ตอนที่ 1 อยากหนีไปบวชชี!

2130 Words
‘ไอ้บ้าเอ๊ย! ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ!?!’ ต่อให้บ่นอย่างไร เรื่องที่ต้องเผชิญมันก็ไม่เปลี่ยนง่าย ๆ ตอนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังถอนหายใจอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์คันโตของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจด้วย ว่าที่ตัวเองมาอยู่ในสภาพนี้มันเพราะ... “เออ ๆ เพราะฉันเอง แล้วไง! แค่ดูตัวแทบจะทุกวันมันจะทำไม ปู่กังวลเกินไปแล้ว!!” เธอยังคงบ่นกับตัวเอง และลามไปถึงผู้ปกครองซึ่งเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก เรื่องมันเกิดจากเมื่อสองเดือนก่อน ‘แพรววนิด’ หรือ ‘พะแพง’ เดินเล่นอยู่ในเมืองอันแสนวุ่นวายตามปกติ แต่ใครจะคิดล่ะว่าคนที่โดนปฏิเสธ และอกหักมาสองครั้งจากชายคนเดิม ดันไปเข้าตาตาเฒ่าตัณหากลับเสียได้ หากแก่ธรรมดามันก็ดีอยู่หรอก แต่เพราะว่าเป็นคนมีอำนาจในพื้นที่ เธอเลยต้องมานั่งทำอะไรที่ไม่อยากทำอยู่แบบนี้นี่ไง แถมปู่ของตัวเองยังไม่อยากมีปัญหา และไม่อยากยกหลานสาวให้ด้วยเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการดูตัวแทบจะรายวันของเจ้าหล่อน และครั้งนี้เป็นเหมือนความหวังอันเล็กน้อยว่าตัวเอง... จะมีสามีสักที “ไม่อยากมีโว้ย!! สามีบ้าสามีบออะไร ให้ตายสิ!” แพรววนิดเอาคางเกยพวงมาลัย มองไปยังถนนเบื้องหน้า เธอจอดรถในที่จอดมาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เจ้าหล่อนยังทำใจลงไปเผชิญกับความจริงไม่ได้ “ไอ้เสี่ยบ้า! มีเมียแล้วยังจะอยากได้ฉันอีก” อีกครั้งที่เจ้าหล่อนถอนหายใจออกมาเสียงดัง เครียดจนรู้สึกว่าช่วงนี้โลกมันไม่สดใสเอาเสียเลย “หรือฉันจะใช้โอกาสนี้ไปขอร้องเขาดี ‘มาแกล้งเป็นแฟนฉันหน่อยสิคะ’ เผื่อว่าแกล้ง ๆ เป็นแฟนกันไป จะเป็นแฟนกันจริง ๆ ไง... เฮ้อ~ ไร้สาระชะมัด” เมื่อนึกถึงหน้านิ่ง ๆ ของชายหนุ่มที่ปฏิเสธเจ้าหล่อนถึงสองรอบ รอยยิ้มและความคิดอันบรรเจิดมันได้ถูกดับลงทันที ทางที่ดีอย่าเจอกันเลยจะดีกว่า... ถ้าไม่อยากร้องไห้งอแงเป็นเด็กอีกรอบ Errr~ เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องดังลั่น เจ้าของรีบหันไปคว้ากระเป๋าซึ่งวางอยู่เบาะข้างคนขับ และเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอตอนนี้ มันยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดพุ่งสูงขึ้นแทบทะลุหลังคารถ! ‘เรไร’ [งะ...] “เจ้ากี้เจ้าการนักนะ! ใครให้แกถึงขั้นหาคู่ดูตัวให้ฮะ!! แค่ฉันโทร. ไปปรึกษา ไม่ได้ให้หาผัวให้นะโว้ย!!!” เรื่องอะไรที่ติดอยู่ในใจ เจ้าหล่อนระบายออกมาจนหมด ส่วนคนเจ้ากี้เจ้าการรีบดึงโทรศัพท์มือถือของตัวออกห่างทันที ไม่อย่างนั้นได้มีหูน้ำหนวกไหลกันบ้าง ก็ยัยแฝดคนน้อง เสียงเบาที่ไหน [อะ... เอาน่า~ ก็เห็นแกบ่นเรื่องคู่ดูตัวไม่ถูกใจ ฉันก็เลยหาคนโพรไฟล์ดีให้แกไงแพง เป็นทนายเลยนะ แถมหน้าตาก็... เออ พอไปวัดไปวาได้] “แล้วทำไมแกไม่เก็บเอาไว้เองล่ะ โสดแต่เกิดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ยังจะมาหาคู่ให้คนอื่นเขาอีก!” เป็นคำพูดที่แทงใจดำเสียจริง ‘เรไร’ หรือ ‘เร’ ตอนนี้ทำงานอยู่ในนครอันกว้างใหญ่ เมืองหลวงประเทศไทย เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมที่เดียวกันกับแฝดทั้งสอง เจ้าหล่อนเลยหวังดี หาคนหน้าที่การงานดีมาเสิร์ฟเพื่อนถึงที่ แม้ว่าตัวเอง... จะโสดตั้งแต่เกิดก็ตาม [แหม~ ก็ฉันไม่ได้ไปถูกตาต้องใจเสี่ยหัวงูที่ไหนเหมือนใครบางคนนี่ ฉันเลยไม่ต้องรีบ] เรไรหัวเราะออกมาอย่างสะใจ จนลูกน้องในทีมของตัวเองหันมอง พร้อมถอยออกห่าง “ไอ้!!!...” [แอะ! อย่าขึ้นเสียงนะ เดี๋ยวหน้าเหี่ยว ใส่ชุดที่ฉันส่งไปให้หรือเปล่า แต่งหน้าทำผมอย่างที่ฉันบอกมั้ย เปิดกล้องเดี๋ยวนี้เลย!] เสียงฮึดฮัดตามมาด้วยหน้าจอของคนอยากรู้อยากเห็นสว่างจ้า ภาพคือคนหน้าบึ้ง ในชุดเดรสกระโปรงสีชมพูที่เจ้าหล่อนส่งไปให้ ผมลอนหยักศกยาวสีสนิมซึ่งเจ้าของชอบมัดอยู่ตลอดเวลาถูกปล่อยสยายถึงเอว แม้ว่าจะแต่งหน้าอ่อนไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วใช้ได้ [โอเค! ผ่าน ไปหาคุณทนายได้] “ไม่ต้องมาสั่งเลย ยิ่งกว่าพี่เพื่อนอีกนะเธอน่ะ!” ว่าแล้วก็บุ้ยปากใส่เพื่อนตนอีกหนึ่งที ก่อนจะปิดกล้อง เปลี่ยนมาคุยแบบปกติแทน “ถ้าฉันไม่ไปจะเป็นอะไรมั้ย?” ตอนนี้เปลี่ยนมาอ้อนวอนแทน แพรววนิดยังไม่อยากแต่งงาน และยังไม่อยากโดนจับแต่งงานด้วย เพราะใจของเธอยังมีชายคนนั้นไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าการเจอกันครั้งล่าสุด... จะผ่านมาเป็นปีแล้วก็ตาม แต่ทำไมไอ้หัวใจมันไม่ยอมฟัง คิดถึงแต่เขาไม่ยอมจาง... [เลือกเอาระหว่างเป็นเมียทนาย หรือเป็นเมียไอ้เสี่ยนั่น!] เป็นตัวเลือกที่ไม่สามารถเลือกได้เลยจริง ๆ เพราะไม่อยากได้ทั้งคู่! คนสวยประจำวันนี้หน้าหงิกอีกรอบ เมื่อได้ยินตัวเลือกที่เพื่อนของตนหยิบยกมาพูด แพรววนิดเพิ่งจะยี่สิบแปดปีเองนะ ยังไม่แก่ขนาดจะหาใครมาเป็นสามีไม่ได้เสียหน่อย! ‘แต่ฉันโดนปฏิเสธมาแล้วถึงสองรอบ แถมต่อหน้าด้วย’ ... หรือการแต่งงานกับคุณทนายจะดีกว่าจริง ๆ? “โอเค ๆ แค่นี้นะ” [ทำหน้าดี ๆ ยิ้มกว้าง ๆ ถ้าเขาพูดอะไรไม่เข้าใจ ก็แค่พยักหน้าเบา ๆ และยิ้มให้ เข้าใจใช่หรือเปล่า?] “สั่งเป็นแม่เลย! เข้าใจแล้ว วางนะ!!” โทรศัพท์มือถือปลิวไปอยู่บนเบาะข้างตนอย่างแม่นยำ ส่วนเจ้าของ... “ฮืออออ~ หนีไปบวชชีเลยดีหรือเปล่า?” ยังคงนั่งทำใจอยู่ในรถยนต์คันโตของตัวเองไปพักใหญ่ หลังจากจับตาดูเป้าหมายมาตลอดสองวัน และวันนี้ตึกสูงที่ยังไม่เปิดใช้งาน กำลังมีชายหนุ่มน่าสงสัยรวมห้าชีวิต จับจ้องไปที่ชายคนเดียว ในร้านอาหารฝรั่งเศสฝั่งตรงกันข้าม ผ่านทั้งหน้าจอ และลำกล้องของปืนกระบอกยาว ซึ่งมันสามารถปลิดชีวิตของชายคนนั้นได้ตลอดเวลาที่ต้องการ “ตามมาด้วยทำไม?” พี่ชายหรี่สายตามองดูน้องชาย ซึ่งกำลังส่องเป้าหมายจากกล้องของปืนกระบอกโปรดประจำตัว “เหงา เลยมาทำงานด้วย” ส่วนน้องชายก็ตอกกลับแบบกวนประสาทไม่แพ้กัน “อ่อ เพราะโดนทิ้งเลยมาติดพี่ชายแทนสินะ” คนเป็นพี่แค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย ทำเอาคนโดนทิ้งรีบหันมาขึงตาใส่พี่ชายทันที ตัวเองยิ่งรู้สึกแย่ แทนที่จะปลอบ! “พี่ขุน!” “ทำไม ฉันพูดผิดตรงไหนวะ โดนตบด้วยไม่ใช่เหรอ? เสียดายไม่มีวิดีโอ อยากเห็นชะมัด!” ขุนพลยังแหย่น้องชายอย่างต่อเนื่อง มันคือเรื่องปกติที่เจอได้บ่อย เวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน “น่าหมั่นไส้นะครับ ฆ่าคนไปทั้งคน ยังจะมาดูตัวแทนเขาอีก” แดนนี่หันไปกระซิบกับแซน ซึ่งใช้กล้องส่องทางไกลมองบริเวณรอบ ๆ หากชายคนนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาซาจริง ๆ ละก็ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะมีคนของพวกนั้นอยู่ใกล้ ๆ ด้วยเช่นกัน “นั่นสิ น่าหมั่นไส้” ว่าแล้วก็เหลือบไปมองคนนั่งเฝ้าหน้าจอ ตรวจจับสัญญาณที่น่าสงสัย รวมไปถึงเข้าแฮกไปในระบบของมือถือเป้าหมาย “เฮ้ย! อาโรว์ ไม่ได้หลับใช่หรือเปล่า?” “ผมไม่ใช่แซนนะ” เป็นการตอบกลับแบบทันควัน เล่นเอาคนโดนตอกกลับควันออกหู “ริกกี้ทำงานแย่จัง ยังไม่เจออะไรที่น่าสงสัยเลย ไม่สิ... มันดูว่างเปล่าผิดปกติ จนผมไม่รู้ว่าจะหาอะไรเลยครับ” “ยังไง?” ขุนพลเดินไปใกล้ผู้รับผิดชอบเรื่องไอทีของทีมชั่วคราวอย่างอาโรว์ ตอนนี้หน้าจอกำลังโชว์หน้าต่างโทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง และเจ้าของก็คือเป้าหมายที่กำลังติดตามอยู่ในตอนนี้ “หากจะสวมตัวตนของทนายที่ชื่อ ‘ชยกร’ คนนั้น อย่างน้อยต้องพยายามเป็นเขาไม่ใช่เหรอ? แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พยายามทำแบบนั้นเลยนะครับ เหมือนเป้าหมายแค่มาดูตัวอย่างเดียว” อาโรว์ยังคงรัวคีย์บอร์ด และไล่หาข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ต้องการเลย “การดูตัวครั้งนี้ มีความหมายอะไรมากกว่าการแต่งงานหรือเปล่าครับ?” “อืม... น่าสงสัยจริง ๆ ด้วย” ความเครียดเริ่มเข้ามาประทับบนใบหน้าทั้งคู่ ทั้งไม่เข้าใจ และรู้สึกไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน “เอ๊ะ! นั่นมัน... หน้าคุ้น ๆ นะ” ขุนศึก หรือน้องชายแท้ ๆ ของขุนพลส่งเสียงดังขึ้น พร้อมส่องกล่องและปลายกระบอกปืนไปยังคนหน้าคุ้น แถมเจ้าหล่อนยังเดินแปลก ๆ อีกต่างหาก “ไอ้คุ้นที่ว่าคือคุ้นยังไง แก้คุ้นเขาไปทั่วนะไอ้ศึก” คนเป็นพี่หรี่ตามองคนเป็นน้อง ถึงจะฝีมือดี แต่ยังขาดความรอบคอบอยู่มาก ตอนนี้เลยให้ทำงานจิปาถะของหน่วยไปก่อน “คุ้นจริง ๆ นะพี่ขุน เหมือน...” ขุนศึกทำหน้าคิด แต่ทุกอย่างมันติดอยู่ที่ปาก “... คุ้นมาก ๆ แต่คิดไม่ออก” “คุณเพื่อนครับ” แซนพูดขึ้นหลังจากมองหญิงสาวดูโดดเด่นที่สุดในกลุ่มคน แน่ล่ะ คลุกคลีกับเจ้าหล่อนมาเป็นเดือน จำไม่ผิดแน่นอน อีกครั้งที่สายตาทั้งห้าชีวิตมองไปยังหญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูผ่านอุปกรณ์ในมือของแต่ละคน เจ้าหล่อนเดินแปลกจนเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง แถมใบหน้าสวยยังหงิกงอ พร้อมริมฝีปากบ่นอุบอิบไปตลอดทาง “ไม่ใช่คุณเพื่อนครับ” ทั้งกล้องและโดรนที่บินเหนือเมืองอันแสนวุ่นวายตอนนี้ กำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวซึ่งหมุนวนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา เพียงแค่มองทำไมจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ต่อให้เจ้าหล่อนจะมีแฝดที่เหมือนกันมากก็ตาม แต่คนที่ทำให้หัวใจอันด้านชาสั่นไหว... มีแค่เธอคนเดียว “คุณแพง” อาโรว์เอ่ยชื่อเจ้าหล่อนอย่างแผ่วเบา มันอยู่ในลำคอ และลึกเข้าไปในใจของตัวเองด้วยเช่นกัน “อืม... เจอไวกว่าที่คิดแฮะ” หัวหน้าหน่วยกระดกยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกน้องของตนนิ่งสนิท แต่ดวงตาสีน้ำเงินของเขา ยังเอาแต่จับจ้องหญิงสาวผ่านหน้าจอตรงหน้าอยู่แบบนั้นไม่ยอมละสายตา “แล้วคุณแพงมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” แซนถามขึ้น พร้อมนึกเรื่องสำคัญได้ “จริงด้วย ที่นี่มันห่างจากสวนของเธอไม่เยอะ จะมาเที่ยวก็ไม่แปลกสินะ” “ใช่ ๆ หน้าเหมือนแฟนพี่โอบอย่างกับแกะ ตอนแรกยังคิดเลยว่าน่าเสียดาย แต่ถ้ามีคนสวยแบบนั้นอีกหนึ่งคนล่ะก็...” ขุนศึกดูจะไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองคนสวยผ่านลำกล้อง ตอนนี้เริ่มวางแผนจีบเธอไปแล้วกว่าสิบแผน “...น่าสนใจนะครับเนี่ย” “อย่างนั้นเหรอ?” ขุนพลไม่ใส่ใจคำพูดของน้องชายหรอก เพราะเรื่องน่าสนุกมันอยู่ที่หมาหวงก้างอย่างอาโรว์ต่างหาก “อ้าว ไปไหน?” ขุนพลทักขึ้น เพราะจู่ ๆ ลูกน้องที่นั่งนิ่งอยู่นานกลับลุกพรวด แต่สายตาดันจับจ้องไปที่แผ่นหลังของขุนศึกไม่วางตา แน่นอนว่าถ้าน้องชายทำอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่ต้องถึงมืออาโรว์หรอก เดี๋ยวลูกพี่ขุนจัดการให้เอง “ผมจะไปซื้อน้ำครับ หิวน้ำ” ไม่ทันให้ใครเข้ามาขัด อาโรว์รีบเดินออกจากห้องกว้างทันที เหลือเพียงสี่ชีวิตมองตามหลัง ก่อนจะหันไปมองแพคน้ำเปล่าด้านหลังสองแพคใหญ่ ขุนพลส่ายหน้าเล็กน้อย ส่วนแซนเองตอนนี้กลอกตามองบนจนลูกตาจะกลับด้านอยู่แล้ว “สงสัยอยากกินกาแฟหรือเปล่าครับ?” แดนนี่ผู้ไม่รู้อะไร รีบแก้ตัวให้อาโรว์ทันที แต่สำหรับคนที่รู้ ‘ทุกอย่าง’ อย่างขุนพลและแซน ได้แต่อมยิ้มให้กับความซึนเดเระของเขา “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นน้ำอย่างอื่นก็ได้”... น้ำที่ชื่อว่าพะแพงยังไงล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD