ตอนที่ 10

1377 Words
ยามโหย่ว[1] หน้าจวนตระกูลหลี่มีบุรุษหนุ่มรูปงามร่างใหญ่โตนั่งอยู่บนอาชาทมิฬสีดำอย่างองอาจ สายตาของเขาจับจ้องประตูจวนด้วยแววตาลึกล้ำ หลายวันก่อนเขาถูกบิดามารดาต่อว่าโดยมีต้นเหตุมาจากสตรีที่ตนรังเกียจ ทำให้เขาไม่กลับบ้านตนเองเป็นเวลาสามวัน ทว่าวันนี้เขากลับมาแล้ว กลับมาด้วยใบหน้าไม่ใคร่จะแจ่มใสเท่าใดนัก บุรุษผู้นั้นคือ หลี่ เหวินหลาง สามวันที่ผ่านมาเขาต้องนอนที่ค่ายทหารทั้ง ๆ ที่สามารถกลับมานอนที่จวนได้ แต่เขาก็ไม่มา เพียงเพราะกลัวว่าตนจะพลั้งมือทำร้ายลูกรักของบิดามารดาเข้า แต่ว่าวันนี้เขากลับมาแล้ว กลับเพราะทนฟังเสียงชื่นชมของสหายสนิทที่มีต่อไป๋ฟางเซียนไม่ได้ คิดดูเถิด ขนาดนางไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับสหายของเขาเป็นการส่วนตัว ยังทำให้สหายหน้ามึนผู้นั้นพูดถึงนางแทบจะตลอดเวลา กล่าวชมนางไม่หยุดหย่อน จนเขามิสามารถทนฟังเสียงชื่นชมเหล่านั้นได้ จำต้องควบขี่ม้ากลับมาที่จวน นี่ขนาดยังไม่รู้จักกันสหายเขายังเป็นได้ถึงเพียงนี้ หากได้รู้จักและสนิทสนมกันมากเล่า เกรงว่าซูเฉินสหายของเขาคนนี้คงได้หลงใหลสตรีร้ายกาจยากถอนตัวแล้ว เพียงแค่คิดถึงชื่อของสตรีที่มีฐานะเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของตน ใบหน้าที่ไม่แจ่มใสในตอนแรกก็กลับกลายเป็นมืดครึ้ม เขาไม่อยู่จวนสามวันไม่รู้ว่าสตรีร้ายกาจนางนั้นเป่าหูอันใดบิดามารดาของตนอีกบ้าง หลี่เหวินหลางบังคับม้าเข้าไปในประตูจวนที่มีบ่าวเปิดรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเข้ามาแล้วก็ลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว โดยให้บ่าวรับใช้คนสนิทนามตงผิง นำอาชาทมิฬตัวโปรดไปเก็บไว้ที่คอกส่วนตัวของมัน “ตงผิง นำเสี่ยวเฮยไปเก็บที่คอก และหาน้ำให้มันกินด้วย” เสี่ยวเฮยคือชื่อของม้าที่เขาควบขี่มานั่นเอง “ขอรับท่านแม่ทัพ” ตงผิงรับคำ แล้วนำเสี่ยวเฮยเดินแยกจากไปทันที หลังบ่าวรับใช้คนสนิทและม้าตัวโปรดเดินแยกไปอีกทาง หลี่เหวิน หลางก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ทันที ที่ตรงไปที่นั่นก็เพราะว่าตอนนี้คงได้เวลาอาหารเย็นของจวนแล้ว ที่สำคัญเขาต้องไปคารวะบิดามารดาด้วย เพื่อให้รู้ว่าเขากลับมาแล้ว ไม่นานชายหนุ่มก็เดินมาถึงเรือนใหญ่ที่ว่า หลี่เหวินหลางได้ยินเสียงใสหัวเราะพูดคุยกับบิดามารดาตนเองอย่างสนุกสนาน พลันรู้สึกไม่พอใจที่เห็นไป๋ฟางเซียนมีความสุข นางมีสิทธิ์อันใดถึงได้ยิ้มแย้มและหัวเราะ ในขณะที่เขาไม่สบายใจคิดเรื่องของนางจนปวดหัวกัน ยิ่งคิดหลี่เหวินหลางก็ยิ่งหงุดหงิด ทว่าต้องรีบปรับอารมณ์ของตนเพราะกลัวว่า หากเข้าไปหาบิดามารดาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม เกรงว่าจะโดนต่อว่าอีก ครั้นปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งได้แล้ว หลี่เหวินหลางจึงเดินเข้าไปหาทุกคน เพียงร่างของเขาปรากฏเสียงหัวเราะและพูดคุยก่อนหน้าก็เบาบางลงก่อนจะเงียบไป นี่คืออะไร เขากลายเป็นคนนอกอีกแล้วใช่หรือไม่? “คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ ข้ากลับมาแล้ว” หลี่เหวินหลางเอ่ยทักทายบิดามารดาที่มองมายังตนด้วยสายตาราบเรียบ ทว่าเขาก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจซุกซ่อนอยู่ “หึ กลับมาแล้วหรือพ่อตัวดี ไม่นอนที่ค่ายทหารของเจ้าไปเลยล่ะ” “โธ่... ท่านแม่ขอรับ นี่บ้านข้านะขอรับ อย่างไรข้าก็ต้องกลับมา ข้าจะทิ้งบ้านตนเองไปได้เช่นไร” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้ไป๋ฟางเซียนมุ่นคิ้วก่อนจะคลายออกอย่างรวดเร็ว คงจะบอกนางอ้อม ๆ สินะว่านี่คือบ้านของเขา นางไม่มีสิทธิ์ แล้วอย่างไร ใครอยากได้กัน นางสร้างใหม่เองก็ได้! “มาแล้วก็ดี บ้านก็อยู่แค่นี้ทำไมต้องนอนที่ค่ายทหารด้วยก็ไม่รู้” เหลียนฮวาเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “พอดีต้องฝึกทหารหนักนิดหน่อยน่ะขอรับ ข้าเลยถือโอกาสพักที่นั่นเลย ไม่ต้องไปกลับให้เหนื่อย” “คิดว่าแม่รู้ไม่ทันลูกหรืออย่างไร หึ” เหลียนฮวาตอบกลับจ้องไปที่บุตรชายอย่างจับผิด แต่หลี่เหวินหลางกลับไม่สะทกสะท้านทั้งยังฉีกยิ้มให้อีกด้วย “เอาละ เอาละ มาก็ดีแล้ว เรียกให้พ่อครัวหม่าและบ่าวคนอื่นตั้งโต๊ะเถอะ ข้าหิวแล้ว” หลี่เหวินชิงเอ่ยออกมาเป็นอันว่าทุกคนต้องหยุดการสนทนา แล้วเรียกข้ารับใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะทันที อาหารแต่ละรายการทยอยขึ้นโต๊ะทีละจานจนหมด หลี่เหวินหลางเมื่อเห็นและได้กลิ่นหอมของอาหารพลันรู้สึกหิวขึ้นมา ครั้นบิดาเริ่มตักอาหาร เขาจึงลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที หลี่เหวินหลางตักกิน คีบกินอย่างไม่สนใจใคร อาหารวันนี้ถูกปากเขาอย่างมาก มันกลมกล่อมและอร่อยเป็นพิเศษ ยามเคี้ยวก็รู้สึกได้ว่ารสชาติของอาหารตลบอบอวลอยู่ในปากจนเขาแทบกลืนลิ้นของตนเอง แม่ทัพหนุ่มอดปรายสายตาไปยังพ่อครัวของจวนที่ยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ได้ “อาหารไม่ถูกปากหรือขอรับท่านแม่ทัพ” พ่อครัวหม่าถามอย่างระวัง “เปล่า อาหารมื้อนี้อร่อยมาก ฝีมือของพ่อครัวหม่าพัฒนาขึ้นใช่หรือไม่” พ่อครัวหม่ายิ้มบางก่อนส่ายหน้าปฏิเสธและตอบกลับว่า “อาหารสามจานที่คุณชายกินบ่อยที่สุดหาใช่ฝีมือข้าขอรับ” “มิใช่ฝีมือท่านแล้วเป็นฝีมือใครเล่า” หลี่เหวินหลางสงสัยยิ่ง คิ้วเข้มขมวดน้อย ๆ มือก็ยังตักอาหารตรงหน้าเข้าปากไม่หยุด โดยเฉพาะต้มจืดหมูสับ “เป็นฝีมือของฮูหยินน้อยขอรับ” “แค่ก แค่ก! อันใดนะ ท่านว่าฝีมือใครนะ” “ฝีมือฮูหยินน้อยขอรับ” ได้ยินคำตอบเดิมของพ่อครัวหม่า หลี่เหวินหลางก็ทำอันใดไม่ถูก อาหารอร่อยถูกปากเขาจริงอยู่หรอก ทว่าพอรู้ว่าใครเป็นคนทำก็ไม่อยากตักเข้าปากเสียนี่ เขามองอาหารสามจานตรงหน้าอย่างชั่งใจว่าควรทำอย่างไรดี ไป๋ฟางเซียนยิ้มมุมปากเพียงนิดก่อนพูดขึ้นว่า “เห็นท่านพี่ชอบอาหารฝีมือข้า ข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ ไว้ข้าจะลงครัวบ่อย ๆ นะเจ้าคะ” หลี่เหวินหลางเงยหน้ามองคนพูดก็เห็นว่าอีกฝ่ายมองมาที่ตนด้วยสายตาล้อเลียน มุมปากบางแย้มยิ้มอย่างขบขัน ก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญยิ่ง หลี่เหวินหลางก้มลงกินข้าวในถ้วยตั้งใจว่าจะไม่ตักอาหารที่ไป๋ฟางเซียนทำอีก แต่เหมือนความอยากที่มีจะไม่เชื่อฟัง เมื่อกลิ่นหอม ๆ ของขาหมูตุ๋นยาจีนโชยเข้าจมูก แม่ทัพหนุ่มก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูขึ้นมากัดกิน ละทิ้งความตั้งใจเดิมของตนทันที ไป๋ฟางเซียนมองชายหนุ่มยิ้ม ๆ แล้วก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นางก้มหน้าก้มตากินของนางไป บางครั้งก็ตักอาหารให้บิดามารดาบุญธรรมบ้าง การกระทำของนางทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกไม่พอใจ เขารู้สึกขัดใจอย่างมาก นางตักอาหารให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ แล้วตัวเขาเล่า นางมิเห็นตักให้ทั้ง ๆ ที่เขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ เขาเป็นสามีนางนะ! ความคิดของหลี่เหวินหลางแน่นอนว่าไป๋ฟางเซียนไม่รู้ และถึงรู้ก็ไม่คิดจะใส่ใจ จวบจนมื้ออาหารเย็นผ่านไป ทั้งสี่จึงได้แยกย้ายกลับเรือนของตน [1] ยามโหย่ว คือ 17:00 – 18:59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD