บ้านของประทีป
ชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านสีเหลืองอ่อนสองชั้น หลังคาสีน้ำตาลเข้ม พื้นที่ขนาดห้าสิบตารางวา โครงสร้างเป็นบ้านเดี่ยว แต่โครงการทำเหล็กคานให้เชื่อมต่อกับบ้านอีกหลังเพียงเส้นเดียวให้กลายเป็นบ้านแฝด เพื่อจะได้สามารถลดค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ซึ่งมีหลายโครงการใช้หลักการแบบนี้ บ้านแฝดที่เหมือนบ้านเดี่ยว
บ้านหลังแรกในชีวิต บ้านที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเขา บ้านที่คิดว่าเขากับพิมมาดาจะสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่เปล่าเลย เขาต่างหากที่คิดเอง
ประทีปเป็นเด็กวัด ตั้งแต่จำความได้ เขาก็รู้เพียงว่าพ่อนำมาฝากหลวงตาไว้ตั้งแต่เขาอายุได้เจ็ดขวบ หลังจากนั้นเขาก็อยู่กับหลวงตาและเรียนโรงเรียนวัดมาตลอด จนเมื่อเขาอายุสิบห้า หลวงตาได้พูดคุยกับบิดาของภาค ฝากฝังให้เด็กหนุ่มเข้าโรงเรียนที่เดียวกับภาค ลูกชายของท่านประธานในขณะนั้น
และนั่นก็ทำให้เขารู้จักภาค เขากับภาคสนิทสนมกันดี ทว่าช่วงที่ภาคไปเรียนต่อเมืองนอก พวกเขาก็ขาดการติดต่อกัน จนกระทั่งภาครับเขาเข้าทำงานทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ และเงินที่เขาทำงานนั่นแหละทำให้ผ่อนบ้านหลังนี้หมดภายในเวลาห้าปี
เขาโอนบ้านหลังนี้เป็นชื่อของพิมมาดาทันที ให้เป็นของขวัญในวันที่คบกัน บ้านน่ะเขาไม่เสียดาย ถ้าเขาไม่ตาย กี่สิบหลังก็ซื้อใหม่ได้ แต่สิ่งที่เขาเสียดายคือความรู้สึก เสียดายความรัก และได้แต่เฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองว่าเขาไม่ดีตรงไหน ทำไมเธอเลิกรักเขา สิ่งที่เขาทำให้เธอ เท่านี้ยังไม่ดีพอใช่ไหม
ป้ายชื่อบ้านเลขที่ เขากับพิมมาดาก็เลือกด้วยกัน
สวนข้างบ้านตรงนั้นอีก เขากับพิมมาดาช่วยกันตกแต่ง
เก้าอี้สนามตรงนั้นก็ด้วย เขากับพิมมาดาช่วยกันเลือก
ทุก ๆ อย่างในบ้านล้วนเป็นความทรงจำของเขาและพิมมาดาทั้งนั้น แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว
‘เราย้ายของออกมาแล้วนะ ส่วนของทีปก็แล้วแต่ทีปเลยนะ’
ประทีปเพิ่งเปิดอ่านข้อความจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียของเขามาตลอดสิบปี
‘เราขออยู่อีกสองวันนะ เดี๋ยวเราจะขนของออกเอง บ้านเป็นของพิมพ์’
‘ขอบคุณ’
ข้อความสั้น ๆ ที่ฝ่ายนั้นตอบกลับมา แม้เป็นข้อความสั้น ๆ แต่ประทีปใช้เวลาอ่านอยู่นานมาก เขามองหน้าจอมือถือที่เป็นรูปของเขากับเธอ รูปนี้เพิ่งถ่ายด้วยกันเมื่อไม่นาน ไม่คิดว่าจะเป็นรูปสุดท้ายที่ได้ถ่ายด้วยกัน
ประทีปเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปรดน้ำต้นไม้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำในทุก ๆ เช้าก่อนออกไปทำงาน
“ต่อไปต้องอดทนนะ ถึงไม่มีใครดูแลพวกแกก็ต้องอยู่ให้ได้ อย่าท้อล่ะ อีกหน่อยถ้าฉันมีที่อยู่ดี ๆ สามารถรับพวกแกไปอยู่ด้วยได้ ค่อยพาไป อยู่ให้ได้นะ ถึงไม่มีใครสนใจ เราก็ต้องอยู่ให้ได้” รดน้ำไปด้วยปาดน้ำตาไปด้วย บอกต้นไม้ แต่ทำไมความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังบอกตัวเอง
“ขอโทษนะที่ดีไม่พอ ขอโทษที่ให้ได้เท่านี้ ขอโทษจริง ๆ” เขานั่งลงข้างต้นแก้วดอกสีขาวพราวเต็มต้น พวกมันกำลังชูช่อเบ่งบานสู้ลมและอากาศร้อนในยามสายของวัน
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พิมมาดาอยากได้ แต่เขาให้ไม่ได้ เขายังมีไม่มากพอ เขายังไม่เก่งมากพอ ทั้งที่รู้แต่ไม่เคยใส่ใจ คิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าเท่านี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เราขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินหยดลงบนผืนหญ้าที่เขาคุกเข่า ความเจ็บจุกและความอัดแน่นในอกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาอีกครั้ง
“เรารักเธอจริง ๆ นะพิมพ์ เธอคือรักแรกและรักเดียวของเรา ขอโทษที่ดีไม่พอ ขอโทษที่ทำไม่ได้อย่างที่เคยพูดไว้”
‘ไม่ว่าพิมพ์อยากได้อะไร ทีปก็จะหามาให้’ นั่นคือคำพูดที่เขาบอกพิมพ์มาดาตั้งแต่คบกัน และตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่เคยหยุดทำงาน เขาทั้งเรียนทั้งทำงานพาร์ตไทม์ ซื้อทุกอย่างที่พิมมาดาอยากได้ สำหรับเขา ความสุขที่สุดคือการได้เห็นพิมมาดายิ้ม
แต่ยิ่งเธอเรียนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความต้องการของเธอก็มากขึ้นตามความรู้และสังคมที่อยู่ บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เธอทำและสิ่งที่เธอเป็น แต่เพราะคำว่ารัก เขาถึงยอมมาตลอด เพราะทุกครั้งที่พิมมาดาไม่ได้ดั่งใจ เธอก็จะพูดข้ออ้างเดิมที่เขาเคยบอกเธอไว้
‘ไม่ว่าพิมพ์อยากได้อะไร ทีปก็จะหามาให้’
สุดท้ายทุกอย่างก็เกิดจากเขา เพราะเขาทำตามที่สัญญาไม่ได้ พิมมาดาเลยเลือกที่จะไปจากเขา
“ขอโทษนะพิมพ์ ขอโทษ” ถ้อยคำขอโทษพร้อมทั้งน้ำตาลูกผู้ชายยังไหลไม่หยุด ประทีปใช้กำปั้นขวาทุบลงตรงอกข้างซ้าย มันเจ็บ มันจุกอยู่ตรงนี้เหมือนมีอะไรมากดเอาไว้
“ฮือ...ขอโทษ ขอโทษ” เสียงทุ้มของผู้ชายสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังก้มหน้าคุกเข่ากับต้นแก้ว เพียงแค่อยากให้ต้นแก้วนี้รับคำขอโทษของเขาไว้ คำขอโทษที่ผู้หญิงคนที่เขารักไม่มีวันได้ยิน