ตอนที่4 คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ

3983 Words
เวลาบ่ายสองโมงตรงแบบไม่ขาดไม่เกิน ผมมายืนอยู่ที่หน้าบ้านคุณตรีตามที่นัดกันไว้ ถือเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่คุณตรีกลับมาจากอังกฤษ ที่ผมจะได้เข้าไปในบ้านของเขา ความจริงแล้วผมว่าผมก็แอบเป็นคนเกเรอยู่เหมือนกัน ทั้งที่อีกสองวันผมจะสอบ แทนที่จะไปอ่านหนังสือ แต่กลับเลือกที่จะมาช่วยคุณตรีจัดบ้าน ไม่รู้สิ คงเพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหมในชีวิต ที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเขา ผมตระหนักถึงความไม่แน่นอนในชีวิตอยู่เสมอ ผมไม่คาดหวังให้ได้ใกล้ชิดเขาบ่อยๆ แต่ถ้ามีโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า ก็คงไม่ผิดอะไรที่ผมจะคว้าเอาไว้ ผมกดกริ่งหน้าประตูรั้ว และยืนรอคนข้างในด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมว่าผมชอบประตูไม้บานใหญ่ตรงหน้า เพราะผมมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณตรีจะเดินออกมาหรือยัง ไม่รู้ว่าวินาทีไหนเขาถึงจะเปิดประตูออกมา ผมช่างบ้าบอเนอะ แต่ว่าทุกวินาทีที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า หัวใจผมจะเต้นเร็วขึ้น ก่อนหน้านี้มันเคยราบเรียบเพราะชีวิตผมไม่มีอะไรหวือหวา พอมีคนมาทำให้หัวใจได้ทำงานบ้างก็เป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย “ฟ้า เป็นอะไร ยืนเหม่ออยู่ได้” “ห๊ะ อะไรนะครับ” ผมสะดุ้งตกใจที่โดนเขย่าตัว “ฉันเรียกสองสามรอบแล้ว ยืนเหม่ออะไร” คุณตรีขมวดคิ้วถาม ผมรีบดึงสติกลับแล้วพิจารณาคนตรงหน้า เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกผมที ว่าผมไม่ได้แสดงสีหน้าน่าเกลียดออกไปตอนที่มัวแต่มโนบ้าบอ “ผมขอโทษทีครับ พอดีคิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อย” ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างเก้ๆกังๆ ขายหน้าชะมัดเลยเรา “คิดว่ายืนตากแดดจนสติหายออกจากร่างไปแล้ว ไป เข้าไปในบ้านเถอะ” นอกจากความนิ่งแล้ว คุณตรีก็แอบมีมุมกวนๆ เหมือนกันนะ ผมเดินตามคุณตรีเข้าไปในบ้านและครั้งนี้ผมได้เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านของคุณตรีด้วย เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุ แต่ว่าก็ยังดูมีสง่า มีออร่าของผู้ใหญ่ใจดี “สวัสดีครับ” ผมไม่รู้ว่าคุณน้าท่านนี้เป็นใคร แต่เพราะเขาอายุมากกว่าผมเยอะ ผมจึงรีบยกมือไหว้ไว้ก่อน “สวัสดีจ้ะ เพื่อนของคุณตรีเหรอคะ” คุณน้าพูดกับผมอย่างใจดี แล้วหันไปถามคุณตรี “ชะ...” “ผมเคยทำงานกับคุณตรีน่ะครับ วันนี้เห็นคุณตรีจะจัดห้องทำงาน ผมเลยมาช่วย” ผมรีบตอบ เลยดันไปพูดสวนกับคุณตรี แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไปแทน ไม่พูดอะไรต่อ “งั้นเหรอจ้ะ ใช่ก่อนที่คุณตรีจะไปเรียนต่อหรือเปล่าคะ” คุณน้าหันไปถามคุณตรี “ใช่ครับ เขาชื่อฟ้า ฟ้านี่น้ากุ้ง” “อย่างนี้นี่เอง” “น้ากุ้งครับ ยังไงผมขอของว่างแล้วก็เครื่องดื่มที่ห้องทำงานด้วยนะครับ” “ได้ค่ะคุณตรี น้าจะเอาขึ้นไปให้นะคะ” “อยากได้อะไรเพิ่มไหม” คุณตรีก้มหน้าถามผมที่ยืนมองน้ากุ้งหยิบจับงานในบ้าน “ไม่ครับ ไม่เป็นไร” “ตามใจ แต่ถ้าอยากกินอยากดื่มอะไรก็บอกได้ น้ากุ้งเขาจะได้จัดเตรียมให้” “ไม่ต้องลำบากหรอกครับ” “อืม” คุณตรีพยักหน้า แล้วออกเดินนำไปที่ห้องทำงานชั้นสอง ผมเดินตามคุณตรีไปพลางสำรวจบ้านไปพลาง นอกจากภายนอกจะไม่เหมือนเก่าแล้ว ภายในก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลังเก่าจะเป็นสไตล์แบบดั้งเดิม แต่บ้านหลังนี้ดูทันสมัยแบบหรูหราแต่ยังคงเรียบง่ายสไตล์คุณตรี ขึ้นมาที่ชั้นสองก็เจอกับห้องทำงานเป็นห้องแรก บ้านคุณตรีค่อนข้างใหญ่และกว้างขวาง แต่พื้นที่ทางเดินบนชั้นสองไม่ได้กว้างมากนัก ส่วนใหญ่คือพื้นที่ของห้องต่างๆ ห้องทำงานของคุณตรียังคงเป็นโทนสีที่เขาชอบ ผนังห้องด้านหลังโต๊ะทำงานทาสีน้ำเงิน มีดีเทลของการตีแผ่นไม้ขึ้นนูนเป็นตารางกว้างๆ ประดับด้วยกรอบรูปสีขาวขนาดกลาง แม้ว่ารูปข้างในกรอบจะขนาดเล็กก็ตาม แต่ดูลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนผนังฝั่งประตูก็มีกรอบรูปเล็กๆอยู่สามรูป ผมหยุดยืนดูรูปของคุณตรี เป็นเขาตอนเด็กๆ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์หน้านิ่งแม้ว่าเพื่อนๆ ในชุดฟุตบอลรอบข้างจะยิ้มแย้มเฮฮา ในมือของคุณตรีถือถ้วยรางวัลชนะเลิศเอาไว้ด้วย “ยืนดูอะไร” “อ๊ะ” ผมผงะถอยหลัง แล้วก็ชนเข้ากับคนที่ยืนซ้อนแบบไม่บอกไม่กล่าว มือของเขาจับประคองเอวผมเอาไว้ เหมือนจะตกใจเช่นกัน “คุณตรี ผมตกใจหมด” ผมบอกเขา พลางขยับตัวออกห่าง รู้สึกได้ว่ารอยมือของเขายังร้อนวาบอยู่ที่เอว “ตกใจอะไร ขวัญอ่อนหรือไงเล่า” คงเพราะผมมัวแต่ดูรูปเขา พอถูกขัดจังหวะเข้าก็เลยตกใจ ใครใช้ให้เขาอยู่ๆก็มาส่งเสียงที่ข้างหูกัน ก่อนหน้านี้ห้องมันเงียบ เจอแบบนั้นเข้าไปผมก็สะดุ้งสิครับ “คุณตรีจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ” “นู่นน่ะ ฉันให้ช่างเขาทำตู้หนังสือเป็นล็อกๆ แล้ว ตามชื่อหมวดหมู่ นายช่วยเอาหนังสือในลังจัดวางเข้าชั้นให้เรียบร้อยที ทำได้ใช่ไหม” “ทำได้สิครับ แค่จัดเรียงหนังสือแค่นี้เอง” “ถ้าเล่มไหนไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน ก็ถามฉัน ไม่ก็วางแยกเอาไว้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “ครับ” คุณตรีจ้องตาผมอยู่ราวห้าวินาทีได้ ไม่รู้ว่าเขาอยากให้แน่ใจหรือเปล่าว่าผมจะไม่ทำให้เขายุ่งยากมากกว่าเดิม จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานแล้วทิ้งความสนใจเอาไว้กับโน๊ตบุ๊คตรงหน้า ผมเริ่มลงมือทำงานของตัวเอง กล่องลังจำนวนหกใบวางชิดผนังกับชั้นหนังสือที่สูงจนติดเพดานห้อง ผมสูงแค่ครึ่งเดียวของชั้นหนังสือเท่านั้นเองนะ คุณตรีแกล้งผมหรือเปล่าเนี่ย “คุณตรีครับ” ผมหันไปเพื่อที่จะถามเขา “หืม” เขารับคำโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองผม ยังคงจดจ้องอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คอย่างเคร่งเครียด “ให้เริ่มวางจากชั้นไหนครับ ถ้าชั้นบนสุดผมวางไม่ถึงนะ” ยิ่งพูดก็ยิ่งกระดากอายในความเตี้ยของตัวเอง เด็กจนๆที่เติบโตมากับนมข้นหวานชงน้ำร้อนที่ลุงป้อนใส่ปาก ผมสูงถึงร้อยเจ็ดสิบก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว ยังดีที่ไม่โตมาเป็นคนแคระให้ชีวิตดูน่ารันทดไปมากกว่านี้ “ชั้นกลางๆก็ได้ เอาที่นายวางถึง” เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบผมแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงานต่อ คุณตรีในโหมดจริงจังแบบนี้ ดูดีจัง เฮ้อ...ผมรู้สึกชอบเขามากขึ้นอีกแล้ว ผมนี่มันชอบคนที่รูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ ผมควรจะเลิกบ้าคุณตรี แล้วหันมาตั้งใจทำงานที่คุณตรีมอบหมายให้ แม้ว่ากล่องหกกล่องใหญ่ตรงหน้าจะทำเอาผมหมดแรงไปแล้วสิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม เขาอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หนอนหนังสือเหมือนกันนะครับคุณตรี หึหึ ผมเริ่มลงมือแกะกล่องที่หนึ่ง ข้างในมีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มกล่อง ผมตื่นเต้นตาลุกวาวเมื่อได้เห็น ผมชอบหนังสือ ทั้งชีวิตมีหนังสืออยู่ไม่ถึงสิบเล่ม ผมละเมียดละไมอ่านแต่ละเล่มอย่างคุ้มค่าที่สุดกับเงินหลักร้อยที่เสียไป การได้มาเห็นหนังสือกองใหญ่วางตั้งอยู่ตรงหน้า เลือดในกายผมสูบฉีดยิ่งกว่าการได้เห็นคุณตรีในโหมดมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเสียอีก ผมหยิบเล่มแรกขึ้นมาอ่านหน้าปกแล้วแบ่งแยกไว้ตามล็อกแนวตั้ง ส่วนมากในกล่องนี้จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแต่งบ้านและการจัดสวน และยังมีหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาบ้าง วรรณกรรมบ้างประปราย ผมหยิบหนังสือดูทีละเล่มด้วยความตั้งใจ บางเล่มผมก็เปิดอ่านจนเกือบจะลืมเวลา รู้ตัวทีก็รีบเอาไปเข้าชั้นที กว่าจะเสร็จกล่องแรกก็กินเวลาไปเกือบๆ ชั่วโมง ก๊อกๆๆ “ขออนุญาตนะคะ น้าเอาของว่างมาเสิร์ฟค่ะ” น้ากุ้งเคาะประตู ก่อนจะเปิดแง้มแล้วส่งเสียง “เชิญครับ” คุณตรีเอ่ย “คุณน้า ฟ้าช่วยนะครับ” ผมรีบลุกขึ้นไปช่วยคุณน้าถือถาด “ขอบใจนะจ๊ะ” ผมวางถาดของว่างไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งหันหน้าไปทางโต๊ะทำงานของคุณตรี ตัวโซฟาเองก็เป็นสีน้ำเงินเข้มเช่นกัน โต๊ะกลางเป็นหินอ่อน ระดับคุณตรีแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นหินอ่อนของจริง “คุณตรี น้าขอลากลับไปดูสามีหน่อยนะคะ จะให้น้าเตรียมอาหารเย็นทิ้งไว้ให้เลยไหมคะ” “ไม่เป็นไรครับ แล้วอาการเขาเป็นยังไงบ้างครับ” “ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยค่ะ วันนี้ทุกคนทำงาน ไม่มีใครไปเฝ้า” “คุณน้าไปเถอะครับ ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้” “พรุ่งนี้เช้า...” “ถ้าน้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ไปทำในสิ่งที่คุณน้าต้องทำเถอะ ยังไงเรื่องของคนในครอบครัวต้องมาก่อน ตอนนี้ฟ้าก็อยู่ เขาช่วยผมได้” “น้าขอบคุณมากนะคะคุณตรีที่เข้าใจน้า” ผมยืนอยู่ข้างโซฟาเงียบๆ ไม่ได้นั่งลงกินของว่างก่อนเจ้าของบ้าน รอจนกระทั่งคุณตรีกับน้ากุ้งคุยกันเสร็จ น้ากุ้งก็หันมายิ้มให้ผม เดินเข้ามาใกล้แล้วจับมือผมทั้งสองข้าง “น้าฝากดูแลคุณตรีด้วยนะลูก คุณเขาชอบทำงานจนลืมกินข้าวตลอดเลย” สีหน้าตอนที่น้ากุ้งพูดถึงคุณตรีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย “ครับ” ผมตอบรับสั้นๆ แบบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด น้ากุ้งยิ้มให้ผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป ผมหันกลับไปมองคุณตรี คิดว่าเขาจะกลับไปสนใจงาน แต่ทันทีที่สายตาสบกัน ผมถึงได้รู้ว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว “ทานของว่างเลยไหมครับ” ผมถามเขา มือผายไปทางของว่างตรงโต๊ะโซฟา “ของนายนั่นแหละ กินซะ แล้วค่อยไปจัดหนังสือต่อ” “ให้ผมทานคนเดียวเหรอครับ” “ใช่” “แต่...” “ทำไม อยากให้ฉันไปนั่งกินเป็นเพื่อนหรือไง” มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น “ยกน้ำมาให้ฉันแก้วหนึ่งก็พอ ส่วนขนมนั่นนายกินเถอะ” “ครับ” ผมยกน้ำผลไม้สีออกแดงๆ ม่วงๆ ไปเสิร์ฟให้คุณตรี พร้อมกับยืนมองจนกระทั่งเขายกแก้วขึ้นจิบ ผมจึงเดินกลับมาจัดการของหวานตรงหน้า เพราะเขาเองก็นั่งจ้องผมเช่นกัน คาดว่าถ้าผมไม่กิน เขาจะมองกดดันจนร่างกายผมเป็นรูพรุน จัดการของหวานเสร็จด้วยความรวดเร็ว ผมก็กลับมานั่งคัดแยกหนังสือต่อ ผมจัดหนังสือที่ตัวเองพอจะอ่านหน้าปกออกใส่เข้าชั้น ส่วนมากก็เป็นภาษาไทย แต่เล่มที่เป็นภาษาอังกฤษผมจะแยกเอาไว้ เว้นแต่ว่าผมพอจะดูออกและคำศัพท์ไม่ยากเกินเข้าใจ ก็จะเอาไปจัดเข้าหมวด ถึงไม่ได้อ่าน แต่ได้เปิดดูบ้างและได้ใช้เวลาอยู่กับมัน ผมก็แทบลืมเลือนเวลา รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ผมจัดการหนังสือไปได้เยอะพอสมควร แต่ก็ยังเหลืออีกสองกล่องเต็มๆ กับส่วนที่เป็นหนังสือต่างประเทศ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันทำเอง” คุณตรีลุกออกจากโต๊ะทำงานมายืนอยู่ใกล้ๆ “ถ้าคุณตรีไม่รีบ วันหลังผมมาทำให้ก็ได้นะครับ” ผมอาสา “อย่างนั้นก็ได้” “เย็นแล้ว คุณตรีจะทานอะไรไหมครับ หรือว่าคุณตรีจะออกไปทานข้างนอก” อีกเรื่องที่น้ากุ้งฝากฝังไว้ ผมควรจะทำให้ได้ก่อนกลับ “ทำกับข้าวให้ฉันกินได้ไหมล่ะ” เขาถาม สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ขนาดอยู่บ้านก็ยังแต่งตัวดูดี ถ้าเป็นผมเหรอ บนร่างกายก็คงจะเป็นเสื้อยืดตัวเก่งที่ทั้งเปื่อยและมีจุดขาดเป็นรู แต่จุดเด่นของมันคือความนุ่มลื่นของผ้าที่สบายผิว กางเกงก็กางเกงบอลผ้านิ่มใส่สบายคล่องตัว “ได้ครับ ถ้าคุณตรีไม่กินของยากๆ น่ะนะ” ผมแกล้งพูดเล่นกับเขา “แล้วปกติฉันเคยให้นายทำอาหารยากๆ หรือไง ข้าวไข่เจียวเฉยๆ ฉันก็ยังกินมาแล้ว” “ฮ่าๆๆ” ผมหลุดขำเลย เพราะที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นผมทำเป็นแค่อาหารง่ายๆกันตาย แต่ตอนนี้ทำเป็นมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ไปเถอะ” คุณตรีเดินไปที่หน้าประตู “คุณตรีครับ” ผมเรียกเขาไว้เพราะมีเรื่องอยากจะขอ “หืม” เขาหันกลับมา มือจับลูกบิดประตูค้างไว้ “ผมขอยืมหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมครับ” ผมชูหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากอ่านให้เขาดู ‘แมงมุมเพื่อนรัก’ ผมมีหนังสือที่อยากอ่านเยอะมาก เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมแวะเวียนไปดูที่ร้านหนังสือบ่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมมีเงินน้อย ซื้อได้นานๆ ครั้งเท่านั้น “อืม จะอ่านอะไรก็หยิบไป เรื่องนั้นมีเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ” คุณตรีเดินมาที่ชั้นหนังสือ เขามองอยู่ปราดหนึ่งก็หยิบออกมา “ผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกหรอกครับ อ่านภาษาไทยเนี่ยแหละ ว่าแต่ทำไมคุณตรีถึงมีแบบภาษาไทยละครับ” “ซื้อมาให้หลานน่ะ แต่ดันซื้อมาชนกับแม่เด็ก ก็เลยเก็บไว้เอง” “งั้นเหรอครับ” “ความจริงนายเอาไปเลยก็ได้นะ” “ไม่เอาหรอกครับ ผมยืมอ่านก็พอ สัญญาเลยว่าจะดูแลอย่างดี ไม่ให้ยับไม่ให้พัง” “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว” “ยังไงก็ขอบคุณนะครับ” ผมบอกกับเขาด้วยใจจริง “ลงไปข้างล่างเถอะ ฉันหิวแล้ว” “ครับ” ในตู้เย็นของคุณตรีอัดแน่นไปด้วยของสดมากมาย อาจเป็นเพราะมีน้ากุ้งเป็นแม่บ้าน ถ้าอย่างนั้นทำไมทุกเช้าคุณตรีจะต้องสั่งอาหารกล่องจากร้านพี่นุชด้วย ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วลงมือรื้อตู้เย็น หาวัตถุดิบมาทำอาหารให้เจ้าของบ้าน พอเข้ามาสิงอยู่ในครัวของคุณตรี ผมก็เกิดรู้สึกชอบใจ ครัวของเขาเป็นหินอ่อนสีดำลายขาวทอง ดูหรูหราแล้วก็สวยงาม เหมือนทำมาประดับบ้านมากกว่าเพื่อการใช้งาน แต่เพราะว่ามันสวยเลยทำให้ดูน่าใช้น่าเข้าครัวทำกับข้าว “คุณตรีทานเป็นอาหารจานเดียวไหมครับ” ผมเดินมาถามคุณตรีที่นั่งเล่นแท็บเล็ตที่โซฟา “อืม อะไรก็ได้” “ครับ คุณตรีรอสักครู่นะ ผมจะรีบทำ” “ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันยังไม่หิวเท่าไหร่” “ครับ” ผมก็รับคำไปอย่างนั้น หนึ่งทุ่มแล้วเขาจะไม่หิวจริงๆ น่ะเหรอ แต่ผมน่ะหิวแล้ว รีบทำจะได้รีบออกไปหาอะไรกินก่อนกลับห้องพัก “ฟ้า” “ครับ” ผมรีบขานรับ เพราะคิดว่าคุณตรีอาจจะอยากได้อะไรเพิ่ม “ทำเผื่อตัวเองด้วย” “เผื่อผม?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ผมไปซื้อก๋วยเตี๋ยวทานก็ได้ครับ” ผมเกรงใจเขา “จะไปซื้อทำไม ก็กินด้วยกันเนี่ยแหละ แต่ถ้านายไม่กิน ฉันจะจ่ายเงินค่าจ้างจัดหนังสือให้แทน เอาแบบนั้นดีไหม” ฟังดูก็รู้ว่าเขากำลังข่มขู่ผมด้วยเงิน แล้วคิดว่าผมจะทำอะไรได้นอกจากยอม “ก็ได้ครับ ผมจะทำเผื่อตัวเองจานโตๆ เลย” “หึหึ ดี กินได้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ตัวผอมชะมัด” “ฮะ คุณตรีว่าอะไรนะครับ” ผมฟังไม่ถนัด เพราะเขาบ่นเสียงเบามาก “ไม่มีอะไร รีบไปทำอาหารสิ ฉันเริ่มจะหิวแล้ว” อะไรกัน เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็ไม่หิว เอาใจคนหล่อนี่มันลำบากเหมือนกันนะครับท่านผู้ชม เมนูที่ผมเลือกทำให้เขาทานก็คือสุกี้รวมมิตร อาหารทานง่ายย่อยง่าย และผมสามารถทำได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะกินได้หรือไม่ เพราะความอร่อยนั้นพึ่งน้ำจิ้มสำเร็จรูปล้วนๆ ถ้าไม่อร่อยก็ต้องให้คุณตรีโทษตัวเอง เพราะเขาเป็นคนเลือกน้ำจิ้มยี่ห้อนี้มา ผมแค่หยิบมาทำให้เฉยๆ ตามที่มีของ ผมต้มน้ำซุปกับผักรวมกัน ก่อนจะตักผักแยก แล้วลวกของสดขึ้นมาพักแยกไว้ ต่อด้วยวุ้นเส้นกับไข่ลงไปลวกกับน้ำซุปจนได้ที่ ก็ตักใส่ถ้วยทรงสวย จากนั้นก็เอาผักที่ต้มแล้วมาจัดตกแต่งในชาม เทน้ำจิ้มสุกี้ใส่ถ้วยเล็กเสิร์ฟข้างกัน วิธีนี้ผมก็จำมาจากครัวที่ร้าน ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเอามาใช้จริง “ถ้าเราไปเปิดร้านอาหารก็อาจจะรุ่งน่ะเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่ดันมีคนมาแอบฟังด้วย “กิจการจะรุ่งหรือจะร่วง เอาให้แน่” ผมบอกแล้วไงว่าคนหล่อก็กวนประสาทเป็น “ถ้ากินแล้วติดใจ จะขอเพิ่มชามที่สองไม่ได้นะครับ” “หึหึ เสร็จหรือยังล่ะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง สงสัยกลัวไม่ได้กินชามที่สอง “เสร็จแล้วครับ คุณตรีไปนั่งที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่” “อืม นายก็มานั่งกินกับฉันที่โต๊ะ ห้ามนั่งกินในครัว” เขาพูดดักคอ เหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ คุณตรีเดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว ที่ถึงเขาจะอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียว แต่โต๊ะกินข้าวก็มีที่นั่งถึงสิบที่ ผมอยากรู้ว่าโต๊ะใหญ่ขนาดนี้ ตอนกินข้าวคนเดียวคุณตรีจะรู้สึกเหงาบ้างไหมนะ ผมยกชามสุกี้ของคุณตรีไปเสิร์ฟก่อน พร้อมกับน้ำดื่มและน้ำผลไม้รวมที่ผมเห็นอยู่ในตู้เย็น จำได้ว่าคุณตรีชอบดื่มน้ำที่มีรสชาติมากกว่าน้ำเปล่า ตอนผมยกชามของตัวเองมาวางพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งแก้ว คุณตรีก็ยังไม่ลงมือกิน เขามองดูชามของเขากับของผมสลับกันอย่างสงสัย “ทำไมไม่เหมือนกัน” เขาถาม “ของผมไม่จำเป็นต้องจัดให้สวยงามหรอกครับ ผมกินง่ายๆ” ผมตอบเขา เพราะสุกี้ของผมต้มทุกอย่างรวมกันจนเละ น้ำจิ้มก็ราดลงไปเลยก่อนจะยกมาที่โต๊ะ “แล้วทำไมของฉันต้องจัด” “ก็คุณตรีเป็นเหมือนเจ้านายนี่น่า ผมก็อยากทำให้แบบดูน่ารับประทาน คุณตรีไม่ชอบเหรอครับ” ผมก็แอบกังวลนะ หรือว่าเขาอยากได้แบบเละๆ เทะๆ ของผมมากกว่า “ชอบ แต่ถ้าเหมือนกันจะดีกว่า” เขาพูดเบาๆ แล้วก็เลิกสนใจสุกี้ของผม ก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็น ผมยิ้มกับตัวเอง เห็นเขากินอาหารที่ผมทำได้ก็โล่งใจ จะว่าไปแล้ว ผมต้องเตรียมยาแก้ท้องเสียไว้ไหมนะ “ฟ้า” คุณตรีเรียกผมอีกครั้งหลังจากทานสุกี้จนหมดชาม แม้แต่น้ำซุปก็ยังไม่เหลือ “อยากได้เพิ่มเหรอครับ อร่อยใช่ไหมล่ะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเต็มที่ แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่ามันฟังดูกระดี๊กระด๊าเกินไป “ไม่ใช่” เขาตอบสั้นๆ แต่สีหน้าแอบดูเหนื่อยใจที่ผมขายอาหารของตัวเองจนออกนอกหน้านอกตา “อ้าว” ไม่ใช่นี่คือ ไม่เอาเพิ่มหรือไม่อร่อยกันนะ “ทำงานที่ร้านอาหารเหนื่อยไหม” อยู่ๆ คุณตรีก็ถามเรื่องงานของผม “ก็เหนื่อยแหละครับ ยิ่งวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ที่ลูกค้าเยอะยิ่งเหนื่อย แต่ก็ได้รายได้ดี” “ก็เพราะว่าต้องเสิร์ฟต้องดูแลคนเยอะๆ” เขาพูดนิ่งๆ “แน่นอนสิครับ บางครั้งต้องจำให้ได้ว่าลูกค้าประจำชอบอะไรไม่ชอบอะไร” “อืม” “แต่ผมน่ะได้รับคำชมบ่อยเลยว่าความจำดี แต่จริงๆเพราะพวกเขาเรื่องมาก ผมได้ยินเวลาเขาบ่นบ่อยๆ ก็จำได้เอง” “แล้วถ้าบริการแค่คนๆเดียวแต่ได้รายได้เท่าเดิมล่ะ สนใจไหม” “เอ๋? มันมีด้วยเหรอครับ ทำงานร้านอาหารแล้วบริการลูกค้าแค่คนเดียว” “มาทำงานกับฉันไง ดูแลฉันแค่คนเดียว ฉันจ่ายให้เท่ากับที่นายได้จากร้านอาหารเลย” เดี๋ยวนะ เขาพูดว่าอะไรนะ ผมหูฟาดไปหรือเปล่า ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทำงานกับเขา แต่ดูจากสีหน้าของเขาที่ไม่มีแววล้อเล่น ก็พอบอกได้ว่าคุณตรีพูดจริง “คุณตรีพูดใหม่ได้ไหมครับ” เพื่อความชัวร์ผมจึงอยากได้ยินอีกรอบ “ฉันรับสมัครแม่บ้านอยู่ แต่ตอนนี้ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ อย่างน้อยนายก็เคยทำกับฉัน น่าจะพอรู้ว่าฉันชอบอะไรไม่ชอบอะไร” มันก็ถูกที่ผมรู้เรื่องของเขาพอสมควรจากที่เคยทำงานให้เขา “แล้วน้ากุ้งล่ะครับ” ไม่ใช่ผมไม่อยากทำนะ ผมถามเพราะความสงสัย “สามีน้ากุ้งแกป่วยหนัก ทางครอบครัวก็เลยอยากให้ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด สิ้นเดือนนี้น้ากุ้งก็จะลาออกแล้ว” “อ่อ” อย่างนี้นี่เอง “สรุปว่าไง จะทำไหม” ผมแอบอมยิ้มนิดๆก่อนจะตอบคุณตรี “ทำครับ ผมรับงานนี้” ผมฝันอยู่หรือเปล่า ทำไมมันดีขนาดนี้ ขอเถอะนะ ขอให้มันเป็นความจริง “ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องสัมภาษณ์ใครละ” เสียงทุ้มนุ่มของเขาเป็นเครื่องยืนยันว่าผมไม่ได้ฝันไป ความโชคดีเกิดขึ้นจริงกับผมคนนี้ สายฟ้าผู้ที่อาภัพมาตั้งแต่กำเนิด “คุณตรีครับ ผมขออะไรอย่างได้ไหม” “ว่ามาสิ” “คุณตรีห้ามเปลี่ยนใจไล่ผมออกตอนที่ผมลาออกจากงานแล้วนะ ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ” ผมพูดดักทางเอาไว้ กลัวเขาเปลี่ยนใจทีหลัง ทีนี้ล่ะได้ตกงานยาวๆ “ไม่เปลี่ยนใจหรอกน่า ว่าแต่นายเถอะ มาเริ่มงานพรุ่งนี้เลยละกัน” “อะไรนะครับ” คราวนี้ไม่ใช่ว่าผมได้ยินไม่ชัดเจนนะ แต่ผมตกใจในความเร่งรีบของคนตรงหน้า “พรุ่งนี้มาเริ่มงาน ไม่อย่างนั้นฉันไล่ออก” พรุ่งนี้! ไล่ออก! โอ๊ย! จะใจร้อนไปไหนเนี่ยคุณผู้ชาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD