไหวอิทธิพัชร์จึงตอบกลับไปอย่างหน่ายๆ
“ยัง” ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งและพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ชายหนุ่มก็ต้องกุมขมับเมื่อพอลุกขึ้นนั่งหัวของเขาก็ปวดจี๊ดขึ้นมา
“โทรมามีไร” อิทถามปลายสายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะถูกรบการนอนหลับอันแสนหวาน
“จะบอกว่าจะเข้าเรียนแล้วนะอีก 30 นาที จะโดดรึไงยะ” เสียงปลายสายถอนหายใจหนักๆ ดูท่ายูกิเริ่มจะยัวะแล้วเหมือนกัน นี่อุตส่าห์โทรมาปลุกด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานมากแล้ว แต่เจ้าเพื่อนตัวดีของเธอก็ยังมาไม่ถึงห้องเรียนจนเกือบจะได้เวลาเข้าเรียนอยู่แล้ว
“ก็อีกตั้ง 30 นาทีแหนะ” อิทพูดเสียงเอื่อยๆ พยายามไม่ไปสะกิดจุดระเบิดของเพื่อนสาว เพราะเขาเห็นว่าสำหรับเวลาแค่นี้การเดินทางจากห้องของตนไปที่ห้องเรียนถือว่ายังคงมีเวลามากโขอยู่
“ใจเย็นน่า” อิทพูดเซ็งๆ
“ใจเย็นบ้าอะไร” แต่ทว่าปลายสายกลับไม่เย็นเสียแล้ว เสียงหวานๆ ของยูกิพูดรัวออกมาเป็นชุด
“วันนี้มีพรีเซ้นต์งาน นายลืมป่ะเนี่ย! รีบมาให้ไวเลยนะ”
“อืม...เดี๋ยวไป” อิทธิพัชร์นิ่งคิดเล็กน้อย แล้วชายหนุ่มก็จำได้อย่างรวดเร็วว่าวันนี้เขามีพรีเซ้นต์งานจริงๆ อิทพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้
“งั้นฉันวางละนะ” ทว่าปลายสายรีบทักท้วงขึ้นทันที
“เดี๋ยวก่อนสิยะ!”
ติ๊ด!
อิทกดวางสายแล้วโยนโทรศัพท์ราคาแพงของตัวเองทิ้งไว้บนโซฟา เขาติดรำคาญหน่อยๆ ที่ถูกรบกวนการนอน บวกกับอาการปวดหัวที่กำลังรุมเร้าทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายๆ
“ปวดหัวชะมัด” ร่างสูงพูดพลางกุมขมับตัวเองแน่นพลางบ่นกับตัวเองเบาๆ ตอนแรกเขาคิดว่าจะไปอาบน้ำสักหน่อยหัวจะได้โล่งๆ แต่สายตาของชายหนุ่มก็พลันไปสะดุดเข้ากับถุงโจ๊กและโพสต์อิทสีเหลืองอ่อนเข้าให้
‘กินซะ...’
ข้อความเขียนสั้น ๆ ไว้แค่นั้น เมื่อคนอ่านอ่านจบก็ยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นพลางนึกขอบใจรูมเมทที่ไม่ค่อยจะได้คุยกันคนนั้นในใจ
โจ๊กใส่ไข่พิเศษ ถึงแม้จะเย็นไปนานแล้วแต่ก็ยังคงความอร่อยอยู่
อิทกินโจ๊กที่รูมเมทของเขาซื้อไว้ให้จนหมดแล้วยกยิ้มอย่างพอใจ
“คราวหลังคงต้องซื้ออะไรมาตอบแทนบ้างแล้วสิ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้าเสื้อตัวนอกมาใส่ พลางหยิบกระเป๋าที่ใส่สมุดโน้ตกับของจุกจิกขึ้นมาสะพาย
“กี่โมงแล้วเนี่ย” เขาพูดพลางยกนาฬิกาที่ใส่อยู่บนข้อมือขึ้นมามองเวลา