บทที่ 3
“หลังจากที่แยกกับแก ฉันก็กลับไปแต่งตัวสวยๆ ตามที่แกบอก ฮึกๆๆ แต่พอฉันไปถึงที่หน้าคอนโด ฉันก็ตื่นเต้นไม่กล้าขึ้นไป ฉันก็เลยไปหาเหล้าดื่มย้อมใจ หวังว่ามันจะช่วยทำให้ฉันใจกล้าขึ้น แต่ไม่นึกว่า…ฮือๆๆ” เธอเล่าพลางสะอึกสะอื้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเสียงดังอีก
(โอย! อยากจะบ้าตาย ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหมว่าทำอะไรให้มีสติ เห็นไหมว่าเหล้ามันไม่ได้ช่วยให้แกมีสติขึ้นมาเลยสักนิด จากที่คิดว่าจะไปสารภาพรัก กลายเป็น…เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าที่แกกินเหล้า เพราะแกไม่ได้คิดแค่จะสารภาพรักอย่างเดียวตั้งแต่แรก) ศิศิราพูดไปบ่นไป ก่อนจะโวยเสียงหลง
“ฮือๆๆ” เธอตอบคำถามเพื่อนด้วยการร้องไห้ ซึ่งดูเหมือนมันจะชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
(โอ๊ย! แกคิดอะไรของแกอยู่เนี่ย โอเคๆ ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ถึงพูดตอนนี้ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะเอายังไงกันต่อดี) ศิศิราพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้มันพลุ่งพล่านไปมากกว่านี้ แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพื่อนก็คงทุกข์ใจมากพอแล้ว
“แล้วฉันจะท้องไหมอะแก ถ้าฉันท้องขึ้นมาแม่ยายเอาฉันตายแน่ ฮือๆๆ” แรกเริ่มเดิมทีที่เธอตัดสินใจจะเข้าหาภากรก็เพราะอยากท้อง อยากใช้ลูกในท้องบีบบังคับให้แม่กับยายเลิกบังคับเธอเรื่องแต่งงาน แต่ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป จากที่คิดว่าจะมีคนที่แอบปลื้มมาเป็นพ่อของลูก กลับกลายว่าเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้แม้กระทั่งหน้าตาเขาเป็นยังไงเลยด้วยซ้ำ
(โอ๊ย! ตอนทำ ทำไมไม่คิดให้ดีก่อนเล่า) ศิศิราเผลอต่อว่าเพื่อน
“ฮือๆๆ” ดูเหมือนเสียงร่ำไห้ของแวววิวาห์จะช่วยดึงสติของศิศิราได้ว่าเธอไม่ควรพูดแบบนั้นออกไป
(โอเคๆ ขอฉันตั้งสติก่อน เอาล่ะ! ก่อนอื่นเราต้องหาผู้ชายคนเมื่อคืนให้ได้ก่อน ในเมื่อคุณภากรเขาไม่ได้อยู่ที่ห้องแน่ๆ ฉันเอาหัวเป็นประกันได้ แล้วถ้าเป็นคู่ขาเขาล่ะ โอ๊ยยิ่งไม่ได้ใหญ่ แต๋วแตกซะขนาดนั้น เขาคงเอาแกทำเมียได้อยู่หรอก แต่ถ้าไม่ใช่คุณภากรกับกับคู่ขาของเขา แล้วจะเป็นใครไปได้วะ เฮ้ย! แล้วถ้านั่นไม่ใช่ห้องคุณภากร แต่เป็นห้องคนอื่นล่ะ) ความคิดนี้ของศิศิราทำเอาวิวาห์ถึงกับต้องภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่เพื่อนคิด เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงมืดแปดด้าน หมดหนทางที่จะตามหาชายปริศนาคนนั้นได้อีก ที่สำคัญมันคงเป็นตราบาปที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ไปชั่วชีวิต
“ฮือๆๆ” แวววิวาห์ร้องไห้โฮหนักยิ่งกว่าเดิม
(เฮ้ย! บางทีมันอาจจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้นก็ได้ แกก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายสิ เสียงแกทำฉันเครียดจนคิดอะไรไม่ออกแล้วเนี่ย นี่ถ้ายัยพรีมรู้เรื่องนี้ด้วย เราสองคนโดนบ่นหูชาแน่ โอเค! ช่างเรื่องยัยพรีมก่อน ไว้ค่อยหาโอกาสบอกมันทีหลัง ว่าแต่ไหนแกลองนึกซิว่าหลังจากกินเหล้าแล้ว แกไปไหนหรือว่าเจอใครบ้างรึเปล่า) ศิศิราไม่อยากบ่นมาก ถึงแม้จะกำลังอยากบ่นสุดๆ ไปเลยก็ตาม นี่ก็แทบไม่อยากคิดว่าถ้าพริมรตารู้เรื่องด้วยอีกคนจะเกิดอะไรขึ้น
“ฮึกๆๆ หลังจากดื่มเหล้า ฉันก็ขึ้นไปหาคุณภากรที่ห้อง ไม่ได้ไปไหนหรือเจอใครเลย อ้อ! แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าฉันเดินชนกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ” แวววิวาห์พยายามเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเท่าที่ตัวเองจะพอนึกออก
(แกชนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ชนกันแล้วยังไงต่อ) คำว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษของเธอมันกลับพิเศษจนศิศิรานึกเอะใจจนต้องทวงถาม ทำเอาคนเล่าถึงกับทำหน้างง
“เอ่อ…ก็แค่ของตก พอเก็บของเสร็จก็ต่างคนต่างไป ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
(เดี๋ยวนะ เมื่อกี้แกบอกว่าของตก? อะไรตก) น้ำเสียงคาดคั้นของศิศิราทำให้เธอใจคอไม่ค่อยดียิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังพยายามตอบคำถามเพื่อน
“ก็กระเป๋าสะพาย” ยังไม่ขาดคำ ศิศิราก็ท้วงขึ้นมาอีก
(กระเป๋าสะพายตก ก็แสดงว่าของข้างในก็ต้องตก แล้วคีย์การ์ดแกล่ะ แกเก็บคีร์การ์ดไว้ที่ไหน) ศิศิราซักจนแวววิวาห์หวาดหวั่นขึ้นทุกที
“นะในกระเป๋า”
(พระเจ้า! แล้วตอนนี้คีย์การ์ดแกอยู่ไหน) คำถามของเพื่อนทำให้เธอจำต้องหันไปค้นในกระเป๋า
“ไม่มี ฉันหาจนทั่วแล้ว ในกระเป๋าไม่มี หรือว่า…” แวววิวาห์เริ่มคิดตามในสิ่งที่เพื่อนพยายามซักไซ้ไล่เลียง
(ใช่! ฉันว่าแกทำคีย์การ์ดสลับกับผู้หญิงคนนั้นชัวร์ ถ้าคีย์การ์ดที่อยู่ที่แกเป็นของผู้หญิงคนนั้น งั้นก็แสดงว่าผู้ชายที่นอนกับแกเมื่อคืนก็เป็น…) ศิศิรายั้งปากเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นแวววิวาห์ก็ยังรู้อยู่ดีว่าเพื่อนจะพูดว่าอะไร
“ฮือๆๆ” เธอร้องไห้โฮ แค่คิดว่าตัวเองเผลอไปนอนกับสามีของผู้หญิงคนอื่น เธอก็รู้สึกแย่จนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
(แกใจเย็นๆ ก่อนนะวา บางทีมันอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่แกคิดก็ได้ เอาไว้ฉันจะรีบกลับไป แล้วเราค่อยมาหาวิธีกันว่าจะเอาไงต่อ ตอนนี้แกทำใจให้สบาย ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แล้วถ้าไปทำงานไม่ไหวก็ลาซะ หรือจะให้ฉันลาให้) ศิศิราพยายามปลอบพร้อมทั้งขันอาสา ด้วยรู้ดีว่าสภาพจิตใจเพื่อนตอนนี้คงกำลังแย่มาก
“ไม่! ถ้าฉันอยู่คนเดียวฉันต้องฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าแน่ๆ ฉันต้องทำไปทำงาน เผื่อว่างานจะทำให้ฉันเลิกหมกมุ่นกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้ได้” แวววิวาห์ยืนยันขันแข็ง
(เออๆๆ แล้วแต่แกแล้วกัน แต่ถ้าไม่ไหวแกก็กลับไปพักแล้วกัน ฉันเป็นห่วงแกนะเว้ย ไม่ต้องคิดมาก ยังไงฉันกับไอพรีมก็ยังอยู่ข้างๆ แกเสมอนะวา)
“ฮือๆๆ ขอบใจมากนะศิ แกเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันยังไหว” เธอพยายามเข้มแข็งทั้งที่ในใจกำลังอ่อนแออย่างที่ไม่เคยมาก่อน ครั้นพอเพื่อนวางสายไปแล้วก็ร้องไห้โฮอย่างหนัก ไม่คิดว่าสวรรค์ก่อนหน้าจะพังครืนลงมาแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ นี่แหละนะที่เขาบอกว่าความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน