ตอนที่ 2

1361 Words
“มาถึงแล้วก็นั่งสิ เจ้าจะยืนรอให้ข้าไปประคองมานั่งหรืออย่างไร คิดฝันเฟื่องเกินไปหน่อยหรือไม่” หลี่เหวินหลาง แม่ทัพหนุ่มรูปงามว่าที่ผู้นำตระกูลหลี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ซ้ำยังส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ไปยังร่างของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาตนเองอย่างไม่คิดปิดบัง ใช่แล้ว บุรุษผู้นี้คือสามีของไป๋ฟางเซียนนั่นเอง สามีที่ไป๋ฟางเซียนรักจนกระทั่งตายไปก็ยังรัก หลี่เหวินหลางคือบุตรชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพใหญ่นาม หลี่ เหวินชิง และฮูหยินใหญ่นาม เหลียนฮวา ผู้เป็นบิดามารดาบุญธรรมของไป๋ฟางเซียน ตระกูลหลี่เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ของเมืองหลวง ตระกูลหลี่ทุกรุ่นรับราชการดำรงตำแหน่งแม่ทัพปกป้องบ้านเมืองเรื่อยมา ไม่ฝักใฝ่อำนาจขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงผู้เดียว จึงได้รับความไว้วางใจต่อราชวงศ์อย่างมาก คนทั่วไปมักเรียกตระกูลหลี่ว่าตระกูลแม่ทัพ ด้วยความที่บรรพบุรุษเป็นทหารสืบต่อกันเรื่อยมา และล้วนเป็นคนไม่ชอบการแก่งแย่งอำนาจ หลี่ เหวินหลางเองก็เลือกรับราชการตามบรรพบุรุษ จนในที่สุดก็ใช้ความสามารถของตนคว้าตำแหน่งแม่ทัพของแคว้นมาครอบครองได้ หลี่เหวินหลางเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม เป็นแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล ก่อนหน้าที่เขาจะรู้ว่าตนกับไป๋ฟางเซียนเป็นคู่หมั้นกัน ชายหนุ่มก็ยังเอ็นดูและห่วงนางในฐานะน้องสาวอยู่บ้าง เนื่องจากคิดกับนางเป็นเพียงน้องสาวมาโดยตลอด ไม่มีจิตคิดเป็นอื่น ครั้นมารู้ว่าตนและนางเป็นคู่หมั้นกัน ทั้งนางยังไม่ปฏิเสธการหมั้นหมาย รวมไปถึงรู้ว่านางไม่ได้คิดกับตนแค่พี่ชาย ด้วยความที่ไม่อยากทำร้ายนาง หลี่เหวินหลางจึงได้ตีตัวออกหาก แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าเขาไม่รักนาง หวังให้นางรู้ตัวและหักห้ามใจจะได้ไม่เจ็บปวด ทว่าความหวังดีที่เขามีให้ ไป๋ฟางเซียนกลับมองข้าม ดื้อดึงคิดเอาชนะ ทำร้ายสตรีหลายนางที่มีใจต่อเขา ไป๋ฟางเซียนกลายเป็นสตรีร้ายกาจ การกระทำของนางทำให้เขารับไม่ได้และรังเกียจนางในที่สุด กระทั่งต้องแต่งกับนางเขายังไม่คิดร่วมหอ การที่นางทำร้ายสตรีอื่นเขายังพอทำใจได้อยู่บ้าง แต่การที่นางทำร้ายสหายสนิทที่นางมีอยู่เพียงหนึ่ง เพราะความหึงหวงเป็นเหตุเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เขารังเกียจนางมากกว่าสิ่งใด หลี่เหวินหลางชมชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน เป็นสตรีในห้องหอ ยึดถือหลัก 3 เชื่อฟัง 4 จรรยา ในเมื่อเขาชอบสตรีในลักษณะนิสัยเช่นนั้นแต่ไป๋ฟางเซียนกลับมีนิสัยตรงข้าม ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะร้ายกาจมากขึ้น จะให้เขาไม่รังเกียจนางได้อย่างไรไหว สตรีเช่นนี้มีแต่ต้องหนีให้ห่าง มีไว้ใกล้ตัวก็รังแต่จะทำให้ร้อนรุ่ม คล้ายถือเผือกร้อนหาความสงบสุขไม่ได้ อีกอย่างที่เขาไม่คิดสนใจไป๋ฟางเซียนหรือสตรีอื่นใดนั่นก็เพราะว่า หลี่เหวินหลางมีสตรีที่สนใจอยู่แล้ว สตรีเรียบร้อยอ่อนหวาน กิริยามารยาทเพียบพร้อม เพียงสบตาก็ยากจะหักห้ามความรู้สึก แสร้งทำตัวเย็นชาเฉกเช่นกับที่ทำต่อสตรีอื่นมิได้ คราแรกเขาก็มิได้คิดอะไรกับสตรีนางนั้น เพียงชมชอบที่นางงดงามอ่อนหวาน เพิ่งคิดอยากจะผูกสมัครรักใคร่ก็เมื่อสตรีใจร้ายด่าว่านางจนนึกสงสาร จากสงสารก็กลายเป็นความสนใจแต่ยังไม่ถึงขั้นรัก สำหรับตัวเขาแล้วเรื่องนี้ยังคงต้องดูต่อไปเรื่อย ๆ แต่ถามว่าเขาสนใจสตรีอื่นมากไปกว่านางหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่ ที่สำคัญที่เขาสนใจสตรีนางนี้มากกว่าผู้ใด มิใช่ว่ากระทำตามความรู้สึกของตนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขามีเหตุจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดกับนาง เป็นเหตุจำเป็นที่บอกกล่าวใครไม่ได้ และสตรีนางนั้นก็คือผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ สตรีที่มีนามว่า โจวเฟิ่งจิ่ว โจวเฟิ่งจิ่ว หญิงงามของตระกูลโจว นางเป็นบุตรสาวคนโปรดของเสนาบดีกรมคลังโจวเหลียงเกา เกิดจากฮูหยินเอกหลิวเฟิ่งหยา จึงเป็นบุตรีที่โจวเหลียงเการักและตามใจมาก โจวเฟิ่งจิ่วเป็นสาวงามที่ครอบครองตำแหน่งสตรีงามอันดับสองของเมืองหลวง ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตากลมโตสดใสมุมปากแย้มยิ้มอยู่เป็นนิจ กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวานแลดูน่าทะนุถนอม ชอบสวมใส่อาภรณ์สีขาวหรือสีชมพูอ่อน นั่นช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ความอ่อนโยนของนางยิ่ง ใครเห็นเป็นต้องหลงรักและเอ็นดู ซึ่งต่างกันกับไป๋ฟางเซียนลิบลับ ไป๋ฟางเซียนนิยมสวมใส่อาภรณ์สีฉูดฉาด ยิ่งสีเข้มเท่าไรยิ่งดี ไม่ว่าจะไป๋ฟางเซียนคนเก่าหรือคนใหม่ ต่างมีรสนิยมคล้ายคลึงกันทั้งสิ้น หากจะมีอะไรต่างกันคงเป็นเรื่องของความรักกระมัง ในขณะที่ไป๋ฟางเซียนคนเดิมหลงรักและบูชาบุรุษเจ้าของหัวใจ จนเรียกได้ว่าจมปลักเพียงคนเดียวไม่คิดเผื่อใจเวลาผิดหวัง ไป๋ฟางเซียนคนใหม่ที่มาจากยุคที่เจริญแล้วทุกด้านกลับต่างออกไป นางไม่คิดรักหรือบูชาผู้ใด หากนางจะรักใครสักคนบุรุษผู้นั้นย่อมต้องมีนางและรักนางคนเดียวเท่านั้น หากไม่มีใครตรงตามที่นางตั้งไว้ นางก็ไม่คิดมอบหัวใจให้ใคร หัวใจของนางมีดวงเดียว ฉะนั้นนางดูแลเองได้! “เมื่อไหร่เจ้าจะมานั่ง ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่คิดไปประคองจับจูงเจ้า ยังมัวรีรออะไรอยู่อีก ข้ามิได้ว่างคุยกับเจ้าทั้งวันนะ!” ‘ปากจัดมากพ่อ’ ไป๋ฟางเซียนคิดก่อนจะมองไปยังบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ลืมปรายสายตามองสตรีที่นั่งอยู่ข้างกัน มุมปากของนางกระตุกเหยียดยิ้ม ก่อนจะไปนั่งตรงข้ามกับโจวเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ด้านซ้าย ส่วนนางนั่งอยู่ด้านขวามือของหลี่เหวินหลาง ตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่ “หึ กิริยาน่ารังเกียจนัก” ไป๋ฟางเซียนไม่สนใจ นางยกมือขึ้นมากรีดนิ้วของตนเล่น สายตาจับจ้องที่เล็บขาวอมชมพูอย่างคนสุขภาพดีพลางชื่นชมในใจ หลี่เหวินหลางเห็นว่านางไม่สนใจก็โมโห กำลังจะต่อว่านางอีกระลอก สตรีที่ตนให้ความสนใจก็จับที่ต้นแขนของเขาไว้ พลางเรียกเสียงอ่อนหวานทั้งยังส่งสายตาห้ามปรามมาที่เขาด้วย “พี่เหวินเจ้าคะ” โจวเฟิ่งจิ่วปรามด้วยเสียงหวาน มองไปยังคนที่ตนรักด้วยสายตาหวานซึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองไป๋ฟางเซียนด้วยสายตาหวาดกลัวปะปนรู้สึกผิด ไป๋ฟางเซียนที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะพูดหรือมีสายตาเช่นใดตั้งแต่แรกก็มองไปที่อดีตเพื่อนรักของไป๋ฟางเซียนคนเดิมด้วยสายตารู้ทัน ‘เอาสิเล่นละครมาสิ ข้ามาจากยุคสมัยที่เจริญแล้ว ทั้งยังเรียนเอกการแสดง จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าที่เจ้ากำลังทำอยู่มันจริงหรือปลอม หากไม่เหนื่อยก็ทำมาเถอะ ข้าพร้อมดูมาก’ นางพูดในใจคนเดียว มุมปากก็ยังยกยิ้ม “ฮึ่ม!” หลี่เหวินหลางถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขาไม่แม้แต่จะปรายตามามองนางเลยด้วยซ้ำ ซึ่งนางก็ไม่คิดจะใส่ใจ ทำไมนางต้องใส่ใจคนที่รังเกียจ เกลียด และไม่รักนางด้วยเล่า นางไม่ใช่ไป๋ฟางเซียนคนโง่คนนั้นนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD