“พวกเจ้าเงียบปาก! น้องสาวซินเหมยมิใช่สตรีที่จะเลือกเดินในทางสบาย นางก็แค่เข้าไปช่วยทำบัญชีและจดบันทึกตามคำสั่งของคุณชายเท่านั้น”
ติงเกา คนสวนตัวเล็ก ทว่าปากร้ายเสียงดังที่สุดในแปลงผักหลวง คือหนึ่งคนสวนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงาน ทีแรกหลายคนก็ชิงชังในความปากเสียของเขาอยู่มาก แต่พอได้รู้จักกันนานเข้าก็ไม่คิดถือสาหาความอะไร เพราะนอกจากความปากพล่อยแล้ว ติงเการับผิดชอบงานได้ดีอย่างมาก และไม่ถือโทษจริงจัง หากถูกหัวหน้าคนสวนตักเตือนยามเผลอตัวกระทำความผิด
พี่ชายต่างสายเลือดของหลี่ซินเหมยจึงเบาใจไปได้หลายส่วน ยามได้ยินว่าใครพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับน้องสาวซินเหมย เจ้าคนสวนตัวเล็กก็จะจัดการให้ โดยที่เขาไม่ต้องเสียเวลาลงมือ
อาเหยียนและติงเกายอมญาติดีกัน เพราะโฉมงามหนึ่งเดียวของแปลงผักหลวง...หลี่ซินเหมย
“ซินเหมยมิได้ชอบคุณชายแน่ นางก็แค่ทำตามหน้าที่”
อู๋ฮวนกล่าวขณะขุดดินอย่างขยันขันแข็ง
“ใช่แล้ว นางแค่ทำตามหน้าที่ นางไม่ได้กระทำความผิด”
หูเฉินพยักหน้าเห็นด้วยไม่ต่างกัน
“นางจะรักหรือชอบใครก็มิผิดดอก แต่สตรีสู้งานอย่างนาง ควรจะได้คู่ครองที่ขยันขันแข็งไม่ต่างกัน ส่วนคุณชายนั้น” ติงเกาส่ายหน้า แสดงความห่วงใยต่อน้องสาวซินเหมยอย่างไม่คิดปิดบัง
หลี่ซินเหมยมิใช่คนสวยบาดตาบาดใจ ทว่าพอมองแล้วกลับละสายตาได้ลำบาก ปากนิดจมูกหน่อยนั่นก็น่าทะนุถนอม ดูคล้ายคุณหนูสกุลดังมากกว่าคนสวนธรรมดา
ความน่ารักของนางทำให้ทุกคนนึกเอ็นดู ยิ่งพักหลังโฉมงามเผลอตัวเผยรอยยิ้มอยู่บ่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้งานหนักของเหล่าลูกจ้างเบาลงอยู่หลายส่วน
รอยยิ้มของหลี่ซินเหมย ได้เห็นแล้วชื่นใจยิ่งนัก
“พี่เหยียน เมื่อเช้าข้าแวะไปดูดินแถว ๆ บ่อน้ำข้างล่างนั่น เห็นว่าดินถูกย่อยแล้ว พี่เหยียนจะปลูกผักตรงนั้นด้วยหรือ”
หลี่ซินเหมยมิกล้าบอกว่าคุณชายยกพื้นที่บริเวณนั้นให้ปลูกสมุนไพรตามใจชอบ เพราะเกรงว่าจะถูกมองไม่ดี ความจริงนางพยายามหาเวลาฟื้นฟูที่ดินแปลงนั้นตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทว่าก็ไม่อยากใช้เวลางาน ทำเรื่องส่วนตัวตามใจชอบ ทั้งยังกังวลเรื่องสุขภาพของท่านย่า จนมิกล้ากลับบ้านมืดค่ำ และด้วยเหตุนี้เอง แปลงสมุนไพรของนางจึงยังไม่คืบหน้าไปไหนไกล
“คุณชายบอกว่าเจ้าอยากจะปลูกสมุนไพร แต่ตัวนิดเดียวเรี่ยวแรงมีน้อย คงฟื้นดินบริเวณนั้นเองไม่ได้...” ทว่าอาเหยียนยังมิทันได้อธิบายต่อ ว่าใครเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดให้แล้วเสร็จ เขาก็ถูกเจ้าคนสวนตัวเล็กขัดขึ้นเสียก่อน
“หัวหน้าปล่อยให้ข้าพูด! ข้ากับเจ้าทึ่มสองตัวนี่ได้ยินพอดี จึงขันอาสาย่อยดินให้เสียตั้งแต่เช้า น้องสาวจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหรือทำมือไม้เป็นแผลพุพองอีก” ติงเการีบกล่าว เพราะกลัวว่าหัวหน้าคนสวนจะช่วงชิงเอาความดีความชอบไปเสียก่อน
“ข้าก็กำลังจะบอกนางว่าพวกเจ้าทั้งสามอาสาจัดการให้ ไม่เห็นจะต้องพูดสอด” อาเหยียนส่ายหน้า ความสัมพันธ์ของเขากับเจ้าคนสวนปากร้ายจะดีขึ้นมาก
ทว่าก็ยังมีเรื่องให้ได้ปวดหัวกันอยู่เรื่อย ๆ
“พวกข้าเกรงว่าหัวหน้าจะพูดเอาความดีเข้าตัว กลัวว่าน้องสาวซินเหมยอาจจะเข้าใจผิด จึงรีบกล่าวกันไว้ก่อนอย่างไรเล่า”
ขณะจัดการมื้อกลางวันร่วมกัน ติงเกาก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เขาทำงานให้กับสกุลหนึ่ง ทว่าทำอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า เพราะหัวหน้าช่วงชิงความดีความชอบไปเสียหมด
พอได้ยินข่าวว่าสกุลโจวต้องการคนสวนเพิ่มเติม เขาพอจะมีความรู้ทางด้านการเพาะปลูกอยู่บ้าง จึงรีบขอเข้ามาทำงาน โดยไม่ลืมพ่วงสองสหายรูปร่างกำยำตามติดมาด้วย
‘อู๋ฮวน หูเฉิน สมองทื่อก็จริง ทว่าร่างกายแข็งแรงอย่างมาก ทำงานได้คุ้มค่าอย่างแน่นอน’
“ขอบคุณพวกท่านมาก ซินเหมยซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนัก”
“คุณชายเป็นผู้ออกคำสั่ง เจ้าอย่าลืมขอบคุณคุณชายด้วย เข้าใจหรือไม่” อาเหยียนกล่าวเตือน ก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงาน ส่วนหลี่ซินเหมยถูกส่งให้ไปดูแลต้นมะนาว รับหน้าที่กำจัดลูกที่มีตำหนิหรือคล้ายจะมีโรค เพื่อป้องกันมิให้ความเสียหายลุกลามไปทั่วทั้งต้น
หลี่ซินเหมยทราบดีว่าตนเป็นที่โปรดปรานของคุณชายโจว และปฏิเสธไม่ได้ว่านางเองก็ชื่นชอบเขาไม่ต่างกัน ความเจ้าสำอางของคุณชายยังคงมีอยู่มาก ทว่าหลังจากได้ศึกษาบันทึกเกี่ยวกับการปลูกผักทำสวน นางก็สรุปได้ว่าความรู้ของเขาก็มีมากไม่ต่างกัน
โฉมงามใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเฉินหยางอย่างสงบมาได้เกือบสามเดือนแล้ว นางจึงสรุปได้ว่านี่คือบ้านหลังใหม่ที่สมบูรณ์
ท่านย่าหลี่ฉินเหยาอยากกินดื่มอันใดก็ได้สมดั่งใจปรารถนา หญิงชราอารมณ์ดี ถึงขั้นออกคำสั่งให้สาวใช้จ้าวจินอิ๋งพาออกไปนั่งรับลมเย็น ๆ นอกบ้านเกือบทุกวัน
หลี่ซินเหมยมีความสุขยิ่งนัก!
พอระฆังบอกเวลาเลิกงานดังขึ้น หลี่ซินเหมยจัดการโยนลูกมะนาวที่ใช้ไม่ได้ รวมทั้งกิ่งและใบที่คล้ายจะติดโรคลงถังไม้ เพื่อเตรียมนำไปเผาไฟในบริเวณที่ห่างจากแปลงผัก
อาเหยียนบอกว่าจะช่วยจัดการให้หลังเลิกงาน แล้วค่อยส่งนางกลับบ้าน เฉกเช่นเกือบจะทุกวันที่ผ่านมา
หลี่ซินเหมยมิแน่ใจว่าหัวหน้าคนสวนผู้ควบตำแหน่งพี่ชาย มีปัญหาอะไรรบกวนหัวใจ สีหน้าของเขาดูยุ่งยากมากกว่าทุกวัน แต่พอเห็นหน้านาง เขาก็ยิ้มกว้างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่เหยียนดูไม่ค่อยสบายใจนัก”
“หลอกซินเหมยไม่ได้อีกแล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนว่าแมลงจะลงแปลงผัก แต่อีกสามวันข้าต้องเดินทางไปยังต่างเมือง และอาจจะต้องไปนานถึงสองหรือสามเดือน จึงค่อนข้างจะเป็นกังวลอยู่บ้าง”
อาเหยียนกล่าวว่าใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวพืชผักที่ให้ผลผลิตแค่ปีละครั้งแล้ว เขาจึงต้องกลับไปช่วยบิดาที่อยู่ต่างเมือง
“ใกล้จะพ้นหน้าร้อนแล้ว คุณชายเองก็คงจะออกมาดูงานบ่อยครั้งขึ้น และในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ติงเกาจะเป็นคนคอยจัดการแจกจ่ายงานในแปลงผักเอง”
อาเหยียนแม้ไม่ค่อยถูกชะตากับคนสวนปากร้าย ทว่าก็ต้องยอมรับว่าติงเกานั้น ควบคุมคนงานได้ดีเป็นอันดับสองรองจากเขา ส่วนคนที่อยู่มานานกลับไม่มีใครกล้าเสนอตัว เพราะกลัวว่าจะถูกไล่ออก หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา
“ข้ามีเรื่องจะเตือนเจ้าอีกประการหนึ่ง นายท่านจะกลับมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และคงไม่พอใจนัก หากทราบเรื่องว่าเจ้าใกล้ชิด และใช้เวลากับคุณชายมากจนเกินสมควร”
“ข้าแค่ทำบัญชีและพูดคุยเรื่องจิปาถะ ไม่ได้ทำเรื่องอันใดไม่เหมาะสมเช่นที่ผู้อื่นว่า” หลี่ซินเหมยแย้งเสียงแข็ง นึกไม่ถึงว่าคนที่นางให้ความเคารพจะคิดไม่ต่างจากพวกที่ชอบนินทา
“ซินเหมยอย่าเพิ่งอารมณ์เสีย เจ้ามีนิสัยเช่นไร มีหรือข้าจะไม่รู้ แต่เรื่องนี้นายท่านมิได้รู้ด้วย และอาจคิดไปว่าเจ้าคือสาเหตุที่ทำให้คุณชาย หมางเมินต่อคุณหนูสกุลหวังหนักข้อยิ่งกว่าเดิม”
“พี่เหยียนเข้าใจผิดแล้ว คุณชายไม่ชอบหน้านางก็เพราะนิสัยของนางล้วน ๆ ข้าหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่”
นางรีบแก้ตัว แม้ส่วนลึกค่อนข้างจะมั่นใจว่าคุณชายคิดกับนางมากกว่าลูกจ้างธรรมดา
โจวเล่อเทียนมิใช่คนโกหกเก่ง ดวงตาสีหมึกเฉลยทุกอย่างชัดเจนยิ่งนัก