Rrrr Rrrr
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ แฟนฉันก็โทรเข้ามา สงสัยจะเสร็จธุระแล้วแน่ ๆ ฉันจึงกดรับด้วยใจที่ตื่นเต้น ปกติเราก็เจอกันบ่อยนะ แต่ช่วงสัปดาห์นี้ต่างคนต่างยุ่งกับการเข้ามหาวิทยาลัยเลยไม่ได้เจอกัน
[วีว่า วันนี้คงไม่ไปไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะ] เขาพูดขึ้นทันทีที่ฉันรับสาย
“อืม เอาไว้วันอื่นก็ได้” แม้จะผิดหวัง แต่ทำไงได้เขาคงยุ่งจริง ๆ
[คิดถึงนะ แล้วเดี๋ยวโทรไปใหม่ พอดีต้องกลับเข้าไปแล้ว รุ่นพี่เรียก] เขาพูดอย่างรีบร้อน เสียงรอบข้างที่ดังแทรกเข้ามาทำให้รู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานที่ที่เสียงดังมาก บางทีอาจจะทำกิจกรรมในบ้านหรือไม่ก็ที่คณะอยู่
“อืม คิดถึงเหมือนกันนะ ดูแลตัวเองด้วย” ฉันเป็นห่วงเขาเสมอ แต่เขาเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้แถมยังดูแลฉันดีมากอีกด้วย คนปลายสายฟังฉันพูดจบก็รีบวางไปเพราะรุ่นพี่เริ่มขึ้นเสียงใส่
ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วคิดว่าเอาไงต่อดี จะกลับเข้าบ้านเลยก็น่าเบื่อเลยว่าจะไปหาคารินที่คณะศิลปกรรมดีกว่า ไปดูเพื่อนเป็นแบบถ่ายภาพน่าสนุกดี คารินไม่เคยเป็นนางแบบมาก่อนด้วย ค่อนข้างแปลกใหม่เลยล่ะ
คณะศิลปกรรม
ฉันใช้เวลาสักพักในการเดินมาที่นี่ คณะที่ฉันเรียนไม่ได้อยู่ใกล้กับตึกนี้เลย และเป็นครั้งแรกที่มาด้วยเลยใช้เวลาหานานหน่อย ห้องถ่ายภาพอยู่ไหนก็ไม่รู้ด้วยสิ เวลาเย็นแบบนี้นักศึกษาก็กลับกันไปหมดแล้ว ฉันเลยลองเดินสุ่ม ๆ ดูที่ตึกศิลปกรรม ชั้นล่างเป็นลานกว้าง ๆ เอาไว้แสดงงาน ส่วนชั้นสองก็มีห้องแปลก ๆ ที่ฉันเรียกไม่ถูก มันน่าจะเป็นห้องปั้นอะไรสักอย่าง เพราะเกือบทั้งชั้นเกี่ยวกับงานศิลปะประเภทปั้นกับวาดหมดเลย
ฉันเดินมาจนสุดทางเชื่อมของตึกและมองไปด้านบนเห็นป้ายติดไว้ ‘Photographic Technology’ คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับการถ่ายภาพนะ ฉันเลยเดินเข้าไปในทางเชื่อมซึ่งมันไปโผล่อีกตึกด้านหลัง ฉันเดินผ่านหน้าห้องหนึ่ง บางอย่างในห้องชวนมองจนต้องหยุดฝีเท้าลง…
END TALK.
CHARLIE PART
เถียงสิตาเอ๋ย เคยเห็นใครงามเท่านี้ไหม…
ภาพหญิงสาวผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้มตรงหน้าสะกดสายตาผมชะงัก ผมคิดว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบเดียวกับโรมิโอตอนที่เจอจูเลียต ผมเธอปลิวพลิ้วไหวคลอไปกับสายลมโชยอ่อน ๆ ที่พัดผ่าน รัศมีของพระอาทิตย์ยามตกดินสาดส่องอยู่รอบตัว ทำให้เธอดูเจิดจ้าและเฉิดฉายกว่าใคร ๆ ที่เคยพบ
เธอคือจูเลียตของผม…
ใช่ครับ วันนี้ผมมีถ่ายงานเพื่อส่งอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ นี่กว่าจะปลีกตัวจากแก๊งเทยมาได้แทบแย่ ดูสิแก้มหล่อ ๆ ของผมช้ำหมดเลย แต่ช่างเหอะเข้าเรื่องงานดีกว่า ผมเลยไหว้วาน ‘ศิรัช’ เพื่อนในคณะเดียวกัน ผมเพิ่งรู้จักมันวันนี้แหละ แต่ดูเหมือนมันกว้างขวางรู้จักคนเยอะ อีกอย่างมันเรียนสาขา ‘Digital Media’ เลยขอให้มันช่วยเหลือหาคนมาเป็นแบบถ่ายภาพให้ผมหน่อย
ไม่คิดไม่ฝันว่าสวรรค์จะเมตตาส่งสาวสวยตรงสเปกมาให้ ผมเห็นเธอยืนทำหน้างง ๆ เลยเดินไปจูงมือพาเธอเข้ามานั่งที่โซฟากลางห้อง คือผมเตรียมไว้ถ่ายภาพนั่นแหละ ธีมของผมคือ ‘จูเลียตที่รัก’ แต่ชุดที่เธอใส่มามันไม่แมตช์เลยสักนิด ดีที่ผมเป็นคนรอบคอบจึงเตรียมชุดมาเผื่อ จริง ๆ ก็หา ๆ หยิบมาจากห้องวาดภาพนั่นแหละ
เธอตามผมมาอย่างงุนงงและอิดออดเล็กน้อย จากนั้นผมก็ดันตัวเธอลงนั่งบนโซฟาครีมที่ปูด้วยผ้าขนเฟอร์สีขาว เหมือนเธอจะยังไม่เขาใจ โอเคถ้าเธอไม่รู้งานล่ะก็เดี๋ยวชาลีคนนี้จัดการให้เองครับ…
แควก!!
“เฮ้ย ทะ ทำอะไร!” เธอเบิกตาโพลงเมื่อโดนผมปลดกระดุมเสื้อ แต่ผมคงทำแรงไปหน่อยมั้ง แม่งขาดผึงหลุดทั้งแผงเลย ไม่ได้ตั้งใจนะบอกเลย
“ถอด” ผมบอกแบบนั้น แต่เธอคงฟังไม่เข้าใจมั้ง เพราะเล่นหนีบเสื้อเข้าหากันซะแน่น แถมยังมองผมเหมือนโกรธแค้นมาแต่ชาติปางก่อน
“ถอดอะไร นะ นายจะทำอะไร” เธอทำท่าจะถอยหนีผมเลยใช้มือข้างหนึ่งพาดกั้นไว้ ส่วนมืออีกข้างก็พยายามยื้อยุดฉุดแย่งเสื้อบนตัวเธอให้เปิดออก
เธอดื้อรั้นมากจนผมต้องเอาหน้าผาดันหน้าคนตัวเล็กไว้ มันได้ผลครับเธอนิ่งลงในทันที และผมคิดว่าเธอหยุดหายใจด้วยนะ สายตาผมประสานเข้ากับดวงตากลมโตที่มองมาอย่างช็อก ๆ เธอคงตกใจที่โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว ก็บอกดี ๆ แล้วไม่ทำตามผมก็ต้องจัดการเองสิครับ
ผมดันหน้าผากออกแล้วเลื่อนสายตามาที่เสื้อเธออีกครั้ง ก่อนจะปลดกระดุมที่เหลืออีกสองเม็ดด้านล่าง แต่ดันเหลือบไปเห็นชุดชั้นในที่เธอใส่มาเข้า… นะ นี่มัน
“เธอ… ชั้นในลายหมู?” ผมพึมพำเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่คนใต้ร่างจะได้ยิน
“นะ นาย… คือไอ้โรคจิต!” คราวนี้เธอผลักผมออกจากจนเซถอยไปด้านหลัง จากนั้นเธอก็รีบติดกระดุมที่ยังไม่ขาดอย่างรวดเร็ว
“เปล่า” ผมไม่ใช่โรคจิตสักหน่อย ก็แค่จะถ่ายภาพทำไมเธอต้องทำตัวดื้อด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้เธออีกครั้งและคราวนี้นั่งลงข้าง ๆ เลย ผมคว้าชุดที่พื้นขึ้นมาแล้วจับแขนเธอไว้ข้างหนึ่ง
“เปล่าอะไร ไอ้บ้า! แกปล่อยฉันนะ ช่วยด้วยยย ไอ้โรคจิตจะข่มขืน” จูเลียตของผมร้องแหกปากโวยวาย กำปั้นน้อย ๆ ของเธอทุบผมอย่างมั่วซั่ว