อกหักไม่ยักตาย...

1064 Words
อกหักไม่ยักตาย... รู้ทั้งรู้แต่หญิงสาวไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้หลั่งรินอาบพวงแก้มได้ ดวงตาโตดุจกวางและขนตาหนาเป็นแพเปียกชื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายจมูกโด่งรั้นแดงเรื่อจากการถูกความสากของทิชชูที่ใช้ซับใบหน้าเสียดสี เจ้าหล่อนยังไม่เข้าใจว่าตนทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องในฐานะคนรักอย่างไร ฝ่ายชายซึ่งคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียนจบปริญญาตรีในไทยถึงได้ปันใจไปหารักจากหญิงอื่นจนถึงขั้นบอกเลิกเธออย่างไร้ปรานีอย่างนี้ ร้ายกว่านั้นคือถ้าเธอไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเขามีคนอื่น เขาก็ยังจะคงปิดบังไปเรื่อยๆ ประหนึ่งเธอเป็นคนโง่ รู้ตัวอีกที บนศีรษะก็มีเขางอกยาวคู่หนึ่งแล้ว ทั้งที่เธออุตส่าห์ดั้นด้นทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลีใต้เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้เขาแท้ๆ เพียงไม่ถึงปีกลับทอดทิ้งเธออย่างไม่มีเยื่อใยอย่างนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น มือเรียวขยำทิชชูเป็นก้อน โยนทิ้งลงถังขยะสุดแรงก่อนจะกระชากเอาทิชชูแผ่นใหม่จากกล่องมาซับหยดน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง ในหัวมีคำก่นด่าอดีตคนรักเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะปรามาสผู้ชายคนนั้นได้ดีเท่ากับคำที่แวบเข้ามาในหัวเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างประโยคนี้เลย ผู้ชายเฮงซวย! อธิบายคุณลักษณะของอดีตชายคนรักได้ดีเลยทีเดียว แต่ถึงจะรู้ว่าเขาเฮงซวยแค่ไหน สมองก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของไอ้เวรนั่นได้ หัวใจเองก็ไม่อาจหยุดรักในวินาทีนี้ได้เช่นกัน มันยังเร็วไปที่เธอจะตัดใจได้ เพิ่งถูกบอกเลิกมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ ใครมันจะไปตัดใจได้ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา… ปลอบใจตัวเองเสร็จ มีนาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ดูท่าทิชชูคงจะไม่พอสำหรับเธอเสียแล้ว ก่อนที่เธอจะเอื้อมไปหยิบเอาขวดเหล้าโซจูที่หิ้วมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวอพาร์ตเมนต์มากระดกดื่ม รสชาติฝาดคอทำเอาสาวเจ้าเบ้หน้าเหยเก ปกติแล้วเธอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไรด้วยเธอไม่ใช่พวกคอแข็งอะไรนัก ทว่าที่ตัดสินใจหิ้วมาเสียโหลหนึ่งก็เพราะกะจะดื่มเอาให้หลับ ให้ลืมผู้ชายทุเรศคนนั้นไป ชั่วคราวก็ยังดี ขอแค่ให้ได้ลืมก็พอ... คิดอย่างนั้นก็กระดกดื่มไปอีก หากแต่ทนกระดกดื่มไปได้ไม่เท่าไร มีนาก็ต้องยอมแพ้ วางขวดโซจูลง ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น มองเพดานห้องแคบๆ พลันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ไม่ได้อยากจะร้องไห้เลย แต่มันห้ามไม่ได้ ผู้ชายหน้าพลาสติกคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาทำให้ฉันร้องไห้! จมูกก็ทำ คางก็เหลา ตาก็กรีด กรามก็ทุบ พลาสติกทั้งหน้า แถมสมองยังฉีดโบท็อกซ์จนโง่เง่า รักลงไปได้ยังไงกันมีนา! ในเวลานี้อะไรที่เคยว่าดีก็ไม่ดีอีกแล้ว มีนาพยายามหาข้อเสียของอีกฝ่ายมาพร่ำสะกดจิตตัวเองให้เลิกคิดถึงเขา แต่ภาพบาดตาบาดใจยามเห็นชายหนุ่มมากับคนรักใหม่ก็กระตุ้นให้ความรวดร้าวในใจของหญิงสาวทวีมากขึ้น ความจริงเขาก็ไม่ผิดหรอกถ้าจะทิ้งเธอไปหาผู้หญิงที่น่ารักน่าทะนุถนอมกว่า สวยกว่า เอาใจเขาได้ดีกว่าและมีอะไรๆ ที่ดีกว่า มันผิดที่เธอเองที่ละเลยเขามากเกินไป เอาแต่วุ่นวายกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาให้เขาเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังรักตนเหมือนเดิม ความชะล่าใจจึงทำให้เธอประสบกับเรื่องอย่างนี้ ถึงจะเป็นไอ้ทุเรศที่นอกใจเธอ แต่เขาก็ไม่ผิดหรอก มนุษย์ย่อมหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว ไม่อยากคิดโทษตัวเองสักเท่าไร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่รู้กันในหมู่นักศึกษาไทยว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนเป็นอย่างมาก ทุกคนเอาจริงเอาจังเสียจนเกินคำว่าพอดี มีนาจึงถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างไม่มีทางเลือก ใช่ว่าเธออยากจะหน้าดำคร่ำเครียดกับการเรียนนักหรอก แต่ในเมื่ออยู่ในสังคมอย่างนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ทว่าใครจะคิดล่ะว่าความตั้งใจของเธอมันจะส่งผลอย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผู้ชายคนนั้นเคยทำอะไรให้เธอบ้างกัน! คิดวกวนกลับมาโทษอดีตคนรักอีกแล้ว นี่เธอเป็นไบโพลาร์หรือไงกันนะ เดี๋ยวโทษตัวเอง เดี๋ยวโทษแฟนเก่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งประจำเดือนมาไม่ปกติก็ไม่ปาน มีนาจึงเบี่ยงเบนความฟุ้งซ่านของตนด้วยการยื่นมือออกไปควานหาหนังสือจากกระเป๋าที่วางระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาดูหน้าปก มันเป็นหนังสือนิยายชื่อเรื่อง ‘จนกว่าเราจะพรากจากกัน’ เป็นนิยายรักธีมพีเรียดเกาหลีที่ดำเนินเรื่องอยู่ในยุคสมัยโชซอน[1]ว่าด้วยเรื่องรักสามเส้าของหนึ่งหญิงสองชายภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง หนึ่งหญิงเป็นบุตรสาวของขุนนางตกอับตระกูลหนึ่ง หนึ่งชายเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้มีอำนาจและเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวซึ่งเป็นผู้หลงรักนางเอกเพียงฝ่ายเดียว ส่วนอีกหนึ่งชายหนุ่มเป็นคนไร้ยศศักดิ์ที่พยายามผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงและเป็นคนรักของบุตรสาวตระกูลขุนนางผู้นั้น [1] ยุคสมัยโชซอน (ค.ศ.1392-1897) เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายพลอีซองกเย (Lee Seong gye) ขุนพลแห่งราชวงศ์โครยอได้ก่อการยึดอำนาจในปี ค.ศ.1392 และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นโชซอนและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฮันยางหรือกรุงโซลในปัจจุบัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD