อาเหยียนเคยเล่าให้ฟังว่าคุณชายโจวเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกลางถนนเมืองเฉินหยาง ในวันที่ออกคำสั่งบังคับให้พาหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน และนั่นอาจจะเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เขามิกล้าออกไปไหนไกล แต่นานเท่าใดแล้วที่คุณชายขังตัวอยู่แต่ในบ้านและแปลงผัก นานเท่าใดแล้วที่เขาถูกโรคภัยไข้เจ็บกักขังเอาไว้ไร้อิสรภาพ
“คุณชายมิได้ออกจากบ้านมานานเท่าใดแล้วหรือเจ้าค่ะ”
“ปีกว่า..หรืออาจจะสองปี” คำตอบที่ฟังอย่างไรก็ดูมิใช่ความจริง หลุดออกมาจากปากของคุณชาย
“นอกจากอารมณ์เสียเก่งแล้ว ยังโกหกเก่งอีกด้วย!”
“หกปีแล้ว! ข้ามิได้ออกจากบ้านนานกว่าหกปีแล้ว!”
คุณชายโจวเล่อเทียนตอบเสียงดังฟังชัด ในเมื่อนางชอบกล่าวตะคอกเสียงดัง เขาก็จะเสียงดังด้วยเสียให้หมดเรื่อง
“แล้วเหตุใดวันนี้จึงออกมาจากบ้าน เหตุใดจึงมิรู้จักระวัง!”
“ก็ข้าจะมาง้อเจ้า!”
คำตอบของคุณชายทำเอาหลี่ซินเหมยถึงกับพูดมิออก
พอเห็นดวงหน้าของโฉมงามเปลี่ยนสี คุณชายเจ้าสำอางก็รีบยิ้มประจบ เพราะเข้าใจไปว่านางกำลังโกรธ เรื่องที่เขาเอ่ยวาจาขับไล่ไม่ไว้หน้ากันเมื่อเช้าที่ผ่านมา
“ข้าทำตัวเสียมารยาทและรู้สึกผิดต่อเจ้าอย่างมาก หากซินเหมยคิดจะลงโทษหรือต่อว่าอย่างไร ข้าล้วนยอมรับฟัง และจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าปรารถนา” เขายอมมิได้ หากจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ของนางอีก
“คุณชายแน่ใจนะเจ้าคะ ว่าจะยอมทำทุกอย่าง”
“แน่ใจสิ ลูกผู้ชายทำผิดต้องแก้ไข ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าจะทำตามคำสั่งทุกประการ” ยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางทำโจวเล่อเทียนรู้สึกเย็นวาบทั่วทั้งแผ่นหลัง
ดูเหมือนคุณชายเจ้าสำอางจะพลาดท่าเสียแล้ว
“ข้าอยากจะเข้าไปในเมือง และท่านต้องไปเป็นเพื่อนข้า”
หลี่ซินเหมยแจ้งว่าอยากได้เสื้อคลุมกันหนาวสักตัว เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คงถึงเวลาที่จะต้องใช้มันแล้ว
“แต่ท่านพ่อสั่งให้ข้ากลับบ้านก่อนค่ำมืด”
โจวเล่อเทียนมิค่อยสบายใจนัก แค่เดินออกจากบ้านมิไกลมาก เขายังอาการหนักคล้ายจะตายเสียให้ได้ หากต้องไปในตัวเมืองเฉินหยาง เขาไม่อยากคิดว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง
“อีกตั้งชั่วยามเศษกว่าฟ้าจะมืด คุณชายอายุตั้งสิบแปดปีแล้ว อย่าทำตัวเจ้าเป็นลูกแหง่ไปหน่อยเลยนะเจ้าคะ” นางกล่าวอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อทดสอบทฤษฎีของตน
คุณชายกลัวการเข้าเมืองจริงหรือไม่...
“ไม่ต้องกดดันกันอีกแล้ว หากอยากจะไปก็จงรีบไป ข้าจะไม่ผิดคำพูดของตนแน่!”
มือเรียวสั่นเทิ้มยามหยิบเอาหมวกใบโตขึ้นมาสวม ทว่ายังมิทันจะได้วางลงบนศีรษะ หลี่ซินเหมยก็ดึงมันออกไปเสียก่อน นางพยักพเยิดให้คุณชายมองไปยังท้องฟ้า ปรากฏว่าไม่มีแดดหลงเหลือแล้ว ทั้งคู่เดินออกจากบ้านอย่างเงียบ ๆ โดยที่โฉมงามขี้โมโหเดินนำหน้าไปก่อน โจวเล่อเทียนก้มมองดูแค่เท้าคู่เล็กของนาง และเดินตามต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดหมาย
แปลงผักหลวงสกุลโจว
“ไหนเจ้าบอกว่าอยากจะไปเที่ยวในเมือง แล้วเหตุใดจึงพาข้ากลับมาที่บ้าน”
“ที่ข้าแกล้งจูบคุณชายไปเมื่อวาน ขอให้หายกันกับเรื่องในวันนี้ ส่วนเรื่องซื้อข้าวของในเมือง เอาไว้คุณชายร่างกายแข็งแรง หายตื่นตกใจแล้วค่อยไปก็ยังมิสาย” นางยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าคุณชายทำท่าโล่งอกใหญ่โต
“งั้นรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะรีบกลับมา” เขาหายตัวไปเพียงชั่วอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมตัวหนึ่ง อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ โจวเล่อเทียนจึงไม่รอช้า รีบสวมเสื้อคลุมป้องกันความหนาวให้กับนางทันที
“เจ้าใส่เสื้อผ้าสมัยข้ายังเยาว์ได้ เสื้อคลุมตัวนี้ก็เป็นของเก่าของข้า หากไม่รังเกียจก็รับเอาไว้เถิด”
“คุณชายเมตตาข้ามากเกินไปแล้ว”
“หากเทียบกับเรื่องที่ข้าทำให้เจ้าไม่สบายใจ ของนอกกายแค่นี้ยังถือว่าน้อยไป ซินเหมย ต่อจากนี้ข้าขอสัญญาว่าจะไม่พูดจาร้าย ๆ กับเจ้าอีก หากมีเรื่องอันใดไม่พอใจก็จะสอบถามเอาความเสียก่อน ซินเหมย เรื่องที่เกิดในวันนี้ ข้าขอโทษ...” โจวเล่อเทียนมิได้เอ่ยอันใดต่อ เพราะริมฝีปากของเขา ถูกสาวงามทำให้ไร้เสียงโดยมิทันตั้งตัว
คุณชายเจ้าของแปลงผัก
ถูกหลี่ซินเหมยขโมยจูบที่สองจนได้...