ในช่วงจังหวะที่กำลังมะรุมมะตุ้มอยู่ สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นเรือนผมด้านหลังของใครบางคนเข้า ปลายผมที่พลิ้วไหวนั้นสะกดใจเข้าอีกแล้ว แต่ไม่ทันได้เห็นหน้าเพราะพวกพี่เทยทั้งหลายบังเหลี่ยมมุมไว้พอดี
เฮ้ออ… คลาดกันอีกแล้วสินะ
VIVA PART
“โหยยยยแก ดูดิ ๆ ผู้ชายโดนรุมอ่ะ เอ๊ะ! แต่ทำไมหมอนั่นทำหน้าฟินขนาดนั้นนะ…”
‘คาริน’ เพื่อนสาวคนสนิทของฉันทำท่าชะเง้อมองจากไกล ๆ ไปทางกลุ่มผู้ชายที่โดนทำโทษอยู่หน้าบ้านด้วยความสนใจ ส่วนฉันยืนมองเพียงผ่าน ๆ เท่านั้น ตอนนี้พวกเขากำลังโดนแก๊งกะเทยรุมจูบ เพราะพวกนั้นดันทะลึ่งเปลี่ยนป้ายจาก ‘ตบฟรี’ เป็น ‘จูบฟรี’ ที่ฉันรู้ก็เพราะว่าตัวฉันเองก็อยู่ MAD HOUSE เช่นกัน
ฉันชื่อ ‘วีว่า’ เป็นนักศึกษาปีหนึ่งคณะจิตวิทยา ที่เลือกเข้าอยู่บ้าน MAD ไม่ใช่เพราะฉันเสียสติไปแล้วหรอก แต่เพราะฉันแอบสืบรู้มาว่าคนในบ้านนี้ส่วนใหญ่มี ‘พฤติกรรมไม่ปกติ’ เลยอยากจะเข้ามาศึกษาเพื่อประโยชน์ในวิชาเรียน แล้วก็จริงอย่างที่คิด เพราะฉันรับรู้ถึงความผิดปกติตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านเลย… ก็รุ่นพี่ประธานบ้านไงจะใครล่ะ
เขาเป็นผู้ชายหัวเทาว่าแปลกแล้ว แต่ภารกิจที่ให้นี่ประหลาดยิ่งกว่า ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองทันทีที่ได้มองกระดาษแผ่นนั้น มันช่างเป็นคำสั่งที่… เฮ้อออ… ช่างมันเถอะ
ฉันถอนหายใจปล่อยความคิดทิ้งแล้วหันไปสะกิดคารินที่ยืนกระดี้กระด้าไม่เลิก
“เลิกสนใจได้แล้ว ไปกันเถอะ” คำพูดของฉันมันไม่เข้าหูเธอเลยสักนิด
คารินเบี่ยงไหล่ออกแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจเมื่อโดนฉันขัดจังหวะ เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตามองผู้ชายกลุ่มนั้นอย่างสนุกสนาน ทำท่าอย่างกับพวกชอบเห็นผู้ชายเต๊าะกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ใช่สาวนิยมชื่นชมชายรักกันสักหน่อย
“ไปได้แล้วน่า ฉันมีนัดนะ” ฉันต้องย้ำเตือนเพื่อนสนิทอีกครั้งถึงนัดที่กำลังจะมาถึง โอเคว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คารินมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะฉันกำลังจะไปหาแฟน…
ใช่ ฉันมีแฟนแล้ว เขาเป็นคนสุภาพและน่ารัก เราเริ่มคบกันตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลายเทอมสุดท้าย แฟนของฉันเรียนที่นี่เช่นกัน เขาฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์เลยเข้าเรียนที่คณะดุริยางคศิลป์ซึ่งตารางเรียนดนตรีนั้นแน่นเอี๊ยดมาก นี่ขนาดแค่วันแรกที่เปิดเทอมยังหาเวลาเจอกันแทบไม่ได้เลย อีกอย่างเราอยู่คนละบ้านด้วย ดังนั้นเราจึงเหลือเวลาช่วงเย็นอันน้อยนิดที่จะไปเจอกัน ฉันเลยไม่มีเวลามาดูเรื่องไร้สาระแบบนี้ไงล่ะ
“เออ ๆ ไปก็ได้” คารินหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ เวลาโดนขัดใจก็เป็นซะแบบนี้ ฉันกับคารินเรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่มัธยมปลายเลยสนิทกันมาก แถมเรายังเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีกแต่คนละคณะ
คารินเป็นสาวติสท์ที่บางอารมณ์ก็เข้าถึงย้ากยาก บางครั้งก็ช่างฝันซะจนน่ากลัว เหมาะแล้วแหละที่เธอเลือกเรียนศิลปกรรม ได้ข่าวว่าหลังจากแยกกับฉันจะไปเป็นแบบถ่ายภาพให้เพื่อนในคลาสเรียนด้วย
ฉันนัดแฟนไว้ที่สวนวงกลมซึ่งเป็นสวนที่อยู่ตรงกลางระหว่างบ้านต่าง ๆ เขาบอกว่าจะมาช้าเล็กน้อย ฉันเลยมานั่งรอก่อนโดยมีคารินมาอยู่เป็นเพื่อน ฉันกับคารินนั่งรอมาสักพักจนมันเลยเวลานัดมาแล้ว ซึ่งฉันเองก็เกรงใจเพื่อนเหมือนกันเพราะเธอก็มีธุระที่ต้องไปทำต่อด้วย
“แกไปก่อนก็ได้นะ เห็นว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ?” ฉันหันไปบอกคารินที่กำลังนั่งมองนั้นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตรงนี้เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางเลยมีนักศึกษาเดินผ่านไปมาตลอด
“แล้วแกอ่ะ” คารินขมวดคิ้วถาม เธอไม่ค่อยชอบทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว บางทีก็ออกจะห่วงเกินเหตุซะด้วยซ้ำ เพื่อนคนนี้ชอบเห็นฉันเป็นเด็กมัธยมที่ทำอะไรเองไม่เป็นเสมอ
“อยู่ได้น่า ไม่ต้องห่วงขนาดนั้นหรอก”
“ได้ยังไง เพื่อนยิ่งสวย ๆ อยู่ ดูสิแก มองพวกผู้ชายอยู่แถวนี้สิ จ้องยังจะอยากเข้ามาตะครุบ” คารินว่าพร้อมมองไล่มองผู้ชายที่อยู่ในรัศมีด้วยสายตาคมวาว…
ใครจ้องจะตะครุบใครกันแน่
“เดี๋ยวเขาก็มาแล้ว แกไปเหอะ” ฉันคิดว่าอีกสักพักแฟนของฉันก็คงมา ปกติเขาไม่ใช่คนผิดเวลาหรอกนะ อาจจะมีเรื่องยุ่งอยู่เลยปลีกตัวออกมาไม่ได้
“โอเค ฉันอยู่ตึกศิลปกรรมนะ เผื่อแกอยากมาหา อ้ะ แต่คงไม่ละม้างงง แกคงอยากอี๋อ๋อกับอีตามาดเยอะนาน ๆ” คารินยักคิ้วหลิ่วตาแซวจนฉันอดยิ้มไม่ได้
คารินก็รู้จักแฟนฉันนะ และมักเรียกว่า ‘คนมาดเยอะ’ เพราะเขาหล่อ เท่ ทำอะไรมีมาดไปซะหมด อนาคตแร็ปเปอร์ก็แบบนี้แหละเนอะ ต้องดูดีทุกท่วงท่า
“ไม่ต้องมาแซวเลย รีบ ๆ ไปเหอะ” ฉันโบกมือไล่ส่ง ๆ คารินอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเก็บพวกภาพวาดเข้ากระเป๋าแล้วเดินจากไป
ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันนั่งอยู่คนเดียว ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอะไรหรอกนะเพราะฉันไม่ใช่พวกที่ต้องมีคนคอยอยู่ด้วยตลอด ดีซะอีก อยู่คนเดียวได้มีเวลาคิดนู่นนี่นั่น แต่ส่วนใหญ่ฉันจะนั่งสังเกตพฤติกรรมคนอื่น จะว่าโรคจิตก็ได้นะ แต่ฉันชอบมองแล้วก็วิเคราะห์หาถึงเหตุและผลของการแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ บางครั้งคารินก็ว่าฉันเป็นพวกหมกมุ่นเกินไป