ปริ๊น! ปริ๊น!
เสียงบีบแตรรถที่หน้าบ้านทำให้สองสาวที่กำลังนั่งคุยกันเพลินๆ ต้องหันมามองหน้ากันยิ้มๆ ลูกแพรมองไปทางประตูหน้าบ้านอย่างมีความหวัง และรู้สึกตื่นเต้นเมื่อใกล้จะได้เห็นหน้าเขา
ไม่กี่นาทีต่อมารถยุโรปคันหรูก็วิ่งมาจอดในบ้านตรงลานจอดรถด้านใน ทั้งสาวใช้แม่บ้านและคนสวนต่างออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ เพราะนานๆ ที นักร้องซูเปอร์สตาร์อย่างเขาถึงจะมีเวลามาพักผ่อนที่บ้าน นี่ก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วเหมือนกันที่โจนาธานไม่ได้กลับบ้าน
เพราะตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนักร้องหนุ่มต้องออกเดินสายตลอด ทั้งในและนอกประเทศไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน
นายมั่นรีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้เจ้านายเหมือนเดิม ด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเหมือนมีอะไรปกปิดอีกแล้ว
“วันนี้มีอะไรจะรายงานผมหรือเปล่า” โจนาธานแกล้งถามไปแบบนั้น ทั้งที่เขาก็เองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“วันนี้มีครับ” นายมั่นตอบแต่กลับปรายตาไปทางเหมียว ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกัน
“เหมียว แกก็บอกคุณโจเขาไปสิ ว่านี้มีใครมาที่บ้านบ้าง” แทนที่นายมั่นจะรายงานเองตรงๆ กลับส่งต่อไปให้เหมียวรายงานแทน
เหมียวหันหน้าไปมองป้าผ่อง แต่ผู้มากวัยกลับส่งสายตาดุมาให้เธอแทน ทำให้เด็กสาวต้องยิ้มให้เจ้านายหนุ่มแหยๆ ก่อนที่จะรายงานตามความจริง
“คือว่าเจ้าโซฟี่มันมีเพื่อนมาหาน่ะค่ะ นั่นไงคะ แหะๆ เล่นกันนัวเนียเลย” เหมียวชี้นิ้วพร้อมทั้งหันไปมองทางเจ้าหมาน้อยสองตัวที่กำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ร่างสูงใหญ่หันไปมองตามด้วยนัยน์ตาแพรวพราว เขากระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ สร้างความฉงนสงสัยให้แก่คนใช้ทั้งสามไม่น้อย เจ้านายสุดหล่อของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่นะ
“อีกยี่สิบนาที เรียกเจ้าของหมาให้ไปพบผมที่ห้องด้วยนะป้าผ่อง” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ
“ได้ค่ะคุณโจ เดี๋ยวป้าจะบอกให้นะคะ” ป้าผ่องตอบเจ้านาย แต่สายตาของนางดูเหมือนเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี สร้างความแปลกใจให้กับนายมั่นและเหมียวเป็นอันมาก
เพราะเมื่อห้าเดือนก่อนตอนที่นักร้องหนุ่มเจอลูกแพรวันแรก เขายังเอ็ดตะโรลั่นบ้านอย่างเกรี้ยวกราด แต่แม่บ้านที่ผ่านโลกมานานกลับมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลใจมากพอสมควร
“อ้าว มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ได้ ไปบอกลูกแพรให้เตรียมตัวไปหาคุณโจได้แล้ว เห็นบอกว่ามีสัมภาษณ์กันไม่ใช่เหรอ” ป้าผ่องหันไปบอกเหมียวเสียงดุเล็กน้อย
“จ้ะป้า”
แล้วคนใช้ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ลูกแพรซึ่งแอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้รู้สึกใจเต้นตึ้กตั้กมากขึ้นเรื่อยๆ อีกยี่สิบนาทีก็จะได้เจอหน้าเขาแล้ว หัวใจของสาวน้อยเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมาจากอกเสียให้ได้
ก๊อกๆ !!
“......”
ร่างบางเคาะประตูตั้งนานแต่มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หญิงสาวจึงเอาหูแนบกับบานประตูแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร
‘ก็ครบยี่สิบนาทีแล้วนี่นา ทำไมคุณโจไม่มาเปิดประตูให้นะ หรือว่า...จะให้เราเปิดประตูเข้าไปเลย’ ลูกแพรยืนนิ่งคิดครู่ใหญ่ก็ตัดสินใจบิดลูกบิดประตูดู ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก
‘สงสัยว่า เขาคงให้เราเข้าไปเองมั้ง’
ผาง!
สายตากลมโตสอดส่ายกวาดมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เห็น ร่างบางจึงหมุนตัวหันหน้าเข้าหาประตูเพื่อที่จะปิดมันไว้เฉยๆ แต่ทันใดนั้นเอง!
กริ๊ก!
สาวน้อยสะดุ้งตกใจ และหันหน้าไปปะทะกับอกกว้างของร่างสูงใหญ่อย่างแรง ตาประสานตาราวกับมีกระแสไฟฟ้าหลายพันโวลต์วิ่งผ่านร่าง
‘ทำไมเขาถึงได้หล่อบาดจิตบาดใจมากขนาดนี้นะ’ ยิ่งได้มองใกล้ๆ หัวใจยิ่งหวิวไหว ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เมื่อได้มองใบหน้าและสายตาของเขาระยะประชิดแบบนี้ มันยิ่งพาใจของเธอให้หลอมละลายจนร่างกายแทบจะทรุดลงตรงนั้น
“จะจ้องตาผมไปอีกนานมั้ย”
คำถามที่แสนจะธรรมดา แต่มันกลับทำให้แก้มนวลของสาวน้อยแดงปลั่งดั่งผลมะเขือเทศสุก สายตาหวานซึ้งชวนฝันทอประกายวิบไหว เมื่อมองอากัปกิริยาเขินอายอย่างไร้เดียงสานั้น
ร่างเล็กอายม้วนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งของเขา มือไม้ก็แทบจะวางไม่ถูก ได้แต่เอาวางพับไว้บนอกกว้างอยู่อย่างนั้น สาวน้อยก้มหน้างุดเมื่อไม่อาจต้านทานเสน่หาของเขาทางสายตาได้
อาการอายม้วนของหญิงสาวทำให้เขายิ่งอยากแกล้งหล่อนมากขึ้น
“ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” มือสากเชยคางมนให้เงยขึ้นมามองเขา แต่ลูกแพรก็ยังเอียงอายไม่กล้ามองหน้าคนที่เธอคิดถึงมากมาตลอด
“มองตาผมสิครับ” น้ำเสียงของเขาช่างนุ่มนวลนัก เหมือนไม่ได้บังคับแต่อย่างใด แต่ทำไมเธอถึงไม่อาจปฏิเสธได้ก็ไม่รู้
ดวงตาคู่สวยใสซื่อ ช้อนมองเขานิ่ง ประกายตาสดใสดุจดั่งแสงดาวไหวระริกไปมา ช่างดึงดูดให้เขาอยากพรมจูบไปทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นนัก แต่ว่าตอนนี้เขายังมีหน้าที่ต้องสัมภาษณ์ลูกแพรก่อน เพราะถ้าหากหล่อนสามารถทำงานเป็นเลขาส่วนตัวให้เขาได้จริงๆ เขาก็จะได้ไม่ต้องไปสัมภาษณ์คนอื่นให้เสียเวลา
“แพร คุณบอกว่าจะสมัครเป็นเลขาส่วนตัวของผม ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“รู้มั้ยว่าคุณสมบัติของผู้สมัครมีกี่ข้อ”
“สิบเอ็ดข้อค่ะ” หล่อนตอบเขาด้วยดวงตาใส่แจ๋ว และยังอมยิ้มยั่วเขาทางสายตาอีก สงสัยคงต้องถามหล่อนต่อบนเตียงเสียแล้วล่ะมั้ง
“มั่นใจมั้ย ว่าจะผ่านสัมภาษณ์” เขามองสบตาหล่อนนิ่ง เหมือนพยายามค้นหาคำตอบจากหญิงสาวทางสายตา
“มั่นใจข้อสิบมากที่สุดค่ะ”
แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับความเขินอายมากแค่ไหน หล่อนก็จะเดินหน้าต่อไป จะพยายามให้ถึงที่สุดแม้ว่าจะต้องแลกด้วยความสาวที่มีค่ามากที่สุดเธอก็ยอม ขอเพียงให้ได้อยู่ใกล้ๆ เขา มันช่วยไม่ได้ที่หัวใจของเธอมันตกหลุมรักเขาไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เสียจูบแรกให้กับเขา มันคงไม่ผิดถ้าหากคิดจะมอบร่างกายให้เขาด้วย
แต่หล่อนคงไม่ปล่อยให้ตัวเองท้องแน่ สาวระดับปริญญาตรีมีสมองพอที่จะไม่ปล่อยให้ตนเองท้องเพื่อจับผู้ชายที่ขึ้นชื่อคาสโนวาโนเบลอย่างเขา หากจะต้องมีลูกด้วยกัน ลูกของหล่อนก็จะต้องมีพ่อที่ต้องการให้เขาเกิดมาเช่นกัน แต่สาวน้อยก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์นักว่าจะตัวเองจะไม่พลาดเลย
“และพร้อมที่จะให้ผมพิสูจน์ด้วยใช่มั้ย”
“.....”
สาวน้อยไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าเอียงอาย แต่ในความเอียงอายนั้นก็แฝงไปด้วยรอยเศร้าในดวงตา เมื่อนึกถึงคุณสมบัติของผู้จัดการส่วนตัวข้อสุดท้าย ‘ห้ามรักนายจ้าง’ ‘เพราะว่าเขามีคู่หมั้นแล้วใช่มั้ยถึงห้ามไม่ให้รัก’
“แต่ผมมีความจำเป็นต้องสัมภาษณ์คุณให้ครบทุกข้อก่อนนะสาวน้อย เพราะการทำงานของผม ต้องการผู้ร่วมงานที่มีความสามารถ มีความรับผิดชอบ และมีความมั่นใจพอที่จะทำงานร่วมกับผม ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่สำหรับข้อสุดท้ายเนี่ย ผมจะสัมภาษณ์คุณเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
โจนาธานกลั้นใจปล่อยร่างนุ่มให้เป็นอิสระอย่างเสียดายเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่คิดจะทิ้งช่วงนานอยู่แล้ว แค่เร่งถามหล่อนให้ครบเก้าข้อ แค่พอรู้เรื่องก็พอแล้ว ไม่ว่าผลออกมาจะผ่านหรือไม่ผ่าน เขาคงได้หล่อนแน่ ก็หล่อนมาเสนอเขาจนถึงที่ขนาดนี้ ถ้าไม่สนองเดี๋ยวก็จะหาว่าใจร้าย
แต่ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเวลาไม่กี่เดือนที่ไม่ได้พบกัน จะทำให้สาวน้อยกะโปโลคนนี้ดูสวยขึ้นจนผิดหูผิดตา ผิวพรรณของหล่อนดูผุดผ่องขาวขึ้นเนียนขึ้นจนเขาสัมผัสได้ ตัวหล่อนก็หอมเสียนี่กระไร แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็คงเป็นได้แค่เพียงคู่นอนของเขาเท่านั้น
ลูกแพรไม่รู้หรอกว่า เทพบุตรที่หล่อราวกับบุรุษสวรรค์ตรงหน้าเธอ จะมีวิญญาณของซาตานร้ายแอบแฝงอยู่ในร่างของเขา และซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจอีกด้านของเขา ภายใต้คำพูดที่แสนหวานนุ่มนวล ไม่ได้มีความหวังเหลือไว้ให้หล่อนเลย ทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา